คอลัมน์ เดินไปในเงาฝัน : เทพนิยายจิ้งจอกสีน้ำเงิน

นั่งอ่านหนังสือ “The Fairy Tale of Underfox” หรือ “เทพนิยายจิ้งจอกสีน้ำเงินในคำบอกเล่าของ” อัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา

โดยมี “จิรเดช โอภาสพันธุ์วงศ์” เป็นผู้เรียบเรียง

จบลงในเวลาอันรวดเร็ว

แล้วทำให้รู้สึกถึงพลังความเชื่อบางอย่างของสองพ่อลูกตระกูลศรีวัฒนประภา โดยเฉพาะการสร้างทีมเลสเตอร์ซิตี้จากลีกแชมเปี้ยนชิพ เพื่อให้ขึ้นมาอยู่ในพรีเมียร์ลีก

Advertisement

จนสุดท้ายกลายเป็นผู้สร้างตำนานเทพนิยายลูกหนังแห่งพรีเมียร์ลีกในประเทศอังกฤษเมื่อฤดูกาลผ่านมา

แม้ปีนี้เลสเตอร์ ซิตี้อาจไม่โดดเด่นเหมือนกับปีที่แล้ว

แต่กระนั้น ต้องยอมรับว่าเส้นทางการสร้างแชมป์พรีเมียร์ลีกของเลสเตอร์ ซิตี้นั้นไม่ธรรมดา ยิ่งเมื่ออ่านหนังสือเล่มนี้จบลง ยิ่งพบว่าการตัดสินใจซื้อทีมเลสเตอร์ ซิตี้ของ “วิชัย ศรีวัฒนประภา” ไม่ได้ซื้อเพื่อธุรกิจแต่เพียงอย่างเดียว

Advertisement

หากเขาต้องการพิสูจน์ให้ลูกชายมีความเชื่อว่าคนเรานั้นทำได้ ถ้าทำจริง

คนเราต้องหัดเรียนรู้ความล้มเหลว และความสำเร็จบ้าง

และคนเราต้องหัดใช้ใจในการบริหารคน

ผมว่าสิ่งต่างๆ เหล่านี้ถูกซ่อนอยู่ในตัว “วิชัย” ที่กำลังสอนแบบไม่ได้สอน “อัยยวัฒน์” ในวัย 25 ปี ขณะนั้น ที่ต้องเข้ามาแบกรับภาระในการเป็นรองประธานสโมสรฟุตบอล

ทั้งๆ ที่คนในสโมสรทั้งหมดกว่า 200 คน อายุมากกว่าเขาทั้งนั้น บางคนแก่กว่าพ่อ-แม่เขาอีก ขณะที่บางคนทำงานไปวันๆ เช้ามา เย็นกลับ

เพราะไม่มีความหวังว่าสโมสรเลสเตอร์ ซิตี้จะรุ่งเรืองขึ้นมาได้อย่างไร

แต่ “อัยยวัฒน์” ไม่ยอมท้อ

ตรงข้ามเขากลับใช้กลวิธีแบบไทยๆ เข้ามาบริหาร เริ่มแรกเขาให้พนักงานเขียนสิ่งที่ตัวเองปรารถนาที่จะทำให้สโมสรแห่งนี้ดีขึ้น ต่อจากนั้น เขาเรียกประชุมกับทีมอำนวยการในแต่ละฝ่ายเพื่อทำการปรับปรุงสโมสร

พร้อมกันนั้นเขาก็พยายามคุยกับพนักงานแต่ละคนเพื่อให้เกิดความั่นใจว่าเขาไม่ได้เข้ามาเพื่อทำธุรกิจซื้อมาขายไปอย่างที่พวกเขาทราบจากสื่อเมืองผู้ดี

แต่เขามีเป้าหมายชัดเจนที่ต้องการทำให้สโมสรนี้ดีขึ้น

แต่กระนั้น เขาก็เห็นปัญหาอย่างหนึ่งคือทีมเทรนนิ่ง กราวด์ที่ดูแลด้านการซ้อม กับทีมโอเปอเรชั่น ที่ดูแลเรื่องเอกสาร ขายสินค้า กับขายตั๋วไม่ถูกกัน

