ที่มา | คอลัมน์ สยามประเทศไทย มติชนรายวัน |
---|---|
ผู้เขียน | สุจิตต์ วงษ์เทศ |
เผยแพร่ |
กลุ่มสำนึก 300 องค์ ร่วมกับชมรมจักรยาน ผู้นำท้องถิ่น และประชาชนลาว อ.ละหานทราย อ.เฉลิมพระเกียรติ อ.โนนดินแดง อ.ปะคำ และอ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ กว่า 300 คน
ร่วมกันจัดกิจกรรมปั่นจักรยาน จาก อบต.ยายแย้มวัฒนา อ.เฉลิมพระเกียรติ ผ่านหมู่บ้านต่างๆ พร้อมทั้งติดป้ายและจัดเสวนาเพื่อปลุกกระแสให้หน่วยงานภาครัฐและประชาชนคนไทย ร่วมทวงคืนพระโพธิสัตว์และพุทธปฏิมาสำริดปลายบัด 2 รวมถึงทับหลังปราสาทหนองหงส์ ซึ่งขณะนี้พบจัดแสดงอยู่ตามพิพิธภัณฑ์ในหลายประเทศทางอเมริกาและยุโรป (ข่าวสด ฉบับวันจันทร์ที่ 5 กันยายน 2559 หน้า 11)
ทวงคืนโบราณศิลปวัตถุที่เคยอยู่ในไทย แต่ถูกโจรกรรมไปต่างประเทศ เป็นหน้าที่ร่วมกันของรัฐและประชาสังคมไทย โดยผ่านระบบราชการของกระทรวง ทบวง กรม
งานทวงคืนทุกชิ้นอย่างนี้ต้องทำทันทีและสม่ำเสมอ แม้ความหวังได้คืนไม่มาก แต่ต้องไม่ท้อถอย หรือหยุด เพราะเกี่ยวข้องกับกฎหมายระหว่างประเทศที่ต้องอ้างอิงหลักฐานในการทวงถาม ขณะเดียวกันต้องทำเป็นสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
กรณี ทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์ จากปราสาทพนมรุ้งที่ได้คืนมา ไม่ได้สำเร็จในคราเดียว แต่ครั้งแรกกับครั้งหลังห่างกันนานนับสิบปี
ที่ต้องทำพร้อมกันไปด้วยอย่างเอาจริงเอาจัง ได้แก่ แบ่งปันความรู้เกี่ยวกับโบราณศิลปวัตถุเหล่านั้น เกี่ยวข้องผู้คนนานาพันธุ์ กับดินแดนแถบนั้นอย่างไร?
โดยไม่ฟูมฟายแต่วิชาประวัติศาสตร์ศิลปะและศาสนาจนไม่พูดเรื่องอื่นๆ ที่สำคัญมากกว่า ได้แก่ข้อมูลความรู้ความสัมพันธ์ระหว่างคนที่ราบสูงกับคนที่ราบลุ่ม ที่มีพัฒนาการทางสังคมวัฒนธรรมจนปัจจุบันเป็นคนลาว, เขมร, ไทย, และอื่นๆ
เฉพาะบริเวณลุ่มแม่น้ำมูล หรืออีสานใต้ เป็นถิ่นฐานดั้งเดิมของวงศ์กษัตริย์ที่สร้างปราสาทในนครวัดกับนครธม ขณะเดียวกันก็เป็นเครือญาติวงศ์กษัตริย์รัฐละโว้-อโยธยา หรือกรุงศรีอยุธยา
ปัญหาอยู่ที่กระทรวงวัฒนธรรมให้ความสำคัญการแต่งตัวชุดไทยมากกว่าอย่างอื่น กิจกรรมแบ่งปันความรู้จึงไม่มี
นี่แหละความเป็นไทย