ที่มา | มติชนรายวัน |
---|---|
ผู้เขียน | ทีมข่าวเฉพาะกิจ |
เผยแพร่ |
ภายหลังจากการเผยแพร่ข่าวที่คนไทยทั่วแผ่นดินไม่อยากได้ยินที่สุด ความเศร้าโศกเสียใจก็ถั่งโถมทั่วนครเมื่อทราบว่า พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เสด็จสวรรคตเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 13 ตุลาคม พ.ศ.2559
สิ่งที่คนไทยทำได้นอกจากร่วมใจแสดงความอาลัยแล้วคือการน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของรัชกาลที่ 9 ที่พระองค์ทรงงานเพื่อแผ่นดินไทยมากว่า 70 ปี
9 เรื่องที่เสนอต่อจากนี้เป็นเกร็ดสาระที่หยิบขึ้นมาจากนับร้อยนับพันเรื่อง อันเป็นสิ่งที่น่าจะทำให้พสกนิกรย้อนรำลึกถึงเรื่องราวที่น่าจดจำที่เกิดขึ้นในรัชสมัยของพระองค์ ในวาระที่ปวงชนชาวไทยน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่าน
พระนามพระราชทาน
เมื่อพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พระราชสมภพ สมเด็จพระบรมราชชนกทรงรีบส่งโทรเลขถวายสมเด็จพระพันวัสสาฯ ว่า “ลูกชายเกิดเช้านี้ สบายดีทั้งสอง ขอพระราชทานนามทางโทรเลขด้วย”
สมเด็จพระพันวัสสาฯ เสด็จไปเข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระนามว่า “ภูมิพลอดุลเดช” โดยสะกดภาษาอังกฤษว่า Bhumibala Aduladeja ในลายพระหัตถ์ของรัชกาลที่ 7 ยังระบุการออกเสียงไว้ให้ด้วยว่า Poomipon
สมเด็จพระพันวัสสาฯ ทรงให้ ม.จ.ดำรัสดำรงค์ช่วยส่งโทรเลขแจ้งพระนามตอบกลับไป แต่ในโทรเลขที่ ม.จ.ดำรัสดำรงค์ส่งไปนั้นเขียนไว้เพียงว่า
“Your son’s name is Bhumibala Aduladeja”
สมเด็จพระบรมราชชนนีทรงรับโทรเลขแล้วไม่แน่ชัดว่ามีพระนามในภาษาไทยเช่นใด ทรงคิดว่าชื่อ “ภูมิบาล” จึงทรงสะกดพระนามพระโอรสว่า Bhumibal Aduldej Songkla (โดย Songkla มาจากนามสกุล สงขลา)
ทั้งนี้ พระนาม “ภูมิพลอดุลเดช” เป็นการสะกดตามพระนามของสมเด็จพระบรมราชชนก คือ สมเด็จเจ้าฟ้ามหิดลอดุลเดชฯ ภายหลังมีการเขียนทั้งแบบใส่ “ย” และไม่ใส่ “ย” ในที่สุดจึงนิยมเขียนแบบนิยมใส่ “ย” ทั้งสองพระองค์
“ภูมิพลอดุลเดช” มีความว่า ผู้ทรงกำลังอำนาจ ไม่มีสิ่งใดเทียบในแผ่นดิน
พระนามเรียกเป็นการส่วนพระองค์
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชเป็นพระโอรสพระองค์เล็กสุด โดยมีพระเชษฐภคินี คือ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนาฯ และสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช คือ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล จึงมีพระนามที่ใช้เรียกเป็นการส่วนพระองค์ว่า “เล็ก”
พระอิสริยยศเมื่อพระราชสมภพคือ “พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้า” คนทั่วไปจึงเรียกว่า “พระองค์เล็ก” และเรียกพระเชษฐาว่า “พระองค์ชาย” แต่สมเด็จพระบรมราชชนนีทรงเรียกพระนามเป็นการส่วนตัวว่า “นันท”
ต่อมาเมื่อเจ้าฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ประสูติ และเป็นพระราชธิดาพระองค์เล็กสุดในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ จึงมีพระนามเรียกเป็นการส่วนพระองค์ว่า “เล็ก” เช่นกัน
นามสกุล
