บ่อเกิดวรรณคดีไทย
จากในประเทศและนานาชาติ
วรรณคดีไทยส่วนหนึ่งเกิดจากจินตนาการและแรงบันดาลใจจากประสบการณ์ของกวีเอง เช่น บทยอพระเกียรติ, บทไว้อาลัย, นิราศ, คำสอน เป็นต้น
แต่มีวรรณคดีไทยจำนวนมากที่เกิดจากการติดต่อสัมพันธ์กันทางวัฒนธรรม เมื่อรู้สึกชื่นชมหรือศรัทธาในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง กวีก็จะรับเอาเรื่องราวที่เกี่ยวกับเรื่องนั้นๆ มาเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์งานประพันธ์ เรื่องที่เป็นที่มาของวรรณคดีเหล่านี้อาจเป็นต้นเรื่องโดยตรงหรือโดยอ้อมก็ได้ เมื่อนำไปแต่งเป็นวรรณคดีเรื่องใหม่อาจจะมีการตัดทอน, เพิ่มตอนหรือเพิ่มรายละเอียดอื่นๆ
แรงบันดาลใจอันเป็นแหล่งที่มาสำคัญของเนื้อหาวรรณคดีไทย ได้แก่ เรื่องเล่าจากคัมภีร์พระพุทธศาสนา นอกจากนั้นกวีอาจติดใจเนื้อเรื่องที่สนุกสนานของนิทานพื้นบ้านที่เล่าสืบต่อกันมาอย่างแพร่หลาย หรือชื่นชมความแปลกใหม่ของเรื่องต่างถิ่นต่างวัฒนธรรม ได้แก่ อินเดีย, เปอร์เชีย, จีน, ชวา, มอญ และตะวันตก จึงนำมาแต่งเป็นวรรณคดี
แหล่งที่มาของเนื้อหาวรรณคดีไทยอาจจำแนกได้เป็น 8 กลุ่ม ดังนี้ 1. คัมภีร์พระพุทธศาสนา 2. นิทานพื้นบ้าน 3. วรรณคดีอินเดีย 4. วรรณคดีเปอร์เชีย 5. วรรณคดีจีน 6. วรรณคดีชวา 7. วรรณคดีมอญ 8. วรรณคดีตะวันตก
คัมภีร์พระพุทธศาสนา
คัมภีร์ที่เป็นหลักสำคัญของพระพุทธศาสนาคือพระไตรปิฎกซึ่งแบ่งเป็น 3 ส่วน ได้แก่ พระวินัย คือพุทธบัญญัติเกี่ยวกับความประพฤติ ความเป็นอยู่ ขนบธรรมเนียม และการดำเนินกิจการต่างๆ ของภิกษุและภิกษุณี พระสูตร คือพระธรรมเทศนาและคำอธิบายธรรมต่างๆ ที่ตรัสให้เหมาะกับบุคคลและโอกาส ตลอดจนบทประพันธ์ เรื่องเล่า และเรื่องราวที่เป็นชั้นเดิมในพระพุทธศาสนา และพระอภิธรรม คือการแสดงสภาวธรรมล้วนๆ ไม่เกี่ยวกับบุคคลและเหตุการณ์
คัมภีร์ดังกล่าวข้างต้นนี้แต่งเป็นภาษาบาลี ต่อมาเมื่อพระพุทธศาสนาเผยแผ่มายังประเทศไทยจึงได้มีการแปลคัมภีร์ต่างๆ เป็นภาษาไทย และมีงานประพันธ์เกี่ยวกับประวัติของพระพุทธศาสนาที่แสดงให้เห็นความสำคัญและความเจริญของพระพุทธศาสนาในประเทศไทยด้วย เช่น จามเทวีวงศ์, มหาวงศ์, ชินกาลมาลีปกรณ์ เป็นต้น
นอกจากเป็นหลักในการสืบทอดคำสอนแล้ว คัมภีร์พระพุทธศาสนายังเป็นแรง บันดาลใจแก่กวีไทยในการประพันธ์วรรณคดีเรื่องต่างๆ
นิทานพื้นบ้าน
คำว่า “นิทาน” หมายถึงเรื่องเล่าที่เขียนเป็นร้อยแก้ว หรือร้อยกรอง หรือเล่าด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย นิทานตรงกับคำว่า tale ในภาษาอังกฤษ หมายรวมทั้งเรื่องจากเหตุการณ์จริงและเรื่องแต่ง ทั้งนี้มีข้อสังเกตว่านิทานเป็นงานสร้างสรรค์ที่มีลีลาแบบกันเอง เป็นการเล่าด้วยวาจา
