ผู้เขียน | จันทร์รอน |
---|
เริงโลกด้วยจิตรื่น : ปล่อยไปสู่‘โลกฝั่งโน้น’
หากความเข้าใจในโลก และชีวิตมาถึงจุดที่เห็นว่าสรรพสิ่งในโลก และชีวิตแบ่งเป็น 2 แบบใหญ่ๆ
หนึ่ง เป็นไปตามที่ความคิดสรุปให้เป็น และยึดมั่นในความเชื่อว่าเป็นนี่เป็นนั่น อย่างนั้นอย่างนี้ อย่างเช่นเป็นนก เป็นคน เป็นรถ เป็นบ้าน เป็นห้างสรรพสินค้า เป็นร้านอาหาร หรือเป็นอะไรต่ออะไรไปทุกสิ่งอย่าง
มีความเป็นอย่างหนึ่งอย่างใดที่แน่นอนต่างจากสิ่งอื่นๆ
สอง เป็นแค่สภาวะในปัจจุบันขณะแปรเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลาตามความเปลี่ยนแปลงของเหตุปัจจัยหลากหลายที่มาประกอบกันเข้า
ถ้าความเข้าใจมาถึงจุดนี้ เราจะเข้าใจสิ่งที่เรียกว่า “ความทุกข์” มากขึ้น
“ความทุกข์” นั้นคือสภาวะที่เกิดขึ้นเมื่อมีความเข้าใจโลกและชีวิตแบบแรก คือสรรพสิ่งดำรงอยู่ความแน่นอนอย่างหนึ่งอย่างใดตามที่ความคิดสรุปให้เป็น และความเชื่อยึดความเป็นอย่างนั้นไว้
แต่ในความเป็นจริงของสรรพสิ่งไม่ได้เป็นไปอย่างแบบที่หนึ่ง คือมีความแน่นอน กลับเป็นอย่างที่สอง คือแปรเปลี่ยนไปตามเหตุที่มาประกอบ และแต่ละเหตุนั้นก็ประกอบด้วยเหตุย่อยลงไปที่แปรเปลี่ยน การผสานผสมที่ขับเคลื่อนไปในความเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
การยึดถือความเชื่อว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใดแน่นอน ที่ขัดแย้งกับความเป็นไปที่แท้จริง คือไม่มีความแน่นอนอะไรดำรงอยู่
ความจริงที่ไม่เป็นอย่างที่ความเชื่อพาไปยึดถือไว้ ทำให้เกิดความไม่พอใจ และนั่นเป็นต้นทางของความทุกข์
ไม่พอใจเมื่อสิ่งที่รักที่ชอบแปรเปลี่ยน เสื่อมทรุด เสียหาย
ไม่พอใจที่สิ่งที่ไม่ชอบ ไม่เปลี่ยนแปลงไปตามความอยาก
และการเกิดขึ้นของความทุกข์ร้อน อาจจะซับซ้อน ไปจนถึงนั้น แม้ไม่มีสิ่งใดอยู่ แต่ใจไปตั้งความหวังว่าจะเกิดสิ่งใดสิ่งหนึ่งในทางที่่ดีงามกับชีวิต หรือจะเกิดการสลายหายของสิ่งที่ไม่พึงพอใจ จากนั้นก็เชื่อว่าจะเกิดจะเป็นไปอย่างที่หวังไว้นั้น แล้วไปยึดถือความเชื่อนั้นเป็นความแน่นอน จริงแท้ขึ้น
เมื่อไม่เป็นไปอย่างที่ยึดถือ สภาวะเจ็บปวดรวดร้าวก็เกิดขึ้น เป็นหน่อของความระทมทุกข์ที่ผลิใบ ขยายกิ่งขึ้นในสภาวะจิต
ชีวิตส่วนใหญ่วนเวียนอยู่ในห้วงคำนึงแบบที่ 1 นี้
ที่เห็นสนุกสนาน หัวเราะระรื่น ร่ำร้องในปลาบปลื้มยินดี ด้วยสารพัดสุขกันโดยทั่วนั้น
เพราะกระทั่งการยึดติดกับความเชื่อตามที่หวัง ก็เป็นหนึ่งในความไม่แน่นอนด้วย
ใช่ว่าจะเป็นความผิดจากหวังไปเสียทุกครั้ง ด้วยเหตุที่สภาวะต่างๆ เกิดขึ้นเป็นอาการของผลจากการประกอบกันของเหตุปัจจัยต่างๆ
