ความสงบ เป็นสภาวะที่ทำให้ใจเป็นสุขอย่างแท้จริง แต่ในความปรารถนาใจสงบนั้น เรามักไม่ชอบใจอย่างยิ่งที่สภาวะจิตเป็น “ความฟุ้งซ่าน” และทันทีทันใดที่เกิดความฟุ้งซ่านขึ้น เราจะพยายามหาทางสะกดความฟุ้งซ่านนั้นไว้ โดยคิดว่าจะทำให้ใจสงบ
อาจจะด้วยวิธีเพ่งสิ่งหนึ่งสิ่งใด อาจจะเป็นลมหายใจเข้าหายใจออก หรืออื่นๆ
เพื่อหวังให้ใจนิ่ง
แต่การจัดการกับความฟุ้งซ่านอย่างนั้น หากได้ทดลองดูจะพบว่าเป็นเรื่องที่ความสงบเกิดขึ้นยากมาก
เพราะเป็นธรรมชาติของจิตที่จะเผลอไปจากการเพ่ง ทนอยู่กับการเพ่งไม่ได้ แล้วความฟุ้งซ่านก็กลับมา และคราวนี้หนักขึ้นไปอีก เพราะมีการปฏิเสธเป็นปัจจัยใหม่ที่ก่อให้เกิดความคิดมากขึ้น
หากถามว่าแล้วทำอย่างไร
คำตอบคือ ลองทบทวนก่อนว่าความฟุ้งซ่านเกิดจากอะไร
ค่อยๆ ตั้งสติแล้วมองให้ดี ที่เราเกิดความฟุ้งซ่านนั้นเริ่มต้นจากปมบางอย่างที่เกิดจากการกระทำในอดีตของเรา จากนั้นการปรุงแต่งภายในใจเราก็เกิดขึ้นทั้งจากสัญชาตญาณปกป้องตัวเองบ้าง ความอยากจะให้เป็นอย่างโน้นอย่างนี้บ้าง อยากจะให้คนโน้นคนนี้เกิดความพอใจ หรือให้ได้สะใจกับความรู้สึกของคนนั้นคนนี้ ก่อเป็นความคิดขึ้น แล้วความคิดนั้นก็เป็นวัตถุดิบให้จินตนาการต่อ เตลิดเปิดเปิงต่อเนื่องไปเป็นทอดๆ
ฟุ้งและซ่านไปทั่ว
ความฟุ้งซ่านอันเป็นความคิด ก่อให้เกิดความอยากจะทำอย่างโน้นอย่างนี้ เพื่อสนอง แต่เพราะความคิดก็คือความคิด เป็นคนละเรื่องกับความเป็นจริง ยิ่งฟุ้งซ่านไปมากยิ่งห่างไกลจากสภาวะที่จะเกิดขึ้นจริงได้
ทำให้เกิดแรงเสียดทานขึ้นในใจ จิตใจกลายเป็นสนามรบระหว่างความอยากกับความรู้ว่าความจริงเป็นอย่างไร
ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นเป็นเพราะเราไปปล่อยให้ความฟุ้งซ่านกำหนดชีวิต แล้ววันดีคืนดีเมื่ออยากจะสงบขึ้นมาก็จัดการควบคุมความฟุ้งซ่านนั้น ไม่ให้แสดงอิทธิฤทธิ์ออกมา
ซึ่งเหมือนจะถูก แต่เอาเข้าจริงแล้ว เราไม่สามารถสะกดความฟุ้งซ่านได้ตลอด
จิตเรานั้นมีธรรมชาติของความเผลออยู่ คุมได้ไม่ทันไร สติก็หลุดเพราะพลังของความคิดมีมากกว่าในความเคยชินของเรา
หนทางที่ดีกว่าคือเปิดรับความฟุ้งซ่านนั้น ปล่อยให้ความฟุ้งซ่านดำเนินไป แต่มีสติที่จะมองอย่างเข้าใจ ให้เห็นว่าเกิดจากอะไร เห็นต่อไปว่าสภาวะแบบไหนที่จะดีกว่าการปล่อยให้เป็นไปตามความฟุ้งซ่าน และมีวิธีไหนที่จะเคลียร์ความฟุ้งซ่านออกไปให้เกิดความสงบขึ้นในใจ
การทำตามวิธีการที่นึกได้ว่าจเคลียร์อย่างไร ดีกว่าการกดความฟุ้งซ่านเพื่อเก็บให้ลึกลงไป
หากคิดได้ว่าความฟุ้งซ่านเป็นภาวะที่เกิดขึ้นจริง มีอยู่ แต่เป็นเพียงความคิดที่จิตปรุงขึ้นมา ไม่ได้เป็นตัวเป็นตนอะไร
หากเข้าใจเช่นนี้แล้วจะเห็นมายาของความฟุ้งซ่านนั้น
การปล่อยวางอันหมายถึง “สักแต่ว่าเห็น” ไม่ต้องเข้าไปจัดการให้อะไรเป็นอะไร เพราะที่ว่าอะไรอยู่นั้นเป็นแค่ความคิด ก็จะเกิดขึ้น
เห็นและอยู่กับความฟุ้งซ่านนั้น แต่ไม่ให้มันมากำหนดชีวิตว่าจะต้องดำเนินไปตามนั้น
พลิกชีวิตให้อยู่และดำเนินไปกับความเป็นจริง ณ ขณะนั้น
โดยรับรู้ว่าความฟุ้งซ่านอาจจะเป็นส่วนหนึ่งที่มาประกอบเป็นปัจจุบันขณะอยู่ด้วย
ให้ชีวิตดำเนินไปด้วยความรู้ตัวทั่วพร้อม เห็นทุกอย่างตามความเป็นจริง และจัดการไปตามปัจจัยที่เป็นจริงนั้น
มีความอยากให้เป็นเป้าหมาย แต่ที่จะต้องจัดการองค์ประกอบให้เป็นไปโดยมีความสงบเป็นพื้นฐานที่จะขับเคลื่อน
ถ้าจัดการเช่นนี้ได้ “ความฟุ้งซ่าน” ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องจงเกลียดจงชัง
แต่เป็นสิ่งที่ทำให้เราได้รู้ว่า จิตใจเราอยู่ในภาวะไหน และอะไรทำให้เป็นเช่นนั้น
จันทร์รอน