“อัยยวัฒน์” จึงแก้ปัญหาโดยให้พนักงานทั้งสองทีมมาแข่งฟุตบอลกัน โดยเขาลงเป็นผู้เล่นคนหนึ่งด้วย ปรากฏว่าเกมกระชับมิตรครั้งนั้น ทำให้พนักงานทุกคนรู้ว่าเขาเล่นฟุตบอลเป็น

เขาน่าจะเป็นนักฟุตบอลมาก่อน

แต่เขาไม่ได้บอกใคร

“อัยยวัฒน์” เริ่มรู้แล้วว่ากำแพงใจที่เคยถูกความรู้สึกขวางกั้นกำลังถูกทำลายลงบางส่วนแล้ว แต่กระนั้น ก็ยังไม่ทั้งหมด เพราะผ่านมาพวกเขาทำงานแบบไปวันๆ

ไม่เคยมีปาร์ตี้กันเลย

และไม่เคยมีปฏิสัมพันธ์ใดๆ มานานแล้ว

“อัยยวัฒน์” จึงปิดผับแห่งหนึ่งที่เมืองเลสเตอร์ เพื่อให้สต๊าฟทั้งหมดมาปาร์ตี้กัน

“ตอนนั้นมีคนทักผมว่ายูใช้เงิน 40,000 ปอนด์เลยนะในการปิดผับเลี้ยงพนักงาน ผมบอกว่าไม่เป็นไร ผมเลี้ยง เพราะผมต้องการให้เขาเห็นว่าเราเข้ามาบริหารด้วยใจ เราเข้ามาบริหารแบบที่เราซื้อใจคุณ คุณซื้อใจเรา ถ้าคุณทำให้เราดี คุณจะได้ในสิ่งที่เราอยากจะให้”

“เพราะฉะนั้น ทุกคนต้องให้ และรับ ผมว่าเราอยู่ในจุดที่เราเป็นเจ้าของใหม่ วัฒนธรรมเราไม่เหมือนกัน ถ้าเราให้เขาก่อน เขาคงมองเราอีกแบบ ซึ่งผมใช้เวลาเป็นปี เป็นฤดูกาลกว่าจะซื้อใจพวกเขาได้”

เมื่อหลังบ้านมีความเป็นปึกแผ่น หน้าบ้านในการบริหารจัดการทีมก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ “อัยยวัฒน์” ให้ความสำคัญไม่แพ้กัน เพราะเขามีเป้าหมายในใจที่จะพาทีมเลสเตอร์ ซิตี้ก้าวไปไกลกว่าที่เป็นอยู่

ตอนนั้นพรีเมียร์ลีกยังไกลเกินไปสำหรับเขา

แต่ถามว่าเขาแอบฝันไหม ?

เขาฝันอยู่ทุกวัน

จนวันหนึ่งเขามีโอกาสเจอ “ไนเจล เพียร์สัน” ผู้จัดการทีมที่มีแนวความคิดเดียวกับเขา ขณะเดียวกัน เขาก็มีโอกาสเจอกับ “เจมี่ วาร์ดี้” อดีตนักเตะกองหน้าทีมฟลีตวู้ด ทาวน์ ซึ่งตอนนั้นเขาเป็นนักเตะนอกลีกที่ไม่มีใครสนใจ

แต่เมื่อ “ไนเจล เพียร์สัน” เชื่อมั่นในตัวนักเตะคนนี้ เขาจึงไม่ลังเลที่จะจ่ายเงิน 1 ล้านปอนด์เพื่อซื้อนักเตะนอกลีก ที่กล่าวกันว่าเป็นนักเตะนอกลีกในประวัติศาสตร์ที่มีค่าตัวแพงที่สุด

“ไนเจล เพียร์สัน” ไม่ได้ทำให้ทีมเลสเตอร์ ซิตี้ผิดหวัง เขาใช้เวลาเพียงไม่กี่ปี ก็สามารถผลักดันให้ทีมจิ้งจอกสีน้ำเงิน หรือจิ้งจอกสยามเข้าไปในอยู่ในตารางของพรีเมียร์ลีกในที่สุด

