แท็งก์ความคิด : เป็นที่พึ่งแห่งตน

ฟังเทศน์ปฏิบัติธรรมเป็นอีกแนวทางหนึ่งในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ระบาด

แม้หลายคนอาจจะแย้งว่า ช่วยลดโควิด-19 ไม่ได้ แต่การปฏิบัติธรรม ทำให้มีสติตลอด

หากมีสติตลอดก็สามารถป้องกันโควิด-19 ได้

เพราะสาเหตุที่ทำให้ติดโรคโควิด-19 คือ การนำเอาไวรัสเข้าสู่ร่างกาย

Advertisement

เข้าสู่ร่างกายทางตา หู จมูก ปาก

ถ้าสวมหน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อย เว้นระยะห่าง ไม่เอามือไปแคะแกะเกลาที่ใบหน้า

โอกาสที่ไวรัสจะเข้าสู่ร่างกายก็มีน้อย

Advertisement

แต่การห้ามใจไม่ให้เผลอทำเช่นนั้นได้นั้นยาก ยกเว้นว่าเราจะมีสติตลอดเวลา

พอมือจะเอื้อมไปบริเวณใบหน้าก็ละเสีย ทำให้โอกาสติดโรคโควิด-19 น้อยลง

นอกจากนี้การฟังเทศน์ยังดึงให้เรากลับมาพิจารณากายใจ

ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และอนัตตา

เปลี่ยนแปลง แตกสลาย และบังคับไม่ได้

ฟังเทศน์ฟังธรรมยังทำให้เห็นจิตตัวเองอยู่ไม่นิ่ง

เดี๋ยวคิดนั่น เดี๋ยวคิดนี่

เดี๋ยวระลึกความหลัง เดี๋ยวฝันถึงอนาคต

เดี๋ยวทุกข์ เดี๋ยวสุข เดี๋ยวรู้สึกเฉยๆ

ฟังไปนานๆ คำสอนขององค์สาวกพระพุทธเจ้าก็เข้าหู บอกว่าทุกอย่างไร้ตัวตน

ความทุกข์อยู่ที่ใจ ความสุขอยู่ที่ใจ

ใจอยู่กับความคิด

เมื่อคิดกุศลก็มีความสุข เมื่อคิดอกุศลก็มีความทุกข์

คิดอกุศล หรือคิดกุศล ขึ้นอยู่กับการถือศีล 5 ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดในกาม ไม่มุสา ไม่ดื่มสุราเมรัย

พระท่านสอนว่า ศีล 5 คือพื้นฐานที่ทุกคนต้องปฏิบัติ

ปฏิบัติตามแล้วทำให้จิตใจสะอาด เกิดความคิดอันเป็นกุศล

เมื่อใจเป็นกุศล กายก็เป็นสุข

สรุปคือทุกข์สุขต้องกลับคืนสู่กายและใจ

คืนกลับสู่สามัญ

หลักปฏิบัติเบื้องต้นที่ทำให้กายใจเป็นสุขคือศีล 5

เป็นหลักปฏิบัติที่สามัญชนธรรมดา แต่จำเป็น หากต้องการเป็นสุข

หยิบยกเอาคำเทศน์คำธรรมที่ทำให้ระลึกถึงความเป็นสามัญมาปรับใช้กับปัจจุบัน

ท่ามกลางสถานการณ์โรคระบาดที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะยุติ

ทุกคนน่าจะกลับคืนสู่สามัญ

สำรวมกายสำรวมใจ ระมัดระวังมิให้ไวรัสกล้ำกรายเข้าสู่ร่างกาย

ครอบครัวสำรวจดูแลกันเอง

บ้านไหนยังไม่มีผู้ป่วยถือว่าโชคดีมากๆ

บอกย้ำให้ทุกคนพึ่งตนเอง สวมหน้ากากอนามัย เว้นระยะห่าง ล้างมือด้วยสบู่ ทานอาหารร้อน

บ้านไหนมีผู้ป่วย ใช้โมเดล Home isolation หรือถ้าชุมชนไหนเข้มแข็งจะใช้โมเดล Community isolation ก็ดี