ในทางคติชนวิทยาคำว่า “นิทาน” ใช้หมายถึงเรื่องที่เล่าสืบต่อกันมาจนเป็นมรดกทางวัฒนธรรม อาจเรียกด้วยชื่อต่างๆ กัน เช่น นิทานพื้นบ้าน นิทานพื้นเมือง หรือ นิทานชาวบ้าน
นิทานพื้นบ้าน มีลักษณะ 3 ประการ ได้แก่ 1) แต่งเป็นร้อยแก้ว เล่าเรื่องด้วยถ้อยคำธรรมดา 2) สืบทอดกันมาช้านานด้วยการเล่าแบบแบบมุขปาฐะ 3) ไม่ปรากฏชื่อผู้เล่าเดิม
การเล่านิทานมีอยู่ในทุกสังคม แต่เดิมเป็นการเล่าแบบมุขปาฐะ ต่อมาเมื่อมีตัวอักษรใช้ การถ่ายทอดเป็นลายลักษณ์จึงช่วยให้นิทานแพร่กระจายได้กว้างขวางยิ่ง ขึ้น อย่างไรก็ตามด้วยลักษณะของเรื่องเล่าซึ่งมีทั้งที่เป็นมุขปาฐะและลายลักษณ์จึงไม่อาจระบุได้อย่างชัดเจนว่านิทานพื้นบ้านมีที่มาจากวรรณกรรมมุขปาฐะเพียงอย่างเดียว หรืออาจมาจากวรรณกรรมลายลักษณ์ด้วย
นิทานพื้นบ้านที่เป็นที่รู้จักของคนไทยอาจแบ่งเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ นิทานมหัศจรรย์, นิทานชีวิต และตำนาน
นิทานมหัศจรรย์ ได้แก่, สินไช, โสวัต, นกกระจาบ, ศรีธนญชัย สุริวงศ์, นางสิบสอง, สังข์ทอง, พระสุธน มโนห์รา, สุบินกุมาร
นิทานชีวิต ได้แก่ โอ้เป่มสามลอ, ขุนช้าง ขุนแผน, ไกรทอง
ตำนาน ได้แก่ พระร่วง, ท้าวแสนปม
วรรณคดีอินเดีย
ไทยกับอินเดียมีความสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมมาแต่โบราณกาล นอกจากศาสนาและ ขนบธรรมเนียมประเพณี ไทยยังได้รับอิทธิพลทางภาษาและวรรณคดีทั้งบาลีและสันสกฤตจากอินเดียอีกด้วย ดังจะเห็นได้จากคำบาลีสันสกฤตที่ปรากฏอยู่ในภาษาและวรรณคดีไทยที่รับมาจากวรรณคดีบาลีประเภทคัมภีร์พระพุทธศาสนา ส่วนวรรณคดีสันสกฤตนั้นมีทั้งที่ไทยรับมาเป็นเรื่องเล่าแล้วจดจารลงภายหลัง เช่น รามายณะ เรื่องที่แปลหรือได้เค้าเรื่องมาจากวรรณคดีสันสกฤตโดยตรง เช่น คัมภีร์ นาฏยศาสตร์ และเรื่องที่แปลหรือได้เค้าเรื่องมาจากวรรณคดีสันสกฤตที่มีผู้แปลไว้เป็นภาษาอังกฤษแล้ว เช่น ศกุนตลา
วรรณคดีอินเดียที่เป็นที่มาของเนื้อหาวรรณคดีไทย มีตัวอย่างดังนี้ รามายณะ, มหาภารตะ, ตันโตรปาขยานะ, กถาสริตสาคระ, วิกรมจริตะ, เวตาลปัญจวิงศติ, หิโตปเทศะ, Bengali Household Tales
วรรณคดีเปอร์เชีย
ชาวเปอร์เชียหรืออิหร่านเดินทางมาค้าขายที่ตะนาวศรีและมะริดตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 16 และเริ่มมีความสัมพันธ์กับชาวสยามในกรุงศรีอยุธยาในรัชกาลสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม (พ.ศ.2154-2171) ซึ่งตรงกับรัชสมัย Shah Abbas แห่งราชวงศ์ Safavids ของเปอร์เชีย (พ.ศ. 2131-2172)
ใน พ.ศ. 2145 ชาวเปอร์เชียชื่อ เชค อะหมัด เดินทางมาค้าขายกับราชสำนักสยามได้เข้ารับราชการและเป็นต้นตระกูลบุนนาคต่อมา
ในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช (พ.ศ. 2199-2231) Shah Sulaiman แห่งราชวงศ์ Safavids (พ.ศ. 2209-2237) ได้ทรงส่งคณะทูตจากราชสำนักเปอร์เชียมายังสยามใน พ.ศ. 2228 Muhammad Ibrāhīm เลขานุการคณะทูตได้บันทึกการเดินทางครั้งนั้นไว้ในหนังสือเรื่อง Safīna-i sulaimānī (The Ship of Sulaimān) เป็นหลักฐานที่แสดงว่าสยามกับเปอร์เชียมีความสัมพันธ์กันทางวัฒนธรรมด้านต่างๆ เช่น อาหาร, การแต่งกาย, วรรณกรรม, และศิลปะอื่นๆ
กล่าวเฉพาะด้านวรรณกรรม มีหลักฐานว่าในราชสำนักสยามนิยมฟังเรื่องเล่าต่างๆ ของเปอร์เชีย ดังในบันทึกบำงตอนว่า “ทุกๆ เช้าและเย็นเป็นเวลา 20 ปี ขุนนางเปอร์เชียได้เล่าเรื่องประวัติศาสตร์ถวาย […]” “ซัยยิด ดัรมันดี จากคุรอซาน ได้ทำเรื่องย่อของ Shāhnāma ถวายด้วย”
วรรณคดีจีน
การติดต่อกันระหว่างจีนกับไทยในช่วงเริ่มแรกนั้นเป็นความสัมพันธ์ทางการค้า แต่ในทางวรรณกรรมเพิ่งเริ่มมีความสัมพันธ์ในสมัยรัชกาลที่ 5 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ดังปรากฏหลักฐานเป็นผลงานวรรณคดีจีนที่แปลเป็นภาษาไทยหลายเรื่อง ในที่นี้จะกล่าวถึงเฉพาะวรรณคดีจีนบางเรื่องเพื่อให้เห็นประเภทและเนื้อหาของวรรณคดีจีนที่ไทยนำมาแปล ดังนี้ ซานกั๋วเหยี่ยนอี้, สุยหู่จ้วน, ซีฮั่นทงสูเหยี่ยนอี้, ซานกั๋วอิน, เฟิงเสิน เหยี่ยนอี้, ซีโหยวจี้, หลุนอี่ว์, ตงโจวเลี่ยกั๋วจื้อ
วรรณคดีชวา
ในวรรณคดีชวามีนิทานปันหยีหรือนิทานอิเหนาซึ่งเป็นนิทานวีรบุรุษเรื่องสำคัญ มีต้นเค้ามาจากพงศาวดารชวา เป็นเรื่องที่นิยมแพร่หลายทั้งในชวาและมลายูโดยผ่านการแสดงมหรสพและการเล่านิทาน คงจะมีการเล่านิทานปันหยีกันแบบมุขปาฐะก่อนที่จะมีการประพันธ์ขึ้นเป็นวรรณคดีลายลักษณ์
การเข้ามาของนิทานปันหยีในสังคมไทยสมัยอยุธยานั้นอาจมีที่มาทั้งจากทางมลายู ผ่านทางหัวเมืองปัตตานีและจากทางชวาโดยตรง ในสมัยอยุธยา ปัตตานีหรือปาตานีเป็นรัฐมลายูรัฐหนึ่งที่อยู่ทางตอนใต้ของสยามและเป็นเมืองประเทศราชของสยาม ความสัมพันธ์ระหว่างอยุธยากับปัตตานีบางยุคสมัยก็เกิดความขัดแย้งกระทบกระทั่งกันจนถึงขั้นเกิดสงคราม บางยุคสมัยความสัมพันธ์ก็เป็นไปด้วยดี มีการเจริญสัมพันธไมตรีต่อกัน
ด้วยเหตุที่อยุธยากับปัตตานีมีปฏิสัมพันธ์กันตลอดมาตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนต้น จึงมีความเป็นไปได้ที่นิทานปันหยีจากปัตตานีจะแพร่หลายเข้ามาสู่ราชสำนักอยุธยาในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง ดังมีตำนานเล่ากันว่านางข้าหลวงจากเมืองปัตตานีได้เข้ามารับใช้พระธิดาในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ คือเจ้าฟ้าหญิงกุณฑลและเจ้าฟ้าหญิงมงกุฎ และได้เล่านิทานปันหยีถวาย เจ้าฟ้าหญิงทั้งสองคงจะทรงชื่นชอบและประทับใจจึงทรงพระนิพนธ์เป็นบทละครสำหรับแสดงละครในซึ่งเฟื่องฟูอยู่ในราชสำนักเวลานั้น เจ้าฟ้าหญิงกุณฑลทรงพระนิพนธ์เรื่องดาหลัง หรืออิเหนาใหญ่ ส่วนเจ้าฟ้าหญิงมงกุฎ ทรงพระนิพนธ์เรื่องอิเหนาเล็ก