โดยมีความหวังลึกๆ ว่าทีมนี้น่าจะอยู่ในอันดับกลางๆ ของตาราง

แต่สุดท้าย “ไนเจล เพียร์สัน” ก็คุมทีมอยู่ได้ระยะหนึ่ง เขาจึงต้องหาผู้จัดการคนใหม่ กระทั่งมาเจอกับ “เคลาดิโอ รานิเอรี” กุนซือจอมเก๋าชาวอิตาลี

“อัยยวัฒน์” เล่าถึงเบื้องหลังในการให้ “เคลาดิโอ รานิเอรี” เป็นผู้จัดการทีมว่า… ผมต้องการสมอง และผมต้องการคนที่เข้าใจฟุตบอลว่าถ้าจะรับแล้ว รุกจะเอาอย่างไร ซึ่งรานิเอรีชัดเจนมาก สไตล์อิตาลี อุดแล้วบุก

“สองคือผมมองว่าระเบียบวินัยในทีมสำคัญ ผมอยากให้รักษาความเป็นเลสเตอร์ฯที่ทำมาทั้งปีให้เหมือนเดิม ที่ยูทำดีอยู่แล้ว แต่ขอเพิ่มกฎไปอีกให้เข้มกว่านี้ โอเคจบ และข้อสามคือเขาหวังแค่อยู่รอดในพรีเมียร์ลีก อย่าไปสู้ทีมใหญ่ ซึ่งคิดตรงกับผมเลย เพราะถ้ายูมาแบบทะเยอทะยานสูงที่จะไปสู้กับเขา ซื้อตัวเยอะแยะสโมสรตายแน่”

ปรากฏว่าสิ่งที่ “เคลาดิโอ รานิเอรี” และ “อัยยวัฒน์” คิด ประสพความสำเร็จเกินคาด เพราะเดิมทีเขาคิดแค่ทำทีมให้อยู่ในพรีเมียร์ลีก แต่เมื่อผลปรากฏว่าพวกเขาสามารถทำทีมจนคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้ จึงเป็นอะไรที่ปาฏิหาริย์มากๆ

จนหลายคนเรียกเทพนิยายเลสเตอร์ฯ

แต่สำหรับ “อัยยวัฒน์” เชื่อว่านี่คือการสร้างทีมอย่างมีแบบมีแผน จนทำให้ชาวเมืองเลสเตอร์ต่างขอบคุณในตัวเขา เหมือนอย่างครั้งหนึ่งในคืนแห่งวันเฉลิมฉลองความสำเร็จถ้วยพรีเมียร์ลีก มีคนแก่คนหนึ่ง อายุน่าจะมากกว่า 85 ปี เดินเข้ามาหา เอาการ์ดมาให้ แล้วบอกว่าเขาเป็นแฟนเลสเตอร์ฯตั้งแต่ 7 ขวบ

“เขาเห็นการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ไม่มีอะไรเลย จนถึงวันนี้ และนี่เป็นโมเมนต์ที่เขามีความสุขที่สุดในชีวิต ขอบคุณมากนะในสิ่งที่ทำ เขาพูดแล้วก็น้ำตาไหล เขารักของเขาจริงๆ เขาชื่นชมพวกเรา จนผมรู้สึกตื้นตันมากๆ”

เป็นความตื้นตันที่นำมาเป็นความสำเร็จในวันนี้

ในวันที่เทพนิยายเลสเตอร์ฯยังต้องดำเนินต่อไป

แต่อย่างที่บอกความสำเร็จของทีมเลสเตอร์ ซิตี้ ไม่ใช่เกิดจากความเป็นทีมเวิร์กอย่างเดียวหรอก หากเกิดจากการวางแผน การบริหารจัดการ การใช้ใจในการบริหารทีม จนกลายเป็นความสำเร็จที่ซ่อนอยู่

โดยมี “วิชัย ศรีวัฒนประภา” เป็นผู้สอนแบบไม่สอนเพื่อให้ “อัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา” เติบโตด้วยตัวเองด้วย

ลองไปอ่านรายละเอียดอีกครั้งในหนังสือเล่มนี้

แล้วคุณจะชอบ ?

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image