‘ไลฟ์โค้ช’ ปลดล็อกชีวิต ยุติการฆ่าตัวตาย

“ด.ต.เมืองชล ระเบิดขมับตัวเอง ภรรยา-ลูก เผยปมเครียดถูกย้ายปฏิบัติหน้าที่ประจำศาล…”

เป็นเพียงหนึ่งในโศกนาฏกรรมคนเมือง ข่าวที่เราได้อ่านอยู่บ่อยครั้งมากบนหน้าข่าวหนังสือพิมพ์ ชนวนเหตุมีตั้งแต่น้อยใจแม่ ถูกบีบคั้นเพราะภาวะหนี้สิน ผิดหวังในความรัก ฯลฯ ที่สุดนำไปสู่ความคิดเสี้ยววินาทีที่ทิ้งความเศร้าโศกให้กับคนข้างหลัง

ในความเป็นจริง เรื่องเหล่านี้ป้องกันได้ ทุกปัญหาแก้ได้ ถ้าความทุกข์ในใจนั้นมีคน “รับฟัง” และชี้ให้เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์

การโค้ชชิ่ง (Coaching) ซึ่งปัจจุบันเป็นที่นิยมกันอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะในสายงานบริหาร ขณะเดียวกันด้วยเทคนิควิธีการเดียวกันนี้ก็สามารถนำมาใช้แก้ปัญหาสังคมได้เช่นกัน

“โค้ชชิ่ง” ไม่ใช่การชี้แนะเหมือน “เมนเทอร์” (Mentor) แต่เป็นการคุย การตั้งคำถามให้ผู้รับการโค้ช (โค้ชชี่) รู้จักตนเอง เข้าใจสถานการณ์ ณ เวลานั้นของตน รู้ปัญหา รู้ความต้องการของตนเองที่แท้จริง และสุดท้ายสามารถมองเห็นทางเลือกอื่นที่จะพาตนเองออกจากปัญหาตรงหน้า และสามารถใช้ชีวิตต่อไปข้างหน้าได้ในที่สุด

Advertisement

พจนารถ ซีบังเกิด ประธานกรรมการและผู้ก่อตั้ง บริษัท จิมมี่ เดอะ โค้ช (Jimi The Coach Group) บอกและอธิบายเพิ่มเติมว่า

ไลฟ์โค้ช เป็นการพาให้คนๆ หนึ่งเข้าไปทำความเข้าใจในตัวเอง เพื่อปลดล็อกสิ่งที่คิดว่าเป็นปัญหาแล้วสามารถดำเนินชีวิตไปข้างหน้าได้

ยกตัวอย่างเช่น ทำไมกินคลีน ต้องออกกำลังกาย ต้องผอม ถ้าเราเข้าใจว่าการผอมทำให้ฉันมีสุขภาพดี ทำให้ฉันมีชีวิตยืนยาวสามารถอยู่จนเห็นหลานรับปริญญา ทำให้เราเข้าใจ และเข้าใจว่าเราไม่อาจไม่ต้องผอมก็ได้ มีวิธีอื่นที่สามารถทำให้มีชีวิตยืนยาวได้

Advertisement

อันนี้คือ “ไลฟ์โค้ช” หรือโค้ชชีวิต

1
ประชุมชาว ‘ไทยโค้ช’

ภูมิคุ้มกันสังคมแตกแยก

แม้ว่าศาสตร์ของการโค้ชเริ่มเข้ามาเป็นที่รู้จักในเมืองไทยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา และมีคนไทยไม่น้อยที่ให้ความสนใจกระโดดเข้ามาเรียนรู้ เพื่อทำความเข้าใจตัวเองประการหนึ่ง และอีกประการคือ การเป็นวิชาชีพ

“คนที่โดดเข้ามาในวงการโค้ชคือคนที่ปรารถนาจะช่วยคนอื่น แต่พอเรียนการโค้ชแล้วจะรู้ว่า ต้องช่วยตัวเองให้รอดก่อน ต้องสามารถปลดล็อกตัวเองได้ก่อน ต้องไม่มีอัตตา ไม่มีตัวตน ซึ่งถ้ามีทักษะการโค้ชแล้ว สามารถโค้ชให้ใครทำอะไรก็ได้”

