ที่มา | หน้าประชาชื่น มติชนรายวัน |
---|---|
ผู้เขียน | คมกฤช อุ่ยเต็กเค่ง |
เผยแพร่ |
คมกฤช อุ่ยเต็กเค่ง : การเมืองนัวเนียกับศาสนา ไม่ว่าภารตะหรือสยาม
ไม่รู้ใครไปเริ่มสอนสั่งว่า “การเมือง” เป็นเรื่องสกปรก เต็มไปด้วยเล่ห์กลโกง นักการเมืองนั้นส่วนมากเข้ามากอบโกย จะมีดีอยู่บ้างก็น้อย การสอนสั่งเช่นที่ว่าทำให้คนรังเกียจการเมือง โดยเฉพาะศาสนิกชน
ด้วยเหตุนี้ แม้แต่ฝ่ายที่ออกตัวว่านิยมประชาธิปไตย หลายคนยังรู้สึกไม่พอใจที่มีพระภิกษุสามเณรหลายรูปออกมาเคลื่อนไหวพร้อมๆ กับประชาชน บอกว่าไม่ใช่กิจของสงฆ์ก็มี
อาจารย์นิธิ เอียวศรีวงศ์เคยกล่าวในทำนองว่าอันที่จริง กฎของมหาเถรสมาคมที่ห้ามพระภิกษุเคลื่อนไหวทางการเมืองโดยปราศจากนิยามว่าการเมืองคืออะไรนั้น คือการเมืองในตัวเองทีเดียว เพราะฝ่ายพระที่มีอำนาจซึ่งทำเหมือนนิ่งเฉยกับการเมือง แต่ในความเป็นจริงเข้าข้างฝ่ายรัฐโดยตลอด และนั่นคือการเล่นการเมืองโดยอ้างว่าไม่ใช่การเมืองหรือเล่นการเมืองแบบอีแอบนั่นแหละ
เราจึงได้เห็นพระที่มีสมณศักดิ์สูงให้การต้อนรับและทำพิธีกรรมต่างๆ ให้แก่นักการเมืองและคนในรัฐบาลอย่างเต็มที่ โดยไม่สนว่าคนเหล่านั้นจะละเมิดศีลมากน้อยแค่ไหน หรือไม่ก็ออกมาเชลียร์ในรูปแบบต่างๆ
ในทางตรงข้าม เราจึงได้เห็นพระเล็กพระน้อยที่ออกมาเคลื่อนไหวสนับสนุนฝ่ายประชาธิปไตยถูกตั้งข้อหาสารพัด ทั้งๆ ที่ท่านเหล่านี้เลือกเคลื่อนไหวในแนวทางสันติวิธีที่ไม่ได้ละเมิดพระธรรมวินัย แต่เพราะอยู่ตรงข้ามกับฝ่ายบ้านเมือง จึงกลายเป็นผู้ประพฤติ “ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง” อันเป็นการละเมิดกฎของมหาเถรสมาคม
เอาเข้าจริง หากการเมืองคือ “อำนาจนานาชนิดในการจัดสรรแบ่งปันทรัพยากร” ตามนิยามของอาจารย์นิธิแล้ว จะมีใครปลอดพ้นไปจากการเมืองได้บ้าง เพราะแม้แต่นักบวชก็ต้องเข้าสู่การจัดสรรแบ่งปันทรัพยากรตามอำนาจทางวัฒนธรรมที่ตัวเองมีอยู่
ดังนั้น ความพยายามที่จะ “เป็นกลาง” ทางการเมืองของนักบวชหรือพระ จึงเป็นความพยายามหลีกเลี่ยงการเมืองเฉพาะในระบบโดยตรงแต่เพียงอย่างเดียว เช่น ไม่เป็นสมาชิกพรรคการเมือง ไม่ลงเลือกตั้งหรือไม่เลือกตั้ง แต่กลับไปเล่นการเมืองในคณะนักบวชของตัวหรือใช้ความสัมพันธ์กับรัฐให้เป็นประโยชน์ แล้วเสแสร้งว่าไม่เกี่ยวข้องกับการเมืองทุกประการ อันนี้จึงไม่ใช่การไม่เกี่ยวข้องหรือเป็นกลางทางการเมือง แต่เป็นการเมืองในตัวเองอย่างที่อาจารย์นิธิบอกไว้ แถมเป็นแบบไม่สร้างสรรค์ด้วย