เมื่อแรกพระประสูติของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงใช้นามสกุล “สงขลา” ตามนามสกุลของพระบิดา ครั้งที่พระบิดาทรงศึกษาอยู่ต่างประเทศนั้นทรงใช้พระนามว่า “มหิดล สงขลา” ตามหลักการใช้นามที่ทรงกรมมาเป็นนามสกุล และพระบิดาทรงได้รับการสถาปนามีพระยศทรงกรมว่า “กรมหลวงสงขลานครินทร์”
ต่อมารัชกาลที่ 7 พระราชทานนามสกุลสำหรับผู้สืบสายพระบรมราชวงศ์ เมื่อปี พ.ศ.2472 เปลี่ยนหลักการใช้นามสกุลจากนามที่ทรงกรมมาใช้พระนามของบิดาแทน
ราชสกุล “มหิดล” จึงเป็นราชสกุลของผู้สืบสายมาจากสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก นับแต่นั้น
จิตรกรรมฝีพระหัตถ์
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงสนพระราชหฤทัยงานจิตรกรรมมาตั้งแต่ทรงพระเยาว์ เมื่อครั้งประทับที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ โดยทรงศึกษาด้วยพระองค์เองจากตำราต่างๆ เมื่อทรงสนพระราชหฤทัยในงานของศิลปินผู้ใดก็จะเสด็จฯไปทรงเยี่ยมศิลปินผู้นั้นถึงที่พัก เพื่อทรงทักทายและทอดพระเนตรวิธีการทำงานของศิลปินผู้นั้น
หลังเสด็จขึ้นครองราชย์ ทรงเริ่มเขียนภาพอย่างจริงจังราว พ.ศ.2502 โดยพระราชทานพระราชวโรกาสให้จิตรกรไทยเข้าเฝ้าฯและถวายคำปรึกษา ราว 8 ปี ทรงวาดภาพจิตรกรรมไว้ถึง 107 ภาพ จากนั้นก็มิได้ทรงเขียนภาพอีก เพราะมีพระราชภารกิจด้านอื่นมากขึ้น
ภาพจิตรกรรมฝีพระหัตถ์ที่ทรงใช้มากเป็นพิเศษคือ สีน้ำมันบนผืนผ้าใบ มีทั้งรูปแบบทั้งภาพเหมือนจริงและภาพแสดงความรู้สึก
ทรงใช้ลงพระนามในแต่ละภาพว่า “ภ.อ.”
กีฬาทรงโปรด
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชโปรดกีฬาเรือใบมาก ทรงเริ่มสนพระราชหฤทัยเมื่อได้ทอดพระเนตร ม.จ.ภีศเดช รัชนี ทรงเรือใบที่ต่อขึ้นเองในคราวเสด็จแปรพระราชฐาน ณ วังไกลกังวล หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์
ภายหลังพระองค์ทรงต่อเรือใบขึ้นเองต่อเนื่องเป็นเวลาหลายปี
ในวันที่ 9-16 ธันวาคม 2510 ประเทศไทยได้รับเกียรติให้เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาแหลมทอง ครั้งที่ 4 พระองค์ทรงเข้าร่วมแข่งขันเป็นนักกีฬาเรือใบทีมชาติ ทรงใช้เรือใบชื่อ “นวฤกษ์” ที่ทรงต่อขึ้นด้วยพระองค์เอง โดยมีสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าอุบลรัตนราชกัญญาทรงเข้าร่วมแข่งขันด้วย
ปรากฏว่าทั้งสองพระองค์มีคะแนนเป็นอันดับ 1 เท่ากัน จึงทรงรับรางวัลเหรียญทองร่วมกัน ในวันที่ 16 ธันวาคม 2510 โดยสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทูลเกล้าฯถวายรางวัลเหรียญทองในพิธีปิดการแข่งขันที่สนามศุภชลาศัย
เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์วงการกีฬาโลกที่พระมหากษัตริย์ทรงเข้าร่วมการแข่งขันกีฬาระดับนานาชาติและทรงได้รับเหรียญทอง
ต่อมารัฐบาลได้กำหนดให้วันที่ 16 ธันวาคมของทุกปีเป็น “วันกีฬาแห่งชาติ”
ไฟพระฤกษ์
ตั้งแต่ปี พ.ศ.2510 มีการจัดแข่งขันกีฬาแห่งชาติเป็นประจำทุกปี และมีสัญลักษณ์ คือ ประเพณีการจุดไฟในกระถางคบเพลิง โดยเป็นไฟที่ขอพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชเรียกว่า ไฟพระฤกษ์
ก่อนวันเฉลิมพระชนมพรรษาของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช สำนักพระราชวังจะนำพระแว่นสุริยกานต์ ไปทอดไว้ ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน เมื่อทรงประกอบพระราชพิธีจัดไฟเรียบร้อยแล้ว สำนักพระราชวังก็จะนำไฟพระฤกษ์ไปเก็บรักษาที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม และเลี้ยงไฟไว้ใช้ในพระราชพิธีต่างๆ ของปีนั้น รวมทั้งการพระราชทานเพลิงศพด้วย
