จีนเป็นผู้ร้าย ในประวัติศาสตร์ไทย ฉบับอัลไต-น่านเจ้า

จีนเป็นผู้ร้าย ในประวัติศาสตร์ไทย

ฉบับอัลไตน่านเจ้า

ประวัติศาสตร์ไทยฉบับอัลไตน่านเจ้า มีกำเนิดจากการเมืองสมัยอาณานิคม และเติบโตกว้างขวางด้วยการเมืองสมัยชาตินิยม โดยสรุปง่ายๆ ดังนี้

(1.) ชนชั้นนำสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ใช้โฆษณาชวนเชื่อทางการเมืองของราชสำนักเรื่องประวัติศาสตร์ไทยถูกจีนรุกรานและสร้างอาณาจักรน่านเจ้า โดยได้จากงานศึกษาของนักค้นคว้าชาวยุโรปสมัยอาณานิคมที่เพิ่งสร้าง “เชื้อชาติ” ขึ้นในโลกแล้วปลุกกระแสคลั่งเชื้อชาติไทย

Advertisement

(2.) ชนชั้นนำสมัยหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.. 2475 ขยายความประวัติศาสตร์ไทยจากน่านเจ้าออกไปถึงอัลไตใช้งานการเมืองชาตินิยม “แบบคลั่งเชื้อชาติไทย” ผ่านกิจกรรมต่างๆ เช่น เพลงชาติ, เพลงปลุกใจ เป็นต้น

หลัง 2475 คณะราษฎรสถาปนากรมศิลปากร แล้วมอบภาระหน้าที่อย่างหนึ่งคือกิจกรรมเผยแพร่การเมืองชาตินิยม “แบบคลั่งเชื้อชาติไทย” ผ่านข้อมูลความรู้ทางประวัติศาสตร์โบราณคดีตามแนวทางประวัติศาสตร์ไทยฉบับอัลไตน่านเจ้า มีหลักฐานเรื่องหนึ่งที่สำคัญมาก ได้แก่ “เพลงดนตรีประวัติศาสตร์” แต่งเป็นกลอนโดยหลวงวิจิตรวาทการ (.. 2482) มีเนื้อหาตอนต้น ดังนี้

ชาติเรามีสมัญญาว่าชาติไทย           เป็นชาติใหญ่แต่โบราณนานนักหนา

Advertisement

ภูมิลำเนาของเราแต่ก่อนมา            อยู่ท่ามกลางพสุธาของเอเชีย

เมื่อชาติจีนรุกร้นร่นลงใต้             เข้าแย่งไทยทำกินถิ่นก็เสีย

จีนไล่ไทยเหมือนไฟไหม้ลามเลีย          ไทยต้องเสียดินแดนแคว้นโบราณ

ถูกแย่งที่หนีร่นลงทางใต้             ไทยมาตั้งเมืองใหม่อย่างไพศาล

ชื่อน่านเจ้าอยู่ไปไม่ได้นาน                   จีนก็ตามรุกรานถึงทางนี้

เมื่อถูกรุกสุดสู้อยู่ไม่ได้              ไทยก็แตกแยกกันไปหลายวิถี

ไทยอีสานเลื่อนลงโขงนที                      ไทยใหญ่หนีร่นมาอยู่สาละวิน

พวกไทยน้อยพลอยเลื่อนเคลื่อนลงมา      อยู่แม่น้ำทั้งห้าทางทักษิณ

คือ ยม น่าน ปิง วัง ตั้งทำกิน          พวกไทยกลางยึดถิ่นเจ้าพระยา

ประวัติศาสตร์ไทยฉบับอัลไตน่านเจ้า เป็น “นิยาย” ที่ถูกเขียนขึ้นเพื่อ “ด่าจีน” ด้วยการสร้างภาพจีนเป็นผู้ร้ายผู้รุกรานไทย ซึ่งสอดคล้องการเมืองสหรัฐปิดล้อมจีนสมัยสงครามเย็น รัฐบาลไทยสมัยนั้นรับประโยชน์จากสหรัฐดำเนินนโยบายต่อต้านคอมมิวนิสต์จีน จึงเน้นการเรียนการสอนประวัติศาสตร์ไทยฉบับอัลไตน่านเจ้าทุกระดับตั้งแต่ประถม, มัธยม, อุดม