ในเมื่อเราไม่อาจที่จะหลีกเลี่ยงการเมืองในมิติอื่นๆ ของชีวิตได้ ความเป็นกลางทางการเมืองสำหรับพระหรือนักบวชอาจหมายถึงการเกี่ยวข้องกับการเมืองอย่างสร้างสรรค์และยึดมั่นในท่าทีสำคัญของศาสนาไว้ โดยใช้ท่าทีนี้ทำความเข้าใจและสัมพันธ์กับปรากฏการณ์ทางสังคมที่ตัวอยู่ เช่น ไม่ว่าฝ่ายใดหากกระทำความรุนแรงต่ออีกฝ่าย ซึ่งเป็นการขัดต่อศีลธรรมพื้นฐานของพุทธศาสนา พระในพุทธศาสนาก็ควรเห็นว่า นี่คือความทุกข์ของเพื่อนมนุษย์และสรรพสัตว์ที่ตนไม่ควรนิ่งเฉย ยิ่งหากล่วงเลยไปถึงขั้นปาณาติบาตแล้ว ก็ควรออกมาประณาม หรือรวมตัวกัน “คว่ำบาตร” ต่อฝ่ายนั้นตามพระธรรมวินัย
องค์ทะไลลามะที่ 14 ซึ่งชนชั้นนำและชนชั้นกลางไทยเราพากันนิยมชมชอบ โดยไม่ค่อยใส่ใจในสิ่งที่ท่านสอนสักเท่าไหร่ ถึงกับเคยตรัสว่า การลงไปทำงานการเมืองอย่างสร้างสรรค์นั้น อาจถือเป็นการปฏิบัติในวิถีโพธิสัตว์ได้เลยทีเดียว นี่เป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นการตีความพุทธศาสนาให้เกี่ยวข้องกับการเมืองอย่างสร้างสรรค์ได้ โดยไม่ต้องรังเกียจเดียดฉันท์การเมืองอย่างที่เป็นอยู่ในบ้านเรา
ผมเข้าใจเอาเองว่า ความคิดที่ว่าพระหรือนักบวชจะต้องไม่ยุ่งกับการเมืองในเมืองไทย อาจค่อยๆ ก่อร่างขึ้นผ่านการก่อตั้งคณะสงฆ์สายวัดป่า ซึ่งเป็นความพยายามจะแสดงให้เห็นว่า มีพระอีก “สาย” หนึ่งที่ปฏิบัติธรรมอย่างเคร่งครัดจริงจัง โดยไม่ยุ่งเกี่ยวกับวิถีชีวิตของฆราวาสเหมือนพวก “พระบ้าน” ทั้งๆ ที่มีงานศึกษาออกมาแล้วว่าการเกิดขึ้นของพระสายวัดป่า ในทางหนึ่งคือความพยายามจะต่อสู้กับภัยคอมมิวนิสต์ของชนชั้นนำ การเชิดชูพระในสายไม่ยุ่งการเมืองนี้ ที่จริงก็เป็นการเมืองอีกแบบเช่นกัน
จากที่กล่าวมาข้างต้น ซึ่งผมคิดเองบ้างและได้รับจากนักวิชาการท่านอื่นบ้าง หลายท่านได้ทำงานเพื่อจะแสดงให้เห็นว่าการเมืองเกี่ยวข้องกับศาสนาอย่างไร ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์ระหว่างศาสนากับรัฐที่ต่างก็ช่วงใช้กันไปมา หรือการเมืองภายใต้ระบบของศาสนาเอง ผมได้อาศัยคำอธิบายและความคิดของนักวิชาการเหล่านี้ มาต่อยอดเขียนบทความในมติชนสุดสัปดาห์หลายต่อหลายครั้ง จึงอยากแสดงความขอบคุณไว้ด้วย