มีความเป็นไปได้สิ่งที่มาประกอบกันนั้น ก่อให้เกิดสิ่งที่เป็นไปตามที่หวัง และยึดถือตามความเชื่อว่าจะเกิดขึ้น
เป็นความสมหวัง
อีกอย่างคือธรรมชาติของความคิดนั้นเป็นไปตามสัญชาตญาณของการหลีกเลี่ยงสภาวะที่ทำให้เกิดความเจ็บปวด ไม่ว่าทางร่างกาย หรือทางจิตใจ
ธรรมชาติเช่นนี้ทำให้ความคิดที่ยึดเกาะอยู่กับสิ่งหนึ่งสิ่งใด กระโดดไปกระโดดมา เปลี่ยนสิ่งที่ยึดที่เกาะไปเรื่อย ทนกับสิ่งหนึ่งไม่ไหวก็โผไปนึก ไปคิดถึงอีกสิ่งหนึ่ง ไม่มีอะไรให้เกาะแล้วสุุขสบายอยู่ในความทรงจำ ก็จินตนาการขึ้นมาใหม่ และยึดเกาะความฝันเพ้อนั้น เพื่อไปให้พ้นจากความทรงจำที่ทำให้เจ็บร้าว
การแสวงหาความบันเทิง เริงรมย์ เมามายให้คลายจากบางห้วงคำนึง คือความสามารถที่จะจัดการตามสัญชาตญาณเพื่อพาจิตไปอยู่ในภาวะพ้นจากทุกข์เช่นกัน
นั่นเป็นโลกของการมีชีวิตด้วยการยึดติดความเชื่อ ตามที่ความคิดสร้างสรรค์ขึ้น
เคลื่อนไปในการไม่ยอมรับความไม่แน่นอน เมื่อสิ่งหนึ่งแปรเปลี่ยน ก็โดยไปเกาะสิ่งอื่นที่ยังให้ความรู้สึกว่ามีอยู่แน่นอน แม้กระทั่งมีอยู่ในจินตนาการ
ปลอบประโลมใจด้วยความบันเทิงต่างๆ แปรเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เป็นการจัดการของความคิดที่เปลี่ยนสิ่งที่จิตต้องรับรู้ไปทางโน้นที ทางนี้ที
กระนั้นก็ตาม ความสามารถที่จะหลบเลี่ยงนั้นที่สุดแล้วก็คือ สิ่งที่ความคิดปรุงแต่งจัดการให้เกิดขึ้นเช่นกัน ซึ่งหมายถึงอยู่กลุ่มที่ประกอบด้วยคุณสมบัติที่จะให้เกิดความไม่แน่นอนอยู่เช่นกัน
ทำให้บ่อยครั้ง ความสามารถของจิตที่จะกระโดดเลี่ยงจากอารมณ์ที่ทำร้ายจิตไม่เกิดขึ้น เกิดอาการจมอยู่ในความคิดที่ขยายความเชื่ออันเลวร้ายขึ้นมา และดิ้นรนอยู่ในความยึดติดนั้นอย่างไม่มีปัญญาที่จะปลดปล่อยให้จิตกระโดดไปเรื่องอื่น
ก่อเกิดความหม่นหมองครอบคลุมความรู้สึก พาจมดิ่งลึกลงไปในความรวดร้าว รันทด
บางคนต้องดิ้นรนให้พ้นด้วยการเด็ดชีวิตทิ้ง หนีไปเสียจากโลกที่ถูกความเชื่อ ความคิดปรุงแต่งครอบงำ ลงทัณฑ์นั้น
และเรื่องน่าเศร้าเช่นนั้นเกิดขึ้นได้เสมอ
ชีวิตมนุษย์นั้นมักดำเนินอยู่ในโลกในแบบที่หนึ่งนี้ มีที่โผบินไปตามความคิดความฝันได้ แต่มีบ้างเช่นนั้นคือจมดิ่งลงสู่ห้วงของความสิ้นหวัง ไร้จินตนาการ
วนเวียนกลับไปกลับมาเช่นนี้
จนกว่าวันหนึ่งจะตระหนักรู้ขึ้นมาได้ถึงชีวิตในอีกสภาวะหนึ่ง คือสงบอยู่ต่างหาก นอกการปรุงแต่งเหล่านั้น
เป็นการปรุงแต่งเป็นธรรมชาติของโลกอีกฝั่งหนึ่ง
ขณะที่ชีวิตดำเนินไปในโลกอีกฝั่งหนึ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกับความแปรเปลี่ยน
เป็นชีวิตที่อยู่นอกสิ่งที่เป็นเหตุ ที่ไม่ก่อให้เกิดผลใดๆ อีก