ดังนั้นอาจารย์มหาวิทยาลัยไทยทุกแห่งต้องมีการเรียนการสอนเรื่องอัลไตน่านเจ้า แล้วเน้นย้ำ “สุโขทัยเป็นราชธานีแห่งแรกของไทย” อย่างคลั่งไคล้ประวัติศาสตร์ศิลปะสมัยสุโขทัยตามระบบท่องจำ “ห้ามถาม ห้ามเถียง” ใครเถียงถูกใส่ร้ายเป็นผู้คิดคดทรยศขบถเข้าข่ายเป็นคอมมิวนิสต์ (เรื่องนี้ผมเคยโดนด้วยตนเองตอนเป็นนักเรียนโบราณคดี)

แต่อาจารย์พวกนี้ไม่เคยแสดงหลักฐานทางโบราณคดีจากการศึกษาค้นคว้าของตนเองสนับสนุนแนวคิดทฤษฎีอัลไตน่านเจ้า จนถึงสุโขทัยราชธานีแห่งแรก มีแต่งึมๆ งำๆ ดำน้ำบุ๋มๆ ตามฝรั่งคลั่งเชื้อชาติอย่างไม่ละอายแก่ใจ ซึ่งเป็นไปตามวัฒนธรรมเจ้าขุนมูลนายไม่ยอมรับผิดในสิ่งที่ตนกระทำพลาด

ผู้มีประสบการณ์บอกว่าการเรียนการสอนของคนในเครื่องแบบทุกวันนี้ยังเป็นเหมือนเดิมตามประวัติศาสตร์ไทยฉบับอัลไตน่านเจ้า

นักประวัติศาสตร์โบราณคดีทางการ รวมถึงครูบาอาจารย์มหาวิทยาลัย มักแสดงตนเป็น “คนดี” แล้วยกย่องว่าประวัติศาสตร์โบราณคดีเป็นวิชาการบริสุทธิ์ เพราะ “ไม่ยุ่งเกี่ยวการเมือง” ด้วยท่าทีเหยียดหยามการเมืองเป็นเรื่องสกปรกโสโครก ส่วนนักวิชาการครูบาอาจารย์ประวัติศาสตร์โบราณคดีล้วนบริสุทธิ์ผุดผ่องดังทองทาไม่แปดเปื้อนเรื่องสกปรกโสโครกนั้น

แต่ตามหลักฐานที่ยกมาตั้งแต่ต้นกลับตรงข้ามอย่างสิ้นเชิง ว่าแท้จริงแล้วประวัติศาสตร์โบราณคดีเป็นเครื่องมือทางการเมืองมากกว่า 100 ปีมาแล้ว แต่นักวิชาการครูบาอาจารย์เหล่านี้สำคัญตนผิดมาตลอด ขณะเดียวกันก็ปิดหูปิดตานักศึกษาและประชาชนทั้งประเทศให้เข้าใจผิดเรื่องบรรพชนคนไทยในประวัติศาสตร์ และตราบจนทุกวันนี้ยังมีครูบาอาจารย์อย่างนั้นในมหาวิทยาลัย (ที่สนับสนุน “เป่านกหวีด” เหนือกว่าสนับสนุนความก้าวหน้าวิชาการสากล)

เพื่อชดเชยสิ่งที่ขาดหายไป จึงขอแนะนำแสวงหาข้อมูลข่าวสารด้วยตนเองในหนังสือเขียนจีนให้เป็นไทย โดย สิทธิเทพ เอกสิทธิพงษ์ (สำนักพิมพ์มติชน ราคา 420 บาท) อ่านแล้วรู้เท่าทันประวัติศาสตร์ไทยของทางการ

แผนที่ประวัติศาสตร์ไทยฉบับอัลไตน่านเจ้า แสดงการเคลื่อนย้ายของคนเชื้อชาติไทยแท้ (ซึ่งเชื่อว่ามีจริง) เพื่อประกอบการเรียนการสอนในสถานศึกษาทุกระดับจนถึงในกองทัพ แล้วยังถูกใช้ตราบจนทุกวันนี้แม้จะถูกยกเลิกไปแล้ว (ภาพจาก แผนที่ภูมิศาสตร์ชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นและตอนปลาย. ทองใบ แตงน้อย, ไทยวัฒนาพานิช, 2530.)

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image