พระราชนิพนธ์ นายอินทร์ผู้ปิดทองหลังพระ
“นายอินทร์ผู้ปิดทองหลังพระ” เป็นพระราชนิพนธ์แปลจากเรื่อง A Man Called Intrepid โดย William Stevenson ฉบับพิมพ์ พ.ศ.2519 เขียนจากชีวิตจริงของ เซอร์วิลเลียม สตีเฟนสัน (Sir William Stephenson) หัวหน้าหน่วยสายลับหรือหน่วยจารกรรมของอังกฤษสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 มีชื่อรหัสว่า Intrepid ในพระราชนิพนธ์แปลใช้คำว่า “นายอินทร์” และคำว่า “ปิด” เพื่อมาล้อกับชื่อ Intrepid
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงเริ่มแปลนวนิยายเรื่องนี้เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2520 จนสำเร็จบริบูรณ์เมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2523 โดยทรงใช้เวลาว่างวันละเล็กละน้อยกว่า 3 ปี จากนั้นทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายเป็นหนังสือปกแข็งหนากว่า 600 หน้า เพื่อหารายได้สมทบทุนมูลนิธิชัยพัฒนา ในโอกาสทรงเจริญพระชนมพรรษา 66 พรรษา เมื่อปี พ.ศ.2536
พระองค์ทรงใช้สำนวน “ปิดทองหลังพระ” เพื่อสื่อถึงการทำหน้าที่ของนายอินทร์ซึ่งอยู่เบื้องหลังชัยชนะของฝ่ายสัมพันธมิตร แต่ไม่มีใครทราบ
พระตำหนัก
นับแต่ปี พ.ศ.2500 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงมีพระราชกรณียกิจเสด็จฯไปทรงเยี่ยมเยียนราษฎรอย่างสม่ำเสมอ เฉลี่ยปีละ 7-8 เดือน จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างวังขึ้น 3 แห่งในภาคเหนือ ภาคใต้และภาคอีสาน เพื่อใช้เป็นที่ประทับขณะเสด็จฯไปทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจ นอกเหนือจากวังไกลกังวล อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ที่เสด็จแปรพระราชฐานเป็นประจำ
โดยพระตำหนักที่สร้างขึ้นใหม่ ได้แก่ พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ จ.เชียงใหม่ พระตำหนักทักษิณราชนิเวศน์ จ.นราธิวาส และพระตำหนักภูพานราชนิเวศน์ จ.สกลนคร
โครงการพระราชดำริเพื่อพัฒนาชนบทโครงการแรก
เดือนพฤษภาคม 2495 หลังจากพระราชพิธีบรมราชาภิเษก 2 ปี พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงขับรถพระที่นั่งเยี่ยมราษฎรบ้านห้วยคต ต.หินเหล็กไฟ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ รถพระที่นั่งบุกตะลุยเข้าไปพื้นที่ ตามเส้นทางเกวียน ขรุขระ เป็นหลุมเป็นบ่อ จนตกหล่มลึก หน้าบ้านของลุงรวย งามขำ ชาวบ้านแถบนั้นต้องออกมาช่วยเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ ยกรถพระที่นั่งพ้นจากหล่ม พระองค์ได้รับสั่งถามถึงปัญหาของหมู่บ้าน ลุงรวยจึงกราบบังคมทูลว่า “อยากได้ถนนมากที่สุด”
หลังจากนั้นพระองค์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้หน่วยตำรวจตระเวนชายแดนค่ายนเรศวรสร้างถนนเข้าไปยังบ้านห้วยมงคล จากเดิมที่ชาวบ้านต้องใช้เวลาเป็นวันกว่าจะถึงตลาด ก็ใช้เวลาไม่ถึง 20 นาที ถนนห้วยมงคลนับเป็นโครงการพระราชดำริเพื่อพัฒนาชนบทโครงการแรกของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช