‘เราจะไปปาร์ตี้กับเพื่อน’ ป้าง-นครินทร์ กิ่งศักดิ์ หลากมุมชีวิต’ตำนานร็อก’

“พอดูรวมๆ แล้วมีเสน่ห์เหลือเกิน ไม่ต้องมาเขิน ฉันพูดจริงๆ”

“เมืองหลวงควันและฝุ่นมากมาย พี่สูดดมเข้าไปร่างกายก็เป็นภูมิแพ้”

“ฉันต้องทำ ทำอะไร สักอย่างแล้ว ให้เธอนี้ ไม่แคล้ว ไม่คลาดกัน”

“เจ็บขนาดนี้ คงจะไม่ไหว ทำตามไม่ได้ ที่บอกไว้ในสัญญา”

Advertisement

เหล่านี้คือส่วนหนึ่งของเนื้อเพลงจากปลายปากกาของ ป้าง-นครินทร์ กิ่งศักดิ์ ที่ฮิตติดลมบนมาหลายยุคหลายสมัย

การันตีจากฐานแฟนเพลงที่มีทุกเพศทุกวัยในรอบทศวรรษที่ผ่านมา

การยืนระยะผ่านลมฝนและตระหง่านท่ามกลางบรรดาคลื่นลูกใหม่ได้หลายสิบปีเช่นนี้ ย่อมเป็นมาตรวัดถึงคุณภาพและความสามารถของศิลปินวัย 49 ปี ได้อย่างชัดเจน

Advertisement

ความสุภาพและความถ่อมตัวนั้นปรากฏชัดในทุกนาทีที่นั่งสนทนากัน ก็ย่อมเป็นอีกคำตอบหนึ่ง ต่อคำถามว่า-อะไรทำให้เขายังอยู่บนสังเวียนเสียงเพลงได้อย่างยาวนานและประสบความสำเร็จ-นอกเหนือไปจากฝีมือซึ่งสั่งสมมานานนับสิบปีและบ่มเพาะจนออกดอกผลเป็นความเฉียบขาดและเพลงฮิตทุกยุคทุกสมัย

กับคอนเสิร์ตจาก ข่าวสด-Legend Of The Rock Stars ที่ธันเดอร์โดม เมืองทองธานี เวลา 19.00 น. ในวันที่ 22 ตุลาคมที่จะถึงนี้ ป้างเตรียมพร้อมหลายสิบเพลงเพื่อเอาใจแฟนเพลง ซึ่งเขาระบุให้ได้ยินบ่อยๆ ว่า “เป็นเหมือนเพื่อน”

“ในคอนเสิร์ตนี้ ผมจะไปปาร์ตี้กับเพื่อน”

 

ทำอย่างไรถึงยืนระยะในวงการได้นาน?

ผมว่า ผมต้องซื่อสัตย์กับตัวเอง ต้องทำเพลงที่อยากทำเท่านั้น ทำเพลงที่ผมรู้สึกจริงๆ ไม่ใช่ทำเพลงตามกระแสหรืออะไรทั้งสิ้น ทำเพลงที่ผมอยากทำจริงๆ สิ่งที่อยากพูดอยากบอกอะไรกับแฟนเพลงจริงๆ เพราะเพลงที่แต่งออกมาแบบนี้มันมีอินเนอร์ลึกๆ ออกมาจริงๆ จังๆ คนก็น่าจะสัมผัสได้ถึงความรู้สึกเหล่านั้น

สมมุติผมไปแต่งเพลงที่ไม่อยากทำ เช่น เพลงตลาด ทำเพลงตลาดดีกว่า ผมว่าผมคงทำได้ไม่ดี

แต่งเพลงให้ติดหูคนฟังทุกยุคทุกสมัยอย่างไร?

(คิด) มันเป็นเซนส์ที่ผมเก็บเกี่ยวมา ผมเป็นคนบ้าดนตรีมาตั้งแต่เด็กๆ พอ 10 ขวบก็บอกกับตัวเองว่าจะเป็นนักร้องนักดนตรี แล้วก็ไม่เคยเปลี่ยนเลย ระหว่างนั้นพอฟังดนตรีเราจะซาบซึ้งมากๆ อย่างเพลงไหนชอบนี่ฟังทีหนึ่งครึ่งปีเลย ฉะนั้น ท่วงทำนองหรือความรู้สึกเวลาเราชื่นชมเพลงนั้นมันสะสมอยู่ในตัวเรา เวลาเราแต่งเพลง เราก็อยากแต่งเพลงให้คนส่วนใหญ่มีความสุข แต่งเพลงให้คนหมู่ใหญ่มีความสุข เราจะเอาความรู้สึกนั้น ท่วงทำนองนั้น เช่น ท่อนนี้คนฟังน่าจะรู้สึกอยากร้องตาม อยากเปล่งเสียงตาม

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาดูเหมือนว่ามีฐานแฟนเพลงในหลายช่วงอายุวัยที่เพิ่มขึ้นอย่างสม่ำเสมอ?

