ฉาดเดียว สะเทือนโลก ตบนี้ของ ‘วิล สมิธ’ จบไม่ง่าย

ฉาดเดียว สะเทือนโลก ตบนี้ของ ‘วิล สมิธ’ จบไม่ง่าย
วิล สมิธ ตบฉาด คริส ร็อก บนเวทีออสการ์ (ภาพรอยเตอร์)

จบยาก ส่อเค้ายาว

สำหรับฉาดสะท้านโลกของ วิล สมิธ นักแสดงฮอลลีวู้ดชื่อดัง ผู้ประทับฝ่ามือลงบนใบหน้าฝั่งซ้ายของ คริส ร็อก นักแสดงตลกบนเวทีออสการ์ เมื่อช่วงค่ำของวันที่ 27 มีนาคมที่ผ่านมา ตามเวลาท้องถิ่นในสหรัฐ ขณะเตรียมประกาศผลรางวัลภาพยนตร์สารคดียอดเยี่ยม

อย่างที่ทราบกันว่า เหตุเกิดมาจาก ‘มุขตลก’ ที่ไม่ใช่ทุกคนจะตลกของ คริส ร็อก เกี่ยวเนื่อง เจดา พิงเก็ตต์ สมิธ ภรรยา ซึ่งป่วยเป็น ‘โรคผมร่วงเป็นหย่อม’ จนตัดสินใจโกนศีรษะ

เปิดฉากเสียงวิพากษ์หลากหลาย แบ่งขั้ว แยกข้าง ทั้งเชียร์อัพและคัดค้าน

Advertisement

บ้างก็ว่า ‘สมควรโดน’ บ้างก็ว่า ‘ความรุนแรงไม่ใช่ทางออก’

อย่างไรก็ตาม มือตบร่ำไห้บนเวทีเดียวกันขณะขึ้นรับรางวัลออสการ์ สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม พร้อมกล่าว ‘ขอโทษ’ กับสิ่งที่ทำลงไป

คริส ร็อก ก็ไม่มีการแจ้งความดำเนินดคี

Advertisement

ขณะที่ สถาบันวิทยาการและศิลปะภาพยนตร์ (อคาเดมี) ผู้จัดงานประกาศผลรางวัลออสการ์ ทวีตข้อความระบุว่า

“อคาเดมี ไม่ยอมรับความรุนแรงในทุกรูปแบบ คืนนี้ เรามีความยินดีที่จะเฉลิมฉลองผู้ชนะรางวัล Academy Awards ครั้งที่ 94 ของเรา ซึ่งสมควรได้รับช่วงเวลาแห่งการยกย่องจากเพื่อนฝูงและผู้ชื่นชอบภาพยนตร์ทั่วโลก”

เว็บไซต์นิวยอร์กโพสต์ อ้างแหล่งข่าวใกล้ชิดกับอุตสาหกรรมบันเทิงว่า วิล สมิธ อาจต้องถูกร้องขอให้ส่งคืนตุ๊กตาออสการ์ เนื่องจากละเมิดหลักจรรยาบรรณของสถาบันฯที่กำหนดไว้ตั้งแต่ปี 2560

คนบันเทิงชื่อก้องโลกหลายรายโพสต์ข้อความในทำนอง ‘ผิดหวัง’ ต่อฉากตบสนั่นเวทีออสการ์

ก่อนตามมาด้วยอีกหลายเหตุการณ์ที่ยังคงต้องจับตา

โดยเฉพาะการที่คณะกรรมการออสการ์จะประชุมลงมติในวันที่ 18 เมษายน ว่าจะ ‘ลงดาบ’ กรณีนี้หรือไม่ อย่างไร?