เริ่มต้นจากโทรหมายเลข 1330 จากนั้นแยกกักตัวเอง

ทางการจะมีอาหารไปส่งให้ 3 มื้อ ทุกวัน เจ้าหน้าที่จะนำอุปกรณ์ติดตามอาการ เทอร์โมมิเตอร์ เครื่องวัดออกซิเจน ยาฟ้าทะลายโจร ยาฟาวิพิราเวียร์ ไปส่งให้ถึงที่พัก

ระหว่างอยู่บ้าน จะมีแพทย์ พยาบาล บุคลากรสาธารณสุข ติดตามอาการใกล้ชิดผ่านทางวิดีโอคอล หรือโทรศัพท์ อยู่ครบ 14 วัน อาการหายไป ลองตรวจโควิด-19 อีกรอบ

ถ้าไร้เชื้อก็โอเค

กรณี Home isolation นี้เหมาะสำหรับผู้ป่วยไม่มีอาการ ส่วนผู้ป่วยที่มีอาการ ต้องได้รับการรักษาใกล้ชิด

เริ่มจากติดต่อทางการ ถ้าทางการไม่พร้อม ให้ติดต่อมูลนิธิ หรือหน่วยงานเอกชนที่เขามีศักยภาพ

ถ้ายังเงียบก็ให้โพสต์ข้อมูลอาการลงโลกโซเชียล

ต้องทำเรื่อยๆ เพื่อให้สังคมรับรู้

ณ เวลานี้ทุกคนต้องศึกษาธรรมชาติของเชื้อโรค

ทุกชุมนุมหมู่บ้านต้องวางมาตรการป้องกันการระบาด และการรักษาผู้ป่วยกันเอง

เช่นเดียวกับอำเภอ และจังหวัดที่ต้องแสวงหาวิธีป้องกันโรค

นอกจากการป้องกันโรคแล้ว ยังมีเรื่องรายได้และรายจ่ายในการดำเนินชีวิต

ทุกคน ทุกครอบครัว ทุกองค์กร จำเป็นต้องวางแผนใหม่

การเยียวยาภาครัฐที่มีให้ ไม่น่าเพียงพอกับรายจ่ายที่เคยใช้

ณ ห้วงเวลานี้ ทุกอย่างต้องคืนสู่สามัญ

ปัจจัยสี่ คือ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่พักอาศัย และยารักษาโรค คือพื้นฐาน

แสวงหาให้ได้ ตระเตรียมให้พร้อม เพราะสถานการณ์โรคระบาดนี้ยังไม่สิ้นสุด

เชื้อไวรัสอันเป็นต้นเหตุของโรคโควิด-19 กลายพันธุ์ยังแผลงฤทธิ์

จำนวนวัคซีนที่เคยหวังว่าจะมีเพียงพอ ตอนนี้ได้ไม่ครบตามเป้าหมาย

จำนวนผู้ป่วยพวยพุ่ง เกินจำนวนเตียงที่โรงพยาบาลมี

เมื่อแนวป้องกันเจอโรคโควิด-19 ตีแตก

เมื่อการบังคับให้เชื้อโรคอ่อนแรงไร้ฤทธิ์ไม่ประสบผลตามเป้าหมาย

คงต้องปล่อยให้ธรรมชาติแก้ไข

เชื้อโรคมีเกิดมีดับตามวัฏจักร ถ้าเราป้องกันตัวเองจนถึงวันที่เชื้อโรคดับได้เราก็รอด

ณ เวลานี้ถึงเวลาที่ทุกคนต้องทำหน้าที่

ภาครัฐลุยงานต่อไป

ส่วนภาคเอกชน และภาคประชาชนต้องหันมาพึ่งตนเอง

ทุกชุมชนต้องพึ่งพากัน ท่องคาถา คืนสู่สามัญ เข้าไว้

คนที่กำลังอ่อนล้าขอให้กลับไปที่บ้าน

ขอให้กลับไปที่กายใจ

กลับไปที่ถ้อยคำ “ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน”

นฤตย์ เสกธีระ

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image