ก็น่าจะย้อนกลับไปที่คำถามแรกว่าทำงานอย่างไร สุดท้ายแล้วมันก็คือความซื่อสัตย์กับตัวเองในการที่จะผลิตผลงานออกมาว่ารู้สึกอย่างนั้นจริงหรือเปล่า อีกอย่างหนึ่งผมไม่เคยคิดที่จะตีกรอบตัวเองว่า ถ้ามึงอายุใกล้ห้าสิบแล้วมึงเขียนเรื่องแบบนี้นะ มึงจะไปเขียนเรื่องตลกๆ ไม่ได้แล้วนะ คือไม่ได้กรอบตัวเอง อย่างเพลงคนมีเสน่ห์ถือว่าเป็นเพลงโรแมนติก คอมเมดี้ ซึ่งผมไม่ได้กรอบตัวเองว่า ด้วยวัยขนาดนี้แล้ว เราต้องขรึมแล้วนะ เราต้องเจนโลกแล้วนะ ไม่เลย อยากทำอะไรก็ทำ ถ้าเราอยากทำจริงๆ ซึ่งเชื่อว่าตรงนี้เป็นสิ่งที่ทำให้มีแฟนเพลงรุ่นใหม่ๆ ติดตามผลงานเราอยู่

แม้ว่าอยู่ในวัยนี้ ยังคงดึงความรู้สึกสุขสดใสในแบบวัยรุ่นออกมาใช้เขียนเพลงได้อยู่?

คือความรู้สึกสุขสดใสมีได้กับทุกเพศทุกวัย มันไม่มีใครห้ามว่าพี่ป้างอายุห้าสิบแล้ว ห้ามรู้สึกสดใสนะ (ยิ้ม) ห้ามรู้สึกแบบนั้นแบบนี้นะ มันจึงทำให้ผมสามารถที่จะดึงเอาความรู้สึกเหล่านี้มาใช้ในการแต่งเพลงใหม่ๆ ได้อยู่เสมอ

แล้วส่วนตัวรู้สึกอย่างไรที่มีแฟนเพลงกลุ่มใหม่ที่เป็นคนรุ่นใหม่เพิ่มขึ้น อย่างปรากกฏการณ์ “คนมีเสน่ห์” ก็ถือเป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่เห็นว่ามีแฟนเพลงที่เป็นคนรุ่นใหม่เพิ่มขึ้น?

มันแบ่งได้ออกเป็นสองความรู้สึก หนึ่งคือสนุกมาก สองคือชื่นใจมาก สนุกมากก็เพราะตอนที่ผมทำเพลงคนมีเสน่ห์ ผมอยากให้ใครก็ได้ทุกเพศทุกวัยมีความสุขอมยิ้มกับเพลงนี้ได้ ทีนี้พอเราตั้งโจทย์แบบนั้นทุกกระบวนการก็ไปในทางนั้น

เวลาผมอัดเสียงผมก็อยากให้เสียงมันสดใส การมิกซ์เสียงก็ทำให้สดใส ไม่ใช่หนักจนเด็กๆ รับไม่ได้ เราเพียงตั้งธงไว้ว่าอยากให้คนทุกเพศทุกวัยมีความสุข ไม่ได้ตั้งธงไว้ว่าจะใหญ่ขนาดนี้ เพียงแค่คิดว่าอยากทำให้คนมีความสุข รู้สึกสนุกกับสิ่งที่เราคิดให้มันเป็น และชื่นใจที่เห็นคนรุ่นใหม่ๆ ชื่นชอบ

จริงๆ แล้วจุดเริ่มต้นของเพลงนี้มาจากไหน?