กระนั้น งานอีกอย่างซึ่งนักวิชาการหลายท่านอาจไม่สนใจเพราะเป็นภาระทางใจของศาสนิกเสียมากกว่า คือการพยายามแสดงให้เห็นมิติที่ไม่สร้างสรรค์และสร้างสรรค์ รวมทั้งการตีความคำสอนทางศาสนาเพื่อตอบสนองต่อปรากฏการณ์ทางการเมืองในสังคมร่วมสมัย ผมผู้เห็นตัวเองเป็นศาสนิกที่ปรารถนาดีต่อทั้งศาสนา สายธรรมคำสอน เพื่อนศาสนิกและเพื่อนมนุษย์ที่ยังคงต้องการให้ศาสนาดำรงอยู่ต่อไปอย่างมีความหมาย จึงมาเน้นทำงานอันนี้มากกว่า
ความพยายามที่ว่านั้น ได้ทำให้ผมกลายเป็นคนเชยแสนเชยที่ยังหวังว่าศาสนาจะรอด ในโลกที่คนคิดกันแล้วว่าศาสนาไม่มีความหมายอะไรอีกต่อไป แต่ในทางกลับกัน ผมก็กลายเป็นคนหัวรุนแรงที่ดูเหมือนพยายามจ้องจะล้มศาสนาสำหรับเพื่อนศาสนิกสายอนุรักษนิยมที่อ่านไม่แตก ตราบใดที่เขายังไม่เอาอะไรมาตีหัวผม ผมก็เพียงทำได้แค่ยิ้มแห้งๆ แล้วก้มหน้าก้มตาเขียนบทความเท่าที่เขายังให้เขียน
นอกจากปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในบ้านเราแล้ว ด้วยความสนใจวัฒนธรรมภารตะหรืออินเดียเป็นทุนเดิม หลายครั้งปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองนั้นก็น่าสนใจเกินกว่าจะปล่อยผ่าน ผมจึงได้หยิบเอาเหตุการณ์เหล่านั้นมาสะท้อนความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ทั้งเพื่อเป็นตัวอย่างให้เห็นว่า ในโลกที่มีประชาธิปไตยมากกว่าเรา แต่มีวัฒนธรรมและศาสนาคล้ายเราอย่างอินเดีย ศาสนากับการเมืองยังสามารถสัมพันธ์กันอย่างไรได้บ้าง อาจมีทั้งที่สร้างสรรค์และไม่สร้างสรรค์เช่นเดียวกัน แต่การที่เราได้เห็นตัวอย่างภายนอกจักรวาลของเราออกไป อาจจะช่วยให้เราเกิด “จินตนาการ” ซึ่งเป็นสิ่งที่เราขาดที่สุดในการนึกถึงอนาคต (ที่ยังมืดดำ) หรือนึกถึงความเป็นไปได้อื่นๆ ในบ้านเราเอง
แม้หลังๆ ผมจะเขียนบทความในเชิงโบราณคดีหรือวัฒนธรรมน้อยลง ส่วนประเด็นทางศาสนากับการเมืองที่มีมากขึ้นนั้น ดูเหมือนจะขาดมุมมองที่เฉียบคมอยู่ แต่อย่างน้อยที่สุด ผมยังพอมีจินตนาการความฝันใฝ่และตัวอย่างใหม่ๆ ที่อยากจะแบ่งปันกับท่านผู้อ่านในภาวะที่บ้านเมืองของเราวิกฤตดังที่เป็นอยู่ ซึ่งคงพอเป็นเครื่องประดับสติปัญญาของท่านผู้อ่านได้บ้าง
ในการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ผมคิดว่าการต่อสู้ทางการเมืองในรัฐสภาและบนถนน รวมทั้งการเคลื่อนไหวต่างๆ อาจไม่เพียงพอ เพราะในทางหนึ่ง อุปสรรคต่อระบอบประชาธิปไตยในบ้านเราคือความเชื่อและความคิดที่ล้าหลัง อันปฏิเสธไม่ได้ว่ามีที่มาจากศาสนาและวัฒนธรรมที่ถูกแช่แข็ง การจะแก้ไขอุปสรรคเหล่านั้นคือการเข้าไปต่อสู้เพื่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในทางศาสนาและวัฒนธรรมควบคู่ไปกับการเคลื่อนไหวทางการเมืองด้วย
เพื่อนหลายคนมีทัศนะว่า ประชาธิปไตยไม่ได้เป็นเพียงแค่รูปแบบทางการเมืองการปกครองเท่านั้น แต่มันเป็น “จิตวิญญาณ” ที่ต้องบ่มเพาะให้เกิดขึ้น โจทย์สำคัญอีกอย่างสำหรับนักการศาสนาผู้หวังดี คือจิตวิญญาณของศาสนาและวัฒนธรรมที่มีอยู่แล้ว จะสามารถไปกันได้กับจิตวิญญาณของประชาธิปไตยหรือไม่ หากไม่ก็จำต้องทิ้งไป แต่หากยังพอไปกันได้ การ “ตีความ” คำสอนที่เปิดกว้างและสอดรับกับคุณค่าของโลกสมัยใหม่ จึงกลายเป็นกุญแจสำคัญสำหรับเรื่องนี้
การรวบรวมบทความทั้งหมดจากคอลัมน์ “ผี พราหมณ์ พุทธ” ในมติชนสุดสัปดาห์ เพื่อตีพิมพ์เป็นหนังสือเล่มนี้ ผมได้จัดแบ่งออกเป็น 4 หัวข้อสำคัญ
หัวข้อแรกคือ “พุทธธรรมกับการเมือง” ประกอบด้วยบทความ 14 บทความ เริ่มต้นด้วยบทความที่แสดงให้เห็นถึงการตีความพุทธธรรมแบบอื่นๆ ให้สัมพันธ์กับความเป็นมนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำสอนเรื่องโพธิจิต จากนั้นจึงเป็นบทความที่เกี่ยวข้องกับปรากฏการณ์ในบ้านเรา แล้วสุดท้ายจะเชิญชวนให้พิจารณาเหตุการณ์สำคัญในทางการเมือง เช่น การเกิดม็อบของคนรุ่นใหม่ที่มีพระภิกษุและสามเณรไปเข้าร่วมว่าเราจะมองเห็นและเข้าใจเหตุการณ์เช่นนี้อย่างไรบ้าง
หัวข้อที่สองคือ “พราหมณ์–ฮินดูกับการเมืองและความศักดิ์สิทธิ์” ประกอบด้วยบทความ 11 บทความ เนื้อหาประกอบด้วยปรากฏการณ์ทางศาสนาในอินเดีย ซึ่งเป็นการนำเสนอตัวอย่างของการตีความ พลวัตและความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในสังคมนั้น นอกจากนี้ ผมอยากชวนให้พิจารณาประเด็นเรื่อง “ฮินดูที่เพิ่งสร้าง” ซึ่งเป็นประเด็นที่ผมกำลังสนใจ กล่าวคือ การประกอบสร้างทางวัฒนธรรมและศาสนาสำหรับการสร้างประวัติศาสตร์ชาติและการก่อตั้งประเทศขึ้นใหม่ในอินเดียเราอาจเห็นเป็นตัวอย่างเบื้องต้นในการทำความเข้าใจการประกอบสร้างทางวัฒนธรรมและศาสนาในบ้านเราเอง รวมทั้งเป็นแรงกระตุ้นให้เรามีจินตนาการต่อสังคมเราในอนาคต ทั้งนี้อาจมีประเด็นเรื่องประเพณีของศาสนาพราหมณ์ในบ้านเราที่เกี่ยวข้องกับการเมืองอยู่บ้างเล็กน้อย