อย่างไรก็ตาม 1 เมษายน วิล สมิธ ชิงออกแถลงการณ์ลาออกจากการเป็นสมาชิกสถาบันออสการ์ และจะน้อมรับผลการตัดสิน โดยยืนยันว่าจะไม่ให้ความรุนแรงครอบงำเหตุผลอีก

ยอมรับไม่ได้ ให้อภัยไม่ลง ‘ผมอยากขอโทษคุณในที่สาธารณะ’

วิล สมิธ ถือรางวัลออสการ์ร่ำไห้บนเวที แม้ถูกขอให้ออกจากงาน แต่เจ้าตัวปฏิเสธ

หลังเกิดเหตุ นอกจาก วิล สมิธ ขอโทษบนเวทีหลังตบฉาดไปหมาดๆ ก็ยังโพสต์ข้อความผ่านอินสตาแกรมเพื่อขอโทษ คริส ร็อก ว่าสิ่งที่ตัวเองทำไปเป็นพฤติกรรมที่ยอมรับไม่ได้

‘ผมอยากขอโทษคุณในที่สาธารณะ คริส ผมทำผิด และผมก็ผิด’

‘ความรุนแรงในทุกรูปแบบเป็นพิษและเป็นอันตราย พฤติกรรมของผมในงานเมื่อคืนเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้และให้อภัยไม่ได้ การถูกล้อเลียนเป็นส่วนหนึ่งของงานที่ผมต้องเจอ แต่การล้อเลียนเกี่ยวกับอาการป่วยของเจดานั้นมันมากเกินกว่าที่ผมจะรับได้ และผมก็แสดงปฏิกิริยาไปตามอารมณ์’

ไม่เพียงแต่ขอโทษต่อ คริส ร็อก แต่ยังขอโทษต่อสถาบันศิลปะและวิทยาการภาพยนตร์ และ ครอบครัววิลเลียมส์ เพราะตัวเองได้รับรางวัลออสการ์ครั้งแรกของชีวิตในปีนี้จากการรับบทบิดาของ วีนัส และ เซเรนา วิลเลียมส์ 2 นักเทนนิสชื่อก้องโลก

‘ผมเสียใจอย่างสุดซึ้งที่พฤติกรรมของผมได้สร้างความแปดเปื้อนในการเดินทางที่แสนวิเศษของพวกเราทุกคน’ วิล สมิธระบุ

ไม่ใช่ครั้งแรกของคริส ร็อก ไม่ใช่ครั้งแรกของวิล สมิธ

ครั้นเมื่อย้อนสังคายนาพฤติกรรมในอดีต นี่ก็ไม่ใช่ ‘ครั้งแรก’ ของทั้งคริส ร็อก และวิล สมิธ

คริส ร็อก เคยเล่นมุขตลกเกี่ยวกับ เจดา พิงเก็ตต์ สมิธ หลังจากที่คู่สามีภรรยาสมิธ ทั้งวิล และพิงเก็ตต์ บอยคอตการประกาศรางวัลออสการ์เมื่อปี 2016 เนื่องจากไม่มีนักแสดงผิวสีได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลเป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน

“เจดาบอยคอตออสการ์ ก็เหมือนผมบอยคอตกางเกงชั้นในของรีฮานนา”

เป็นคำกล่าวของ คริส ร็อก เมื่อ 6 ปีก่อน

ไม่เพียงเท่านั้น ยังระบุด้วยว่า

“มันไม่ยุติธรรมเลยที่วิลเก่งขนาดนี้ แต่ไม่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล มันไม่ยุติธรรมเลยที่วิลจะได้รับเงิน 20 ล้านเหรียญ จากภาพยนตร์เรื่อง Wild Wild West”

ปล่อยมุขแบบครบคู่ ทั้งสามีและภรรยา

ด้าน วิล สมิธ ไม่น้อยหน้า สื่อขุดพฤติกรรมด้านลบหลายครั้งหลายหน อาทิ ถูกตั้งข้อหาทำร้ายร่างกาย วิลเลียม เฮนดริกส์ โปรโมเตอร์ ใน พ.ศ.2532 ซึ่งเกือบทำให้อีกฝ่ายตาบอด จนต้องนอนค้างอ้างแรมในเรือนจำในฟิลาเดลเฟีย, ค้างชำระภาษี 2.8 ล้านเหรียญ, หึงหวงภรรยากับ ทูพัค ชาคูร์ แร็พเปอร์ชื่อดังผู้ล่วงลับและตบหน้านักข่าวชาวยูเครนบนพรมแดง เมื่อ พ.ศ.2555 ในงานฉายรอบปฐมทัศน์ Men in Black III ที่กรุงมอสโก