พจนารถบอก และย้ำว่า กรณีของผู้เสี่ยงต่อการฆ่าตัวตาย การโค้ชช่วยได้มาก

“แค่เราไปนั่งคุยกับเขา 1 ชั่วโมง เขาอาจจะคิดว่ายังมีความหวัง แล้วถ้าโค้ชหลายครั้ง เขาอาจจะเห็นทางเลือกอื่นที่ทำให้ไม่ฆ่าตัวตายก็ได้”

ยกตัวอย่างจากประสบการณ์การโค้ชเด็กวัยรุ่นคนหนึ่ง ที่ไม่มีใครคาดว่าเด็กคนนี้จะมีความคิดฆ่าตัวตาย เพราะพ่อแม่ก็ดี เด็กก็เก่งทั้งการเรียนและกีฬา แต่แล้วครั้งหนึ่งไปแข่งบาสเก็ตบอลที่ประเทศจีนแล้วแพ้กลับมา เด็กก้าวร้าวมาก บอกว่าจะกลับไปถล่มทั้งประเทศ

พจนารถเล่าว่า วันแรกที่พ่อแม่ส่งเด็กเข้ามารับการโค้ช เด็กมาแบบปฏิเสธไม่ได้ ฟังด้วยทีท่าที่ไม่ใส่ใจสักเท่าใดนัก พอวันที่ 2 จึงยอมเล่าว่าตัวเองเป็นคนที่แพ้ไม่ได้ ยอมฆ่าตัวตายเสียดีกว่า ที่ผ่านมาเคยพยายามฆ่าตัวตายมาแล้ว 8 ครั้ง แต่ต่อไปนี้จะไม่คิดฆ่าตัวตายอีกแล้ว เพราะรู้แล้วว่า คนเราแพ้ได้

“ถ้าเขามีความมั่นคงพอ เขาจะกล้าบอกพ่อแม่ว่าอยากเรียนอะไรอยากทำอะไร เพราะที่ผ่านมาเขาไม่กล้าบอกพ่อแม่” นั่นคือสิ่งที่โค้ชชี่ได้จากการโค้ช

ฉะนั้น โครงการใหม่ที่เราชาว “ไทยโค้ช” กำลังทำร่วมกันคือ การเข้าไปโค้ชให้กับคน 5 กลุ่มอาชีพที่มีความเสี่ยง คือ กลุ่มครู ทหาร ตำรวจ ผู้ต้องขัง และแพทย์/พยาบาล

กลุ่มที่น่าเป็นห่วงที่สุด พจนารถบอกว่า คือ ครู เพราะอยู่กับอนาคตของชาติ ซึ่งปัจจุบันครูที่เป็นหนี้เป็นสินมีจำนวนมาก ถ้าทำได้และต่อยอดไปอีกได้ อาจสามารถเข้าไปแก้ไขได้ทั้งระบบ

2
พจนารถ ซีบังเกิด

ปัญหาใหญ่แค่ไหนแก้ได้ แค่ “วางให้เป็น”

แนวพุทธเชื่อว่า เราเกิดมาว่างเปล่า สภาพแวดล้อมทำให้เราผูกเรื่องราวในชีวิตว่าเราเป็นแบบที่เราเป็นทุกวันนี้

ซึ่งคำว่า “ผูก” หมายถึงพ่อแม่เลี้ยงเรามาอย่างไร ครูบาอาจารย์สอนเรามาอย่างไร หรือเราเจอประสบการณ์อะไรในครอบครัว ทำให้เราเลือกที่จะใช้ชีวิตทุกวันนี้แบบที่เป็นอยู่ เช่น เราผูกไว้ว่าโลกนี้อันตราย ไม่น่าจะไว้ใจใครได้ ซึ่งทำให้เราปลอดภัยในตอนเด็ก แต่พอชีวิตดำเนินต่อมาเรื่อยๆ แล้วเราเกิดความคิดว่าทำไมเราเป็นคนขี้ระแวง เราไปไหนก็ไม่ได้ ไม่มีพื้นที่ที่ปลอดภัยสำหรับเรา คนบางคนเราไม่อยากคบ การโค้ชจะช่วยให้เข้าใจว่าทำไมคุณจึงมองว่าโลกนี้ไม่ปลอดภัยไปหมด ขณะนี้คนอื่นมองว่าโลกนี้สวยงามสดใส

