แท็งก์ความคิด : นโยบายเปลี่ยนชีวิต

แท็งก์ความคิด : นโยบายเปลี่ยนชีวิต

แท็งก์ความคิด : นโยบายเปลี่ยนชีวิต

ชอบใจคำกล่าวทักทายของ ดร.ทวารัฐ สูตะบุตร ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ หรือ OKMD ในงาน Knowledge Book Fair เทศกาลอ่านเต็มอิ่ม ที่มิวเซียมสยาม เมื่อสัปดาห์ก่อน

ดร.ทวารัฐบอกว่า การอ่านต้องส่งเสริม ต้องหาวิธีการกระตุ้น เพื่อให้คนอยากเรียนรู้

งาน Knowledge Book Fair ตอบโจทย์ดังกล่าวชัดแจ้ง

สำนักพิมพ์มติชนผู้จัดงานได้เนรมิตพื้นที่มิวเซียมสยามเป็นแหล่งเรียนรู้ตลอดวันเสาร์และวันอาทิตย์

ADVERTISMENT

กระตุ้นให้คนอยากอ่าน ชวนเชิญให้คนอยากลิ้มชิมรสอาหาร และนำเสนอความรู้ในรูปแบบต่างๆ

ทั้งการอ่าน การฟัง การปฏิบัติ ครบถ้วน

เชื่อหรือไม่ว่า ตลอด 2 วันของการจัดงาน มีผู้เข้าร่วมกิจกรรมจำนวนมาก คนเข้าฟังการเสวนาแน่นทุกรอบ คนแวะบูธหนังสือเพื่อซื้อความรู้และความบันเทิงกันอย่างคึกคัก ณ ที่ฝึกพับกระดาษมีคนเข้าร่วมกิจกรรม ทัวร์ชุมชนผู้คนก็ร่วมเดิน ช่วงครูดินสอนวิ่งคนก็มาก

อีกมุมหนึ่งมีคนแวะชิมอาหารจากร้านค้ากันจนคนขายครื้นเครง

ตกเย็นผู้คนจากทั่วสารทิศมานั่งฟังเพลงเต็มสนามหญ้า

งานนี้ทั้งผู้จัดและผู้เข้าชม รวมถึงผู้ให้การสนับสนุนต่างปลื้มใจ

คนไทยต้องการความรู้ เราควรจะเปิดโอกาสให้คนไทยได้รับความรู้ตามที่เขาต้องการ

สำหรับการอ่าน ยืนยันว่าคนไทยยังอ่านหนังสือ และพร้อมจะซื้อหนังสือที่ตัวเองชื่นชอบเพื่อนำไปอ่าน

กระแสคนที่มาชมงาน จับจ่ายซื้อหนังสือ และร่วมกิจกรรมความรู้ที่จัดขึ้น ได้กลบวาทกรรม “คนไทยไม่อ่านหนังสือกันแล้ว” ลงไปได้

คนส่วนใหญ่ที่มางาน พกมือถือ มีแท็บเล็ต แต่ก็ยังหาหนังสืออ่าน

เป็นพฤติกรรมที่สังเกตเห็น และค้านวาทกรรม “คนไทยไม่อ่านหนังสือกันแล้ว” ได้เป็นอย่างดี

หากมองด้านคุณค่าของหนังสือ ณ มุมหนึ่งของงาน ผู้จัดตั้งซุ้ม Book Sharing โดยชักชวนให้คนที่มางาน ลงทะเบียน และร่วมกิจกรรมเขียนชื่อหนังสือที่เปลี่ยนชีวิตตัวเอง แล้วไปติดที่กำแพงเชือก

ปรากฏว่ามีผู้เขียนชื่อหนังสือที่เปลี่ยนชีวิตตัวเองไปติดไว้บนกำแพงเชือกมากมาย

ตอกย้ำว่าหนังสือมีคุณค่า และคนที่อ่านหนังสือก็รู้คุณค่าของหนังสือ

ทุกคนรู้ว่าหนังสือสามารถเปลี่ยนชีวิตคนคนหนึ่งได้เลยทีเดียว

ในเมื่อหนังสือมีคุณค่าขนาดนั้น หากข้อสันนิษฐานที่ว่าคนไทยไม่อ่านหนังสือกันแล้วเป็นจริง ทำไมเราจึงไม่หาวิธีดึงให้คนมาอ่านหนังสือ

เหมือนดั่ง คำทักทายที่ ดร.ทวารัฐ บอกไว้ในพิธีเปิดว่า เราต้องกระตุ้นคนเกิดความรู้สึกอยากรู้

คำถามต่อไปก็คือภาคส่วนต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมการอ่านได้ทำอะไรกันบ้าง

รัฐบาลมีการสนับสนุนการอ่านอย่างเป็นรูปธรรมที่มากขึ้นกว่าเดิมเช่นไร

ภาคเอกชนมองเห็นความสำคัญของหนังสือ และให้การสนับสนุนการส่งเสริมการอ่านมากน้อยเพียงใด

หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมการอ่านได้แอ๊กชั่นแค่ไหน

และผลที่ออกมาสำเร็จ หรือล้มเหลวเช่นไร

เหตุที่มีคำถามเกิดขึ้น เพราะเดี๋ยวนี้มองไปทางไหน สอบถามกับหน่วยงานใดๆ คำตอบเกี่ยวกับหนังสือคือ ไม่มีงบประมาณ

สอบถาม กศน. ของกระทรวงศึกษาธิการ ตอบว่า งบไม่พอที่จะซื้อหนังสือ

สอบถามห้องสมุดบางแห่ง บอกว่า ต้องพึ่งพาการบริจาคหนังสือจากคนทั่วไป

เช่นเดียวกับสถาบันการศึกษา หรือหน่วยราชการหลายแห่งก็เริ่มงดรับหนังสือ

อย่าว่าแต่หนังสือเล่มเลย แม้แต่หนังสือพิมพ์ราคาฉบับละ 10 บาท ยังบอกว่า ไม่มีงบประมาณ

ส่วนภาคเอกชนบางองค์กรที่เข้าใจก็ร่วมสู้ แต่ก็มีอีกหลายองค์กรที่มีแต่ “ความเงียบ” เป็นคำตอบในเรื่องนี้

การเพิกเฉยต่อการส่งเสริม ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำด้านความรู้

คนมีเงินก็หาซื้อหนังสืออ่านได้ คนไม่มีเงินก็ต้องรออ่านหนังสือบริจาค

คนในเมืองการขนส่งทั่วถึงก็เดินทางไปหาซื้อหนังสืออ่านได้ คนในท้องถิ่นสายส่งไม่มีก็ต้องรอเวลาออกไปซื้อในเมือง

เทคโนโลยีสมัยใหม่ และโลจิสติกส์ที่ทันยุค บางแห่งก็มี แต่บางแห่งก็ยังไม่มีิ ทำให้คนไทยขาดโอกาสได้ความรู้

ต้นมีนาคมนี้ได้ยินมาว่าได้เวลายุบสภาเลือกตั้งใหม่ ในห้วงเวลาที่พรรคการเมืองหาเสียง จึงอยากได้ยินนโยบายสร้างคนด้วยการอ่าน

อยากฟังนโยบายที่เป็นรูปธรรมในการปลุกให้คนไทยได้ความรู้

นโยบายลดภาษีกระดาษ นโยบายหนังสือหมู่บ้านชุมชน นโยบายกระตุ้นความอยากให้คนต้องการความรู้

นโยบายสร้างคนที่ต้องควบคู่ไปกับการสร้างรายได้ สร้างเมือง สร้างประเทศ

นโยบายที่จะทำให้คนคนหนึ่ง หรือคนหลายคนสามารถนำไปพลิกแพลงเพื่อเปลี่ยนชีวิตตัวเองไปสู่สิ่งที่ดีกว่า