หัวข้อที่สามคือ “ไสยศาสตร์กับการช่วงชิงความหมายในการเมืองไทย” การเมืองไทยไม่เคยว่างเว้นเรื่องไสยศาสตร์ไม่ว่าจากฝ่ายไหน ในฐานะที่ไสยศาสตร์เป็นการช่วงชิงความหมายและการช่วงชิงความศักดิ์สิทธิ์ให้มาอยู่กับฝ่ายตน ซึ่งมอบอำนาจทางวัฒนธรรมให้ เราอาจมองไสยศาสตร์ทั้งในฐานะความเชื่อที่อยู่เบื้องหลังความเคลื่อนไหวทางการเมือง หรือในฐานะที่เป็นปฏิบัติการจิตวิทยาการเมืองด้วย ที่น่าสนใจคือ แนวต่อสู้ด้านนี้ได้รับความสนใจจากคนรุ่นใหม่พอสมควร ดังจะเห็นได้จากกรณี “หมุดราษฎร” รวมทั้งการโต้ตอบจากฝ่ายอนุรักษนิยม การต่อสู้ด้วยไสยศาสตร์จึงไม่ใช่แค่กลอุบายผิวๆ เผินๆ แต่เป็นความพยายามที่จะเปลี่ยน “มโนสำนึก” หรือยั่วล้อต่อความเชื่อที่ฝ่ายอนุรักษนิยมใช้เพื่อครอบงำมาโดยตลอด ในบทความจำนวน 7 บทความ ผมพยายามที่จะชวนท่านผู้อ่านให้พิจารณาการเคลื่อนไหวด้านนี้ในฐานะแนวต่อสู้อีกด้านหนึ่งของฝั่งประชาธิปไตย
หัวข้อสุดท้ายคือ “ข้อเสนอส่งท้าย: ปฏิรูปศาสนาไปพร้อมกับการเมือง” ด้วยรักและหวัง ผมได้รวบรวมบทความจำนวน 6 บทความที่เสนอความเข้าใจและทางออกเท่าที่ผมจะคิดออก เริ่มต้นด้วยการทำความเข้าใจพรรคการเมืองกับนโยบายทางศาสนา ตามด้วยข้อเสนอเรื่องการทำศพของผู้ไม่นับถือศาสนา และสุดท้ายคือซีรีส์บทความ “ปฏิรูปศาสนาไปพร้อมกับการเมือง” ที่มุ่งหวังว่าจะนำไปสู่การเข้าใจประเด็นเรื่อง “รัฐฆราวาสวิสัย” (secular state) อย่างที่รัฐในโลกสมัยใหม่พึงเป็น แม้จะเป็นเพียงข้อเสนอเล็กๆ ในเบื้องต้น แต่ก็หวังว่าอย่างน้อยจะจุดประกายต่อความสนใจของผู้คน และชี้ชวนให้คิดต่อมากกว่าจะเป็นข้อสรุป
ผมอายุ 40 ในปีนี้ เข้าเขตกลางคน มีสุภาษิตอินเดียว่าเมื่อคนเราอายุถึง 40 ปีจะมีความฉลาดเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติบ้าง แต่นี่ผมก็ยังไม่เห็นความฉลาดที่ว่านั้น เว้นเสียแต่ว่าได้เห็นความบกพร่องของตนเองโดยเฉพาะในทางสติปัญญามากขึ้น ที่กล่าวมานี้ก็เพื่อจะบอกท่านผู้อ่านว่า หากมีสิ่งใดที่อ่อนด้อยทางปัญญา ขอให้ท่านโปรดอภัย และอยากจะชวนท่านเป็นเพื่อนช่วยคิดเสมือนเราได้เดินทางไปด้วยกัน หนังสือรวมบทความเล่มนี้จึงขอปวารณาตัวเป็นเพื่อนร่วมทางมากกว่าจะเป็นผู้บอกทาง
- ศาสนาต้อง [ไม่] ห้ามเรื่องการเมือง?
โดย วิจักขณ์ พานิช
จาก คำนิยม
ภารตะ–สยาม ศาสนาต้อง [ไม่] ห้ามเรื่องการเมือง? โดย คมกฤช อุ่ยเต็กเค่ง สำนักพิมพ์มติชน พิมพ์ครั้งแรก กันยายน 2564 ราคา 280 บาท
งานของอาจารย์คมกฤชเต็มไปด้วยเกร็ดทางโบราณคดี ประวัติศาสตร์ และความรู้แตกฉานทางปรัชญาศาสนา ทั้งยังแฝงด้วยแง่คิดและอารมณ์ขัน แต่ที่ทรงพลังยิ่งกว่าและหาได้ยากยิ่ง คือ “พลังแห่งโพธิจิต” ที่อาจารย์คมกฤชสอดแทรกไว้ในแทบทุกบทความที่เขาเขียน ทั้งศาสนาและการเมืองต่างต้องการ “หัวใจของความเป็นมนุษย์” ที่จะช่วยแปรเปลี่ยนศาสนาและการเมืองให้หลุดพ้นจากอำนาจของอัตตา สู่การเป็นพลังแห่งการตื่นรู้อันสร้างสรรค์ที่จะยังประโยชน์แก่เพื่อนมนุษย์และสรรพสัตว์ทั้งปวงอย่างเสมอภาคเท่าเทียม เมื่อนั้นศาสนากับการเมืองก็จะบรรจบพบกันอีกครั้ง ไม่ใช่ในฐานะอำนาจที่ฉ้อฉล แต่ในฐานะคุณค่าทางจิตวิญญาณของสังคมร่วมสมัยที่เราใฝ่ฝัน ศาสนาคือจิตวิญญาณ และการเมืองก็คือจิตวิญญาณเช่นกัน ทั้งสองมีเป้าหมายร่วมกันในการส่งเสริมหัวใจความเป็นมนุษย์ให้ส่องสว่าง งอกงาม
กิตติวุทโฒ ภิกขุ (พระเทพกิตติปัญญาคุณ) ภาพจาก จตุรัส หนังสือข่าวกรองประจำสัปดาห์ ปีที่ 2 ฉบับที่ 21 วันที่ 29 มิถุนายน 2519
กลุ่มพระภิกษุสามเณรร่วมชุมนุมเรียกร้องการปฏิรูปพุทธศาสนา
พิธีฝังหมุดคณะราษฎร ในเช้าวันที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2563
หมุดคณะราษฎร 2563 หรือหมุดคณะราษฎรที่ 2
สัปปายะสภาสถาน ภาพจาก Gunofficial 1998. Wikimedia Common. CC-BY-SA 4.0
“เหรียญพิทักษ์รัฐธรรมนูญ” ด้านหน้าเป็นภาพพานรัฐธรรมนูญ ด้านหลังเป็นภาพพระสยามเทวาธิราช จัดแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑ์พัดยศสมณศักดิ์และเครื่องราชอิสริยาภรณ์ วัดคุ้งตะเภา จังหวัดอุตรดิตถ์ ได้รับบริจาคจากนายสุเทพ ขำมา โดย ดร. พระมหาเทวประภาส วชิรญาณเมธี (มากคล้าย) เป็นผู้ถ่ายภาพ ภาพจาก Tevaprapas. Wikimedia Common. CC-BY-SA 4.0