ล่าสุด ชาวเน็ตยังขุดคลิป วิล สมิธ เคยล้อ จอห์น บี วิลเลียมส์ ในประเด็น ศีรษะล้าน กลางรายการ The Arsenio Hall Show เมื่อ 31 ปีก่อน เทียบกับกรณีล่าสุดที่เจ้าตัวรับไม่ได้เมื่อคริส ร็อก ปล่อยมุขพาดพิงภรรยา เกิดคำถามว่า ทำไมล้อคนอื่นได้ แต่พอตัวเองโดนกลับรับไม่ได้

โลกออนไลน์ขุดคลิปรายการโทรทัศน์ 31 ปีก่อน ครั้ง วิล สมิธ เล่นมุข
ล้อเลียนปมศีรษะล้าน

เหตุการณ์ในวันนั้น หนึ่งในคนดูตะโกนว่าพฤติกรรมของวิลนั้นหยาบคาย ก่อนที่วิล สมิธจะสวนกลับว่า

“มันก็แค่มุขแหละ ไม่เอาน่า”

หลังคลิปดังกล่าวถูกขุดออกมา นิตยสารโรลลิงสโตน ไปสัมภาษณ์จอห์น บี วิลเลียมส์ ซึ่งตอบว่า

“ผมไม่ได้คิดมากกับเรื่องนั้น เขาเป็นนักแสดงตลก ผมก็แค่หัวเราะกับมัน” นอกจากนี้ ยังบอกด้วยว่า แม้มุขตลกของวิล สมิธในตอนนั้นกับของ คริส ร็อก ในวันประกาศผลออสการ์จะมีเนื้อหาเดียวกัน แต่ศีรษะที่ล้านของวิลเลียมส์ ก็ไม่ได้เกิดจากอาการป่วยโรคผมร่วงเป็นหย่อมแบบที่เจดาต้องเผชิญ

#ทีมวิล หรือ #ทีมคริส ? คิดเหมือน มองต่าง วัฒนธรรมชี้นำคำตัดสิน

มาถึงความเคลื่อนไหวที่มาจากผู้ถูกพาดพิงอย่าง เจดา พิงเก็ตต์ สมิธ กันบ้าง โดยหลังเหตุตบสนั่นเวทีออสการ์ เจ้าตัวยังไม่เคลื่อนไหวอยู่หลายวัน กระทั่ง 30 มีนาคม เจดาโพสต์ข้อความแรกในอินสตาแกรมนับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวว่า

‘นี่คือฤดูกาลสำหรับการเยียวยา และฉันอยู่ที่นี่เพื่อมัน’

คู่สามี-ภรรยาสมิธ

แม้ไม่มีถ้อยคำเฉพาะเจาะจงเชื่อมโยงกับเหตุดังกล่าว ทว่า ชาวโลกคิด วิเคราะห์ ตีความกันเป็นที่เรียบร้อยว่าเกี่ยวแน่

ขณะที่มีรายงานว่า ตั๋วการแสดงทัวร์ของ คริส ร็อก ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า เรียกได้ว่ายอดขายมากกว่าครึ่งหนึ่งถล่มทลายหลังวันเกิดเหตุ ไม่ใช่แค่นั้น แต่ราคาตั๋วในนครบอสตัน ก็พุ่งจากใบละ 44 ดอลลาร์สหรัฐ เป็น 411 ดอลลาร์สหรัฐอีกต่างหาก!

ประเด็นนี้ ’ปราย พันแสง นักเขียนชาวไทยชื่อดังที่หันมาเผยแพร่ข้อเขียนผ่านเพจเฟซบุ๊ก โดยมีผู้ติดตามกว่าแสนราย มองว่า การที่บัตรดูเดี่ยวไมโครโฟนของคริส ร็อก ขายดี และขายแพงขึ้นอาจเพราะอยากฟังว่า ‘เขาจะว่าไงกับเรื่องนี้’