“การโค้ชทำให้เข้าใจว่า เราผูกเรื่องราวเหล่านี้มาจากไหน ถอยกลับไปเข้าใจมัน แล้วเริ่มมองโลกใหม่ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป เปลี่ยนเลนส์การมองแบบใหม่”

ไม่ว่าเราจะโค้ชผู้บริหาร โค้ชพ่อแม่ โค้ชเด็ก ใช้หลักการเดียวกันกับสิ่งที่บล็อกเราอยู่ ตัวอย่างเช่น ถ้าเราคิดว่าเราพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ เราไม่เปลี่ยนมุมมองใหม่ เราก็ยังคงพูดไม่ได้ แต่ถ้าเปลี่ยนมุมมองเสียใหม่ ก็จะสามารถเดินไปข้างหน้าต่อได้ เหมือนกับ โจน จันได ที่อยู่ดีๆ ก็สามารถขึ้นไปพูดบนเวที TED Talks เป็นภาษาอังกฤษได้ มีคนฟังกว่า 3 ล้านคน แปลว่าคนหนึ่งคนที่เชื่อว่าตัวเองไม่มีข้อจำกัดสามารถทำอะไรก็ได้

“แค่รู้ว่าเราผูกเอง ก็แค่วาง แต่คนที่บอกว่าวางไม่ได้เพราะมีเงื่อนไขเยอะแยะ ที่เป็นแค่คำแก้ตัวที่จะไม่วาง เพราะมันมีผลประโยชน์ในการไม่วาง”

เช่น ฉันจิตตกเมื่อไหร่ จะมีคนเข้ามาหาและถามด้วยความเป็นห่วงว่า เป็นอะไรมีอะไรให้ช่วยมั้ย พอบอกว่าไม่รู้เป็นอะไรมันไม่อยากทำอะไร ไม่รู้จะมีชีวิตอยู่ทำไม เพื่อนจะยิ่งห้อมล้อมเข้ามา เป็นกังวลว่าจะฆ่าตัวตายไหม ผลประโยชน์ที่ซ่อนเร้นคือ “ฉัน” ได้รับความสนใจ อาการจิตตกก็จะไม่มีวันหาย เราต้องยกกระจกส่องให้เขาเห็นปัญหา

นี่เป็นปัญหาใหญ่สุดของตอนนี้ คือ การไม่เข้าใจว่าตัวเองกอดเรื่องเหล่านี้ไว้ทำไมทั้งๆ ที่เป็นทุกข์ ยิ่งเพื่อนมาแสดงความเป็นห่วง ยิ่งทำให้รู้สึกว่า “ฉัน” สำคัญ คิดว่าเมื่อไหร่ที่ฉันอ่อนแอ จะมีคนมาช่วยฉัน พอไม่มีคนมาช่วยเหลือ จากทีแรกกรี๊ดร้อง เปลี่ยนเป็นเชือดแขน เมื่อทำพฤติกรรมนี้บ่อยเข้า เพื่อนคุ้นชินแล้วไม่มา ก็ตายจริง ซึ่งบางคนไม่คิดว่าจะตายจริง

ลักษณะเช่นนี้เราจะเห็นจากการโพสในสเตตัสเฟซบุ๊กมากมาย แล้วมีคนเข้ามากดไลค์ ลึกๆ แล้วจะคิดว่า ฉันเจ๋ง มีคนมากดไลค์มากมาย ซึ่งถ้าเรามีความเจริญทางจิตใจ มั่นคงทางจิตใจ ไม่จำเป็นต้องมีคนมาโอ๋

stock-woman-happy-sunset-success-joy-8m1q

ชู “วิถีพุทธ” เป็นที่รู้จักใน 5 ทวีป

“ตอนนี้โลกวุ่นวายมาก…

“โค้ช ทำงานกับคนที่เป็นผู้นำ ถ้าเราสามารถชักนำให้โลกมีความเป็นหนึ่งเดียวได้จะเกิดสันติ จึงเป็นที่มาของการเชื่อมสัมพันธ์ในกลุ่มของโค้ชด้วยกันในประเทศต่างๆ ทั้ง 5 ทวีป และมีการจัดการประชุมระดับเอเชียแปซิฟิกทุก 2 ปี โดยปีนี้มีมติที่จะจัดการประชุมในประเทศไทย ระหว่างวันที่ 25-27 พฤษภาคม 2560”