มันเกิดมาจากโซเซียล และมีบทความรีเสิร์ชหลายๆ ชิ้นที่บอกว่าผู้หญิงมักมองว่าตัวเองสวยน้อยกว่าที่คนอื่นเห็น จริงๆ นะ คือมันเป็นสิ่งที่เขารีเสิร์ชกันมา ซึ่งผมมองว่ารีเสิร์ชนี้น่าสนใจมาก แล้วก็เห็นเองจากโซเชียลมีเดีย เวลาที่ผู้หญิงถ่ายรูปลงโซเชียลมีเดียก็มักจะบ่นว่าใครช่วยบังแขน บังขา ให้หน่อย แขนฉันใหญ่ ขาฉันใหญ่ หรือไม่ก็บอกว่าตัวฉันดำต้องใช้แอพพ์เพิ่มความขาว

สิ่งเหล่านี้บวกกับข้อความรีเสิร์ชที่ได้อ่าน จึงน่าจะเขียนเป็นเพลง คือ อยากให้มีใครสักคนบอกเขาว่าคุณดูดีกว่าที่ตัวเองคิดอีก แต่ถ้าจะนำมาบอกตรงๆ ก็น่าเบื่อ เลยคิดว่าล้อเลียนก่อนดีกว่า คือได้ความคิดนี้มาจากย้อนกลับไปตอนที่ยังเด็กๆ วัยรุ่นๆ สังเกตได้เลยว่าเวลาเพื่อนคนไหนล้อผู้หญิงคือเขาชอบ เขาสนใจผู้หญิงคนนั้นอยู่นะ แต่ก็แสดงออกไม่เป็น คือผู้ชายเด็กๆ วัยรุ่น ส่วนใหญ่มักจะเป็นแบบนี้นะ แล้วผู้หญิงก็ไม่รู้นะเวลาผู้ชายล้อก็คิดว่าเขาอยากจะแกล้งอย่างเดียว ไม่รู้เลยว่าเขาชอบ (หัวเราะ)

ทำไมมักเขียนเนื้อเพลงเกี่ยวกับผู้ชายขี้อาย หรือมีความเป็น Loser?

(คิด) เพราะผมรู้สึกว่าผมอยากทำเพลงให้คนปกติทั่วไปฟังแล้วรู้สึกโอเค และตัวผมเอง ผมก็รู้สึกว่าผมเป็นหนึ่งในคนปกติทั่วไป คือผมให้สัมภาษณ์เสมอว่าผมไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองเป็นซุปเปอร์สตาร์หรืออะไรทั้งสิ้น ผมยังคงรู้สึกว่าตัวเองเป็นชาวบ้าน เป็นชาวบ้านทั่วไป เพราะว่าเป็นอย่างนั้นแล้วผมรู้สึกสบายที่สุด ฉะนั้น เวลาแต่งเพลงก็จะสะท้อนออกมาเพราะเรารู้สึกว่าเราก็เป็นอย่างนั้น เป็นคนทั่วไป

ได้ใช้ประสบการณ์ตัวเองแต่งเพลงบ้างไหม?

ใช้ครับ ใช้ประสบการณ์ตัวเองแต่งเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็ไม่ได้จำเป็นว่าจะต้องเป็นประสบการณ์ 100 เปอร์เซ็นต์ อาจจะเป็นเรื่องราวที่เราพบเจอมาก็ได้ อ่านหนังสือมาก็ได้ ดูหนังมา เห็นเรื่องราวของเพื่อนมา

แสดงว่าก็เป็นผู้ชายขี้อาย?

เป็นครับ (ยิ้ม) เป็นคนขี้อาย เงียบๆ

02

ทำไมเขียนเพลงเศร้าได้เจ็บขนาดนั้น?

เพลงเศร้าเหรอ คือตอนช่วงผมหนุ่มๆ วัยรุ่นๆ นี่ผมเคยอกหักแรงๆ หนึ่งครั้ง แรงมาก เป็นครั้งเดียวที่อกหักแรงๆ ก็เอาความรู้สึกอกหักตอนนั้นมาแต่งเพลงเสมอๆ เรื่องราวก็อาจจะเปลี่ยนแปลงเปลี่ยนไป แต่แก่นของมัน ความเศร้าแบบกระแทกกระทั้นนั้นมาจากเรื่องเรื่องเดียว

ผมจำความรู้สึกนั้นค่อนข้างชัดนะ อันที่จริงไม่ต้องจำเลย มันชัดเอง

เป็นเพราะอารมณ์ของวัยหนุ่มด้วยไหม?

น่าจะเกี่ยวกับความเป็นวัยหนุ่มด้วย ตอนนั้นอายุ 20 กว่าๆ กำลังพีคเลย

ร้องเพลงจีบแฟนไหม?

แฟนคนปัจจุบันไม่ได้ร้องจีบ แต่พอเป็นแฟนแล้วถึงร้องจีบ คือเป็นแฟนกันแล้ว จะแต่งงานกันแล้ว ถึงร้องเพลงให้เขา (ยิ้ม)

เนื้อเพลงที่มีความเป็นชนบทสูง เกี่ยวกับว่าเราโตมาจากต่างจังหวัดหรือเปล่า

เกี่ยวนะ คือชีวิตตอนเด็กๆ ก่อนประถมศึกษาปีที่ 6 พ่อย้ายไปไหนผมก็ย้ายตาม ไปต่างจังหวัดล้วนๆ ย้ายตามตลอด เปลี่ยนโรงเรียนไปเรื่อย จนกระทั่งประถมปีที่ 6 พ่อเสีย ผมเลยเข้ามาเรียนที่กรุงเทพฯ ตอนเด็กๆ สองปีย้ายหนึ่งปีย้ายที อะไรทำนองนั้นเลย

เพราะฉะนั้นเราเลยได้สัมผัสชนบท คือเป็นส่วนหนึ่งของช่วงชีวิตเรา

อะไรทำให้อยากเป็นนักดนตรีแต่เด็ก?

ก็ความหลงใหลในนักดนตรีแหละครับ ตอนเด็กๆ นี่ผมฟังดนตรีอย่างเดียว จริงๆ เครื่องดนตรีที่หัดอย่างแรกคือกลองชุด แต่พอเล่นๆ ไปแล้วรู้สึกว่าเอ๊ะทำไมกลองชุดมันเอาออกไปร้องเพลงนอกบ้านไม่ได้ เลยมาจับกีตาร์เพราะรู้สึกพกมันออกไปเล่นที่ไหนก็ได้ (ยิ้ม)

พูดได้ไหมว่านี่เป็นมุมน่ารักของเราที่คนทั่วไปไม่ค่อยรู้?

(ยิ้ม) ผมว่าคนทั่วไปค่อนข้างรู้นะ ยิ่งตอนหลังๆ อาจเพราะมีเฟซบุ๊กด้วย ผมมักเขียนมักโพสต์อะไรที่เป็นโทนเหมือนเพื่อนเขียนให้กันฟัง ไม่ใช่ซุปเปอร์สตาร์เขียนให้แฟนเพลงฟัง เป็นเพื่อนเขียนให้เพื่อนฟัง

ก็คงพูดได้ว่าเฟซบุ๊กเป็นพื้นที่ที่ทำให้เราใกล้ชิดกับแฟนเพลงมากขึ้น เพราะสมัยก่อนเราก็คงไม่มานั่งเขียนจดหมายเล่าชีวิตให้แฟนเพลงฟัง

ทุกวันนี้ยังฟังเพลงแล้วอินหรือส่งผลกระทบต่ออารมณ์เราไหม?

ส่งอยู่บ้างนะครับ ด้วยความที่เราเป็นคนชอบดนตรีด้วย บางเพลงฟังแล้วก็นึกถึงความหลัง แต่ส่วนใหญ่ผมฟังเพลงบรรเลงหมดนะตอนนี้ ส่วนใหญ่เป็นเพลงแจ๊ซ เพราะฟังแล้วรู้สึกผ่อนคลาย ไม่รู้สึกถึงการทำงาน

แล้วเวลาขึ้นคอนเสิร์ตเครียดหรือเปล่า?

ไม่เครียดครับ (ตอบเร็ว) ยิ่งช่วงหลังๆ นี้ผมต้องถือว่าการขึ้นคอนเสิร์ตเป็นการปลดปล่อยความสนุก เพราะถ้าไม่เช่นนั้น ด้วยวัยขนาดนี้มันไม่สามารถไปเล่นได้เยอะๆ ขนาดนั้น ถือเป็นช่วงเวลาที่ไปปาร์ตี้กับเพื่อน แฟนเพลงก็เพื่อน นักดนตรีก็เพื่อน ปาร์ตี้กันแบบนั้น

เป็นนักดนตรีมานานขนาดนี้ เคยเบื่อไหม?

เอาจริงๆ นะ ไม่เบื่อเลย เพราะเวลาเราขึ้นเวทีไปมันจะมีเพื่อนกลุ่มใหม่ขึ้นมาช่วยร้องเพลงของเรา

เป็นความรู้สึกว่านี่เป็นเพื่อนกลุ่มใหม่ แล้วเขากำลังช่วยแหกปากร้องเพลงของเรา มันเป็นความรู้สึกที่เราเปลี่ยนเพื่อนไปเรื่อยๆ อาจจะเพลงเดิมก็จริงแต่นี่เพื่อนกลุ่มใหม่เว้ย เฮ้ยเขาร้องเพลงเราได้อย่างนี้เลยเหรอ เลยไม่เคยเบื่อเลย

ส่วนตัวแล้วเป็นคนโรแมนติกแค่ไหน?

ไม่ครับ (ยิ้ม) กับแฟนผม ผมมักใช้วิธีการปฏิบัติ ผมไม่ค่อยใช้คำพูด คำพูดนี้จะใช้น้อยมากที่จะพูดจะบอกกัน ผมมักใช้วิธีปฏิบัติเพื่อแสดงออกมากกว่า เพราะรู้สึกว่ามันสัมฤทธิผลมากกว่า

จริงๆ แล้วการที่เราเป็นหัวหน้าครอบครัว แล้วพยายามปฏิบัติหน้าที่หัวหน้าครอบครัวให้ดีเยี่ยมที่สุด นั่นก็ถือเป็นการแสดงความโรแมนติกที่มากสุดแก่ภรรยาแล้ว ผมว่านะ (ยิ้ม)

แต่อีกมุมดูแล้วเพลงส่วนใหญ่มักพูดถึงความน่ารักน่าชังของชีวิตคู่มากกว่าที่จะพูดชีวิตคู่ที่เติบโตขึ้นในฐานะหัวหน้าครอบครัวไปแล้ว?

ความจริงแล้วก็มีเหมือนกันนะ มีเพลงจากมินิอัลบั้มกลางคน ชื่อเพลง ที่เหลือคือรักแท้ คือ เพลงนั้นจะพูดว่าเดี๋ยวนี้เราไม่ได้หวานแหววกันแล้วนะ ไม่ได้พูดหวานๆ กันแล้ว กินข้าวกันก็นั่งเงียบๆ แต่ก็ไม่ได้จากไปไหน จริงแล้วๆ ภายใต้สิ่งเหล่านี้นั่นแหละที่เรียกว่ารักแท้

คือเราไม่ได้หวือหวากันแล้ว ไม่ได้นั่งป้อนข้าวกันอีกแล้ว แต่ว่าเรายังคงอยู่ด้วยกัน เราไม่ได้ไปไหน นั่นอาจจะเรียกว่ารักแท้รึเปล่า นี่คือส่วนหนึ่งของชีวิตที่เอามาเขียนเป็นเพลงนี้

ในวันที่เราไม่ได้สวมบทของการเป็นร็อกเกอร์อยู่หน้าเวที ภาพและบทบาทของการเป็นหัวหน้าครอบครัวนั้นเป็นอย่างไร?

ข้อแรกผมรู้สึกอยู่เสมอว่าต้องหาเลี้ยงพวกเขาไม่ให้พวกเขาลำบาก ต้องทำทุกวิถีทางเพื่อไม่ให้พวกเขาลำบาก ถ้าเรามารับบทบาทของหัวหน้าครอบครัวแล้วต้องไม่ทำให้พวกเขาลำบาก ต้องเลี้ยงดูให้เขามีความสุข ต้องไม่ให้เรื่องราวของการเป็นนักร้องนักดนตรีไปกระทบพวกเขา

คือความเป็นนักร้องนักดนตรีมันมีโอกาสที่จะไปเจอผู้หญิงมากนะ แต่เราต้องไม่ทำให้มันเกิดขึ้น ไม่ให้มันไปกระทบครอบครัวเป็นอันขาด ทุกวันนี้ก็พยายามหลีกที่สุดและไม่เคยมีปัญหาอะไร (ยิ้ม)

ถ้าไม่ได้เป็นนักร้องศิลปิน คิดว่าอยากเป็นอะไร?

ก่อนที่อยากจะเป็นนักร้อง นักดนตรี ผมอยากเป็นนักดาราศาสตร์ (หัวเราะ) ตอนนั้นผมอยากเป็นนักดาราศาสตร์มาก อยากศึกษาเรื่องดวงดาว มันแฟนตาซีดี คือทุกวันนี้อาจจะไม่ได้สนใจเรื่องดวงดาวแล้ว แต่ก็ยังชอบดูท้องฟ้าอยู่เหมือนเดิม

ช่วยพูดถึงคอนเสิร์ตที่กำลังเกิดขึ้นหน่อย?

คือจริงๆ แล้วมันก็ยังไม่เคยมีคอนเสิร์ตที่รวมเอาสามวงเจ๋งๆ มารวมกันแบบนี้นะ (ยิ้ม) คือ เสก ป้าง บิ๊กแอส เคยเจอกันตามงานอยู่บ้าง แต่อาจจะเป็นแบบหลายๆ วง 7-8 วง แต่ว่าสามวงนี้ที่มาเจอกันโดยเฉพาะแบบนี้ไม่เคยมีมาก่อน

สามวงนี้มีสิ่งที่เหมือนกันอย่างหนึ่งคือมีความคลั่งใคล้ในเพลงร็อกเหมือนกัน เพราะฉะนั้นขาร็อกก็ไม่น่าพลาด แฟนเพลงของแต่ละวงก็ไม่น่าพลาด

ผมคิดไปเลยว่าจะไปปาร์ตี้กับเพื่อน (ยิ้ม) มีบิ๊กแอสที่ไม่ได้ขึ้นเวทีเดียวกันมานานแล้ว เดี๋ยวหลังเวทีคงปาร์ตี้กับเพื่อนๆ กัน แล้วก็รู้สึกจะไปปาร์ตี้กับเพื่อนคนดูด้วย ฉะนั้น จะไม่มานั่งซีเรียสว่าจะเตรียมอะไรเป็นพิเศษ จะต้องเล่นแบบนั้นแบบนี้ ไม่เลย

เราจะไปปาร์ตี้กับเพื่อน (ยิ้ม)

 

พ่อป้าง-น้องขมิ้น กรรมพันธุ์คนพันธุ์ศิลป์

น้องขมิ้น คือลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของร็อกเกอร์หนุ่มวัย 49 ปี

ไม่ใช่แค่เด็กน้อยน่ารักธรรมดา ถ้าใครที่ติดตามเฟซบุ๊กแฟนเพจ Nakarin Kingsak-ป้าง นครินทร์ น่าจะเคยเห็นฝีไม้ลายมือทางศิลปะของสาวน้อยมาบ้าง เพราะที่สุดแล้ว เด็กหญิงก็มีเพจโชว์ผลงานของตัวเองในนาม Kamin Gallery กับยอดไลค์ปัจจุบันที่ 45,000 ไลค์

เรียกได้ว่าไม่ธรรมดา

ป้าง-นครินทร์ยิ้มเมื่อถูกถามว่าการมีน้องขมิ้นนั้นเปลี่ยนเขาไปมากน้อยเพียงไร

“เปลี่ยนไปมากครับ สำหรับลูกแล้วผมคิดเสมอว่าผมต้องสนับสนุนทั้งเรื่องชีวิต ทั้งเรื่องการศึกษาให้ดีที่สุด มากที่สุด เท่าที่เราจะทำได้ เวลาพูดถึงเรื่องนี้มันก็ดูกว้างๆ แต่ผมเชื่อว่าเป็นเรื่องที่หัวหน้าครอบครัวคิดมากที่สุด นั่นก็คือเรื่องลูก

“คือแต่ก่อนมีเพียงเรื่องเมีย ก็โอเคการทำให้เมียสบายนั้นไม่ยาก แต่การทำให้ลูกสบายไปจนถึงอนาคตได้นั้นถือเป็นโจทย์ที่ยากไปอีกขั้นหนึ่ง

กับความสามารถด้านการวาดรูปที่โดดเด่นเกินอายุ นักดนตรีหนุ่มนิ่งคิดอยู่พักหนึ่งก่อนจะให้ความเห็น “ผมว่าการวาดรูปมันก็เป็นศิลปะอย่างหนึ่ง ดนตรีที่ผมทำก็เป็นศิลปะอย่างหนึ่ง ผมว่าสมองซีกศิลปะ วิธีคิดในเรื่องนี้เขาคงได้จากผมไม่มากก็น้อย”

“แต่ความจริงแฟนผมก็เป็นคนวาดรูปสวยนะ” เขาหัวเราะ

“แต่เขาไม่ได้วาดจริงจัง ส่วนผมเป็นคนบ้าเสียงเพลงและคิดว่ามันเป็นศิลปะอย่างหนึ่ง ผมคิดว่าไอ้ก้อนเสียงเพลงนั้นคงส่งไปหาเขาบ้าง ไม่มากก็น้อย

“จะพูดว่าเป็นกรรมพันธุ์ก็ได้นะ”

ปิดท้ายด้วยรอยยิ้มกว้าง

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image