’ปราย พันแสง ยังวิเคราะห์ด้วยว่า การที่ช่วงนี้มีคนออกมาโพสต์ว่า ‘คนไทยเสร่อที่เชียร์วิล’ นั้น ความจริงมันก็เป็นเรื่องธรรมชาติที่จะเห็นต่าง หลายคนโพสต์ว่าคนอเมริกันเชียร์คริส ร็อก แต่เท่าที่อ่านคอมเมนต์ตามเว็บต่างๆ พบว่าคนที่เชียร์วิลก็เยอะมาก

‘เพื่อนอยู่อเมริกายังบอกว่าความเห็นคนอเมริกันก็แตกแยกเป็นสองฝั่งเหมือนคนไทยเป๊ะ แล้วแต่ว่าใครจะมีพื้นที่สื่อมากกว่ากัน…เห็นหลายคนออกมาตำหนิคนไทยว่าสนับสนุนความรุนแรง แต่เรากลับคิดว่า คนไทยเราเห็นใจวิลกับเจดา เพราะให้ความสำคัญกับเหตุที่มาแห่งทุกข์ครั้งนี้มากกว่านะ วัฒนธรรมเราต่างกันจริงๆ

ตอนนี้ดูเหมือนคริส ร็อกจะดังระเบิด มีแต้มต่อ วิลดูเหมือนจะเจอแอนตี้หนัก การทำร้ายร่างกายเป็นสิ่งที่คนอเมริกัน intellectual ยอมรับไม่ได้ ผิดกฎหมายด้วย แต่การทำร้ายคนอื่นด้วยคำพูดถือว่าเป็นเรื่องเล็ก และเป็นส่วนหนึ่งของสิทธิเสรีภาพที่พวกเขาปกป้อง’

นักเขียนท่านนี้ ยังย้ำว่า อย่างไรก็ตาม คำพูดบางคำนั้น ‘ฆ่าคนได้’

“เราว่าบางคำพูดมันฆ่าคนได้นะ บูลลี่คนด้วยคำพูดนั้นมันสะสม บางทีมันแสดงผลรุนแรงกว่าการทำร้ายร่างกายมากเลย ทำไมเด็กนักเรียนในอเมริกาจึงต้องฝึกหลบกระสุนจากการกราดยิงในห้องเรียนอย่างเป็นกิจจะลักษณะ หลายครั้งที่เราอ่านข่าวแล้วพบว่าฆาตกรเป็นเด็กที่โดนบูลลี่มายาวนาน” ’ปราย พันแสงระบุ พร้อมปิดท้ายว่า

ความรุนแรงในสังคมมนุษย์ บางครั้งก็อาจมาจากการลำดับของเรา ว่าให้อะไรสำคัญกว่ากัน

รู้จัก ‘ภาวะผมร่วงเป็นหย่อม’

จากที่มีข่าวเรื่องการพูดถึงภรรยานักแสดงผู้มีชื่อเสียงในฮอลลีวู้ดเป็นโรคผมร่วงเป็นหย่อม โดยพิธีกรในงานออสการ์ ก่อให้เกิดความไม่พอใจแก่บุคคลที่เกี่ยวข้อง เนื่องจากโรคนี้อาจจะทำให้ผู้ป่วยรู้สึกอับอาย หรือเป็นปมด้อยแต่อันที่จริงแล้วโรคนี้เป็นโรคที่รักษาได้ ไม่ควรเป็นโรคที่น่ารังเกียจต่อสังคม เพราะไม่ได้เป็นโรคติดต่อ หรือโรคอันตรายแต่อย่างใด

พญ.ชินมนัส เลขวัต สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย ระบุว่า ภาวะผมร่วงเป็นหย่อม (alopecia areata) เป็นโรคที่พบได้บ่อยในทุกช่วงอายุ ผู้ป่วยมีอาการผมร่วงเป็นหย่อมๆ ที่ศีรษะ โดยอาจจะมีขนร่วงที่บริเวณอื่นร่วมด้วย เช่น คิ้ว หนวด จอน หรือขนตามร่างกาย ในรายที่เป็นมาก อาจมีอาการผมร่วงทั่วศีรษะ หรือขนตามร่างกายร่วงจนหมดตามมา ผู้ป่วยมักมีอาการผมร่วงเป็นหย่อมๆ ในผู้ป่วยที่มีอาการมากอาจมีผมร่วงเป็นบริเวณกว้างทั้งศีรษะ ทำให้ผู้ป่วยเกิดความอับอาย ไม่กล้าเข้าสังคม ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย

 

 

 

โรคนี้พบได้ประมาณ 0.2% ของประชากรทั้งหมดและพบได้ทุกกลุ่มอายุและเกิดได้ทั้งเพศชายและเพศหญิง โรคผมร่วงเป็นหย่อมนี้เกิดขึ้นโดยไม่มีสาเหตุแน่ชัด แต่เชื่อว่าเกิดจากการที่ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันต้านตนเอง (autoimmune disease) ร่วมกับมีการเสียการควบคุมของระบบภูมิคุ้มกัน (immune privilege) และอาจมีปัจจัยทางกรรมพันธุ์เกี่ยวข้อง โดยร่างกายอาจถูกกระตุ้นได้จากปัจจัยบางอย่าง เช่น ความเครียดทั้งจากภาวะการเจ็บป่วยทางร่างกายและจิตใจ ทำให้มีการสร้างเซลล์เม็ดเลือดขาวและสารสื่อประสาทที่บริเวณต่อมผม จึงทำให้การสร้างผมผิดปกติและวงจรชีวิตของผมเปลี่ยนจากระยะเจริญเติบโตเป็นระยะหลุดร่วงเร็วขึ้น

โรคผมร่วงเป็นหย่อมมีความสัมพันธ์กับโรคทางผิวหนังและโรคอื่น จากการศึกษาพบว่าโรคผมร่วงเป็นหย่อมมีความสัมพันธ์กับโรคภูมิแพ้ (atopic diseases), โรคอ้วนลงพุง (metabolic syndrome), การติดเชื้อ Helicobacter pylori, โรคเอสแอลอี (SLE; systemic lupus erythematosus), โรคซีดจากการขาดธาตุเหล็ก, โรคไทรอยด์, โรคทางจิต, โรคขาดวิตามินดี, โรคที่มีความผิดปกติทางหู และโรคที่มีความผิดปกติทางตา

พญ.ชินมนัส เลขวัต

การรักษา การดูแลรักษาโรคผมร่วงเป็นหย่อมควรจะรักษาตามมาตรฐาน โดยการรักษาขึ้นกับขนาดพื้นที่ของผมร่วงที่ศีรษะ ในผู้ป่วยที่มีอาการน้อย มีผมร่วงเป็นหย่อมเพียงเล็กน้อย อาการผมร่วงอาจหายได้เองหรือไปรับการรักษากับแพทย์เฉพาะทางด้วยการทายาสเตียรอยด์ หรือฉีดยาสเตียรอยด์ที่ศีรษะร่วมกับการทายาไมน็อกซิดิล (Topical minoxidil) 2-5% วันละ 2 ครั้ง เพื่อกระตุ้นผมให้ขึ้นใหม่ ในผู้ป่วยที่มีอาการมาก มีผมร่วงทั่วศีรษะ หรือมีขนตามร่างกายร่วงด้วย ควรจะพบแพทย์เพื่อพิจารณาการรักษาด้วยยาทาไดฟีนิลไซโคลโพรพีโนน หรือยาทาดีพีซีพี หรือยาอื่นตามที่แพทย์เฉพาะทางพิจารณา

การตอบสนองต่อการรักษาขึ้นอยู่กับยาที่ใช้รักษา, ความรุนแรงของโรคและระยะเวลาที่เป็นโรค ซึ่งแตกต่างกันในผู้ป่วยแต่ละราย อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยไม่ควรหมดกำลังใจในการดำรงชีวิตและการเข้าสังคมเนื่องจากโรคไม่ได้มีผลต่อสุขภาพร่างกาย ไม่ใช่โรคที่อันตรายร้ายแรงและมีหนทางในการรักษา เพื่อน หรือคนในครอบครัวควรให้กำลังใจแก่ผู้ป่วย

บุคคลภายนอกควรเห็นใจและให้กำลังใจกันและกัน ทำให้สังคมน่าอยู่ขึ้น

 

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image