พจนารถเล่าถึงเบื้องหลังของการจัดการประชุมครั้งนี้ว่า เป็นการจัดเหมือนกับทุกครั้ง แต่ในครั้งนี้เนื่องจากเอแพค (Asia Pacific Alliance of Coaches-APAC) ซึ่งก่อตั้งขึ้นเพื่อบอกว่า เราเป็นชาวเอเชียที่มีหลักคิดแบบชาวเอเชีย ไม่เหมือนที่อื่น ไม่เหมือนอเมริกา ไม่เหมือนยุโรป เรามาแบ่งปันความรู้กัน ทุกเดือนมีประชุมกลุ่มเล็กๆ มีสมาชิกไม่มาก เมื่อตกลงใจที่จะจัดในเมืองไทย ทางสมาคมไทยโค้ช และจิมมี่ เดอะ โค้ช จึงต้องเข้ามาเป็นเจ้าภาพ

การจัดประชุมครั้งนี้ นอกจากประเทศสมาชิกอย่างสิงคโปร์ ฮ่องกง ไต้หวัน มาเลเซีย เกาหลี ญี่ปุ่น ยังมีคนอังกฤษ อเมริกัน ออสเตรเลียน ฯลฯ รวมแล้วจาก 15 ประเทศ ใน 5 ทวีป โดยชูความเป็น “วิถีพุทธ” หรือ “ฮาร์โมนี แอนด์ มายด์ฟูลเนส” (Harmony & Mindfulness)

“โค้ชวิถีพุทธ” นอกจากไทย อาจจะมีประเทศอื่น แต่ไม่ได้เรียกว่า วิถีพุทธ อย่างที่ออสเตรเลียจะใช้ว่า “วิถีธรรมชาติ” ซึ่งถ้าเราตั้งธีมว่าวิถีพุทธ เราก็ต้องศาสนาพุทธก่อน แต่คนต่างชาติฟังก็จะงง ธีมปีนี้จึงตั้งว่า “ฮาร์โมนีแอนด์มายด์ฟูลเนส” ซึ่ง มายด์ฟูลเนสก็คือ สติ ก็พุทธนี่แหละที่สอนสติ

ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่คนไทยจะมีโอกาสได้ฟังความคิดของ มาร์แชล โกลด์สมิธ นักโค้ชเบอร์ 1 ของโลก ซึ่งจะบินจากสหรัฐอเมริกามาพูดให้ฟัง 1 ชั่วโมงเต็ม ในหัวข้อ “ความแข็งแรงของผู้นำจากภายใน” เพื่อสร้างความแข็งแรงในองค์กร พาธุรกิจไปข้างหน้าได้ด้วยความร่วมไม้ร่วมมือ นอกจากนี้ยังมี วิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย รับเชิญมาพูดในประเด็นการนำศาสนาไปใช้ในงานได้อย่างไร คือมีเรื่องของเอชอาร์ด้วย ฉะนั้น คนที่ไม่รู้จักการโค้ชชิ่งมาก่อนก็เข้ามาฟังในงานได้

ไม่เพียงเป็นโอกาสที่เราจะได้รู้จัก “การโค้ช” อย่างกว้างขวาง อย่างน้อยก็ช่วยให้เราได้หันกลับมาทำความเข้าใจกับตัวตน รู้ความต้องการภายในใจมากขึ้น เพื่อก้าวไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคงขึ้น..สักนิดก็ยังดี

‘Battle ถอดรหัสชีวิต’

ทริคใช้ชีวิตง่ายๆ ให้มีความสุข

ด้วยความปรารถนาที่จะส่งต่อการสร้างความเข้าใจตัวเอง เพื่อทำให้ชีวิตของทุกคนมีความสุขและอิ่มเอมมากยิ่งขึ้น โค้ชจิมมี่ จึงจัดกิจกรรมพิเศษร่วมกับ โจน จันได ที่ชื่อว่า “Battle ถอดรหัสชีวิต” ในวันเสาร์ที่ 8 ตุลาคม 2559 เวลา 09.00 น. เป็นต้นไป ณ ห้องออคิด 2-3 ชั้น 11 โรงแรมจัสมิน ซิตี้ กรุงเทพฯ ซึ่งสำหรับผู้ที่สนใจสามารถติดต่อสอบถามพร้อมลงทะเบียนล่วงหน้าได้ที่ โทร 0-2789-9955 ต่อ 22

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image