นอกจากนิทานปันหยีของไทยอาจจะมีที่มาจากมลายูผ่านทางหัวเมืองปัตตานีแล้ว ยังน่าจะมีที่มาจากชวาโดยตรงอีกทางหนึ่งด้วย เนื่องจากอยุธยากับชวามีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดทั้งในด้านการค้าและศิลปวัฒนธรรมมาช้านาน ดังปรากฏหลักฐานว่าในสมัยอยุธยามีการติดต่อค้าขายกับชวาอย่างต่อเนื่อง ชาวชวาเข้ามาตั้งถิ่นฐานและรับราชการ มีการส่งชาวอยุธยาเดินทางไปชวาเพื่อเรียนวิทยาการต่างๆ และค้าขาย และมีการแสดงของชวาเป็นมหรสพของหลวง
วรรณคดีมอญ
วรรณกรรมมอญเรื่องสำคัญที่ไทยรับมาคือเรื่องราชาธิราช ซึ่งเป็นวรรณกรรมประเภทอะเยด่อโปง หรือเรื่องเล่าเกี่ยวกับพระราชา
ราชาธิราชเป็นวรรณกรรมเฉลิมพระเกียรติพระเจ้าราชาธิราช เป็นเรื่องของปฐมกษัตริย์มอญชื่อมะคะทู (มะกะโท) ซึ่งต่อมาเป็นพระเจ้าวารู หรือวาเรรู (ฟ้ารั่ว) แห่งเมืองเมาะตะมะ (ครองราชย์ประมาณ พ.ศ. 1830-1849) และเป็นเรื่องวีรกรรมของพระเจ้าราชาธิราชแห่งเมืองพะโค (ครองราชย์ประมาณ พ.ศ. 1927-1963) ต้นฉบับเดิมเป็นตำนานพงศาวดารมอญ พญาทะละเสนาบดีมอญในราชสำนักพระเจ้าหงสาวดีบุเรงนอง (พ.ศ. 2093-2124) ได้คัดข้อความและแปลเป็นภาษาพม่า ต่อมามีผู้แปลเรื่องราชาธิราชฉบับภาษาพม่านั้นเป็นภาษามอญ มีความเห็นว่าผู้แปลน่าจะเป็นพระอาจารย์อะเฟาะภิกษุมอญผู้เชี่ยวชาญทั้งภาษาพม่าและภาษามอญ และคงจะแปลประมาณก่อน พ.ศ. 2283 ซึ่งเป็นปีที่พระอาจารย์อะเฟาะหลบหนีจากพะโคไปอยู่ที่หมู่บ้านกลางป่า เมื่อเกิดความวุ่นวายขึ้นในดินแดนมอญก็มีผู้อพยพเข้ามาในดินแดนไทยและนำพงศาวดารเรื่องราชาธิราชฉบับภาษามอญมาสู่ประเทศไทยด้วย และมีการคัดลอกต่อๆ กันมาดังปรากฏต้นฉบับภาษามอญในหอสมุดแห่งชาติเป็นสมุดไทยหมายเลข 49/น และมีฉบับพิมพ์ของโรงพิมพ์วัดแค พระประแดง สมุทรปราการ เรียกกันว่า “ฉบับปากลัด” พิมพ์เป็นชุด 2 เล่ม เมื่อ พ.ศ. 2453 และ พ.ศ. 2455 ตามลำดับ
ในสมัยรัชกาลที่ 1 เรื่องของพระเจ้าราชาธิราชได้รับความนิยมอย่างมากในหมู่ชนชั้นปกครองของไทย ดังปรากฏว่าตั้งแต่ก่อน พ.ศ. 2328 ถึง พ.ศ. 2352 มีการแปลและเรียบเรียงเรื่องนี้ไว้ถึง 3 สำนวน
วรรณคดีมอญที่เป็นที่มาของวรรณคดีไทย ได้แก่ Razadarit Ayedawbon, นิทาน ธรรมเจดีย์กถา, เรื่องราชวงศ์ และรามัญญุปปัตติทีปก
วรรณคดีตะวันตก
ประเทศไทยมีความสัมพันธ์กับชาติตะวันตกมานับตั้งแต่รัชสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 (พ.ศ. 2034-2072) แห่งกรุงศรีอยุธยา โปรตุเกสเป็นชาติตะวันตกชาติแรกที่เข้ามาค้าขายและเผยแผ่คริสต์ศาสนาในกรุงศรีอยุธยา ประเทศไทยในขณะนั้นเปิดรับวัฒนธรรมของชาติตะวันตกและให้เสรีภาพแก่การเผยแผ่ศาสนา
ครั้นถึงรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช (พ.ศ. 2199-2231) พระเจ้าหลุยส์ที่ 14แห่งฝรั่งเศสได้เปิดสัมพันธไมตรีกับไทย คณะบาทหลวงฝรั่งเศสนำศิลปวิทยาการของตะวันตกมาสู่สังคมไทยมากขึ้น แต่ความสัมพันธ์ดังกล่าวก็เสื่อมลงในรัชสมัยสมเด็จพระเพทราชา (พ.ศ. 2231-2246) ด้วยเหตุผลทางการเมือง ศิลปวิทยาการตะวันตกจึงมิได้สืบทอดและแพร่หลายในหมู่ราษฎร
ครั้นถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ นับแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นต้นมา วัฒนธรรมตะวันตกก็แพร่หลายมากขึ้น มิชชันนารีอเมริกัน เช่น หมอบรัดเล, หมอสมิธ ฯลฯ มีบทบาทสำคัญในการเผยแผ่ศาสนาและเผยแพร่วัฒนธรรมตะวันตกในสังคมไทย
ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ชาวต่างประเทศเดินทางเข้ามาอาศัยในประเทศไทยมากกว่าแต่ก่อนและช่วยกันเผยแผ่ศาสนาทั้งในเขตพระนครและหัวเมือง ทำให้วัฒนธรรมตะวันตกแพร่หลายไปถึงชนบท
กล่าวโดยเฉพาะด้านภาษาและวรรณกรรม มีปัจจัยหลายอย่างที่ทำให้คนไทยเข้าถึงวรรณกรรมตะวันตกจนเป็นที่นิยมอ่านและแปล ตลอดจนรับรูปแบบเนื้อหามาใช้ในการประพันธ์
นอกจากการรับเนื้อเรื่องและโครงเรื่องด้วยวิธีการแปล การดัดแปลง และการนำเค้าเรื่องมาแต่งใหม่แล้ว ยังมีการรับประเภทวรรณกรรม (genre) และฉันทลักษณ์ (prosody) จากวรรณกรรมตะวันตกมาปรับใช้อีกด้วย
“ประวัติวรรณคดีไทย ฉบับมูลนิธิสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา” หนังสือชุดใหม่ล่าสุดที่ควรค่าแก่การซื้อหาเพื่อเป็นข้อมูลสำหรับศึกษา ค้นคว้า วิจารณ์ และวิจัยวรรณคดีไทย
หนังสือชุดนี้มี 2 ภาค แบ่งพิมพ์เป็น 3 เล่ม รวมทั้งหมด 1,376 หน้า
ภาค ก: ความรู้เกี่ยวกับวรรณคดีไทย
เนื้อหาแบ่งเป็น 4 บท บทที่ 1 หนังสือประวัติวรรณคดีไทย, บทที่ 2 พัฒนาการรูปแบบคำประพันธ์ในวรรณคดีไทย, บทที่ 3 ความเป็นมาของคำนิยมและคำประกาศยกย่องวรรณคดีไทย, บทที่ 4 ที่มาของเนื้อหาวรรณคดีไทย
ภาค ข: วรรณคดีไทยประเภทต่างๆ แบ่งเป็น 2 เล่ม เนื้อหาแบ่งเป็น 5 บท
ภาค ข เล่ม 1 บทที่ 1 วรรณคดีประเภทเรื่องเล่า, บทที่ 2 วรรณคดีบทละครและบทมหรสพอื่น
ภาค ข เล่ม 2 บทที่ 3 วรรณคดีนิราศและวรรณคดีบันทึกการเดินทางและประสบการณ์, บทที่ 4 วรรณคดีคำสอน, บทที่ 5 วรรณคดีบันทึก ตำนาน และตำรับตำรา
ปกติราคาชุดละ 1,850 บาท ลด 20% เหลือเพียงชุดละ 1,480 บาท
สั่งซื้อได้ที่ www.matichonbook.com