ผู้เขียน | นฤตย์ เสกธีระ |
---|
แท็งก์ความคิด : เปิดตลาดไอเดีย
บนเวที “มติชน : เลือกตั้ง 2566 บทใหม่ประเทศไทย” เมื่อสัปดาห์ก่อน มีไอเดียมากมายที่นำเสนอ
เวทีนี้เป็นเวทีแรกของเครือมติชน จัดขึ้นภายใต้หัวข้อ “ย้ำจุดยืน ชูจุดขาย ประกาศจุดแข็ง” มีแกนนำ 8 พรรคการเมืองเข้าร่วม
ทั้ง นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ นายวราวุธ ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานพรรคชาติพัฒนากล้า คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช จากพรรคเพื่อไทย นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ จากพรรคพลังประชารัฐ
การสัมมนาครั้งนี้เครือมติชนจัดเป็นรอบๆ จำนวน 3 รอบ
รอบแรก ให้ตัวแทนแต่ละพรรคตอบคำถามที่สุ่มขึ้นมา รอบที่สอง เป็นการจับคู่ตัวแทนพรรคเพื่อประชันนโยบายตามที่สุ่มขึ้นมา และรอบสุดท้าย เปิดโอกาสให้แต่ละพรรคได้นำเสนอ จุดแข็ง จุดยืน และจุดขาย ของตัวเอง
แต่ละรอบแต่ละคนแต่ละพรรคต่างนำไอเดียมานำเสนอ
เสมือนกับการเสนอขายไอเดีย
หลายคนที่ติดตามการสัมมนาวันนั้นคงมองเห็นภาพรวม และได้ไอเดียที่แต่ละพรรคนำมาโชว์
แต่หากจะให้เล่าทั้งหมด เนื้อที่ขอคอลัมน์นี้คงไม่พอ จึงขอแค่ยกตัวอย่าง
ตัวอย่างหนึ่งในรอบที่สอง ซึ่งเป็นการประชันนโยบาย กรณีค่าจ้างขั้นต่ำที่หลายพรรคขีดเส้นประกาศตัวเลขกันไปแล้ว
แต่สำหรับพรรคชาติไทยพัฒนาไม่ประกาศ เพราะมีแนวทางอื่นมานำเสนอ
นายสันติ กีระนันทน์ กรรมการนโยบายและยุทธศาสตร์ พรรคชาติไทยพัฒนา เสนอว่า เราควรกำหนด “ค่าจ้างเป้าหมาย” ขึ้นมา
เหตุผลที่ไม่กำหนดค่าจ้างขั้นต่ำเพราะมองว่า การขึ้นค่าจ้างควรให้อิสระคณะกรรมการ 3 ฝ่าย ทั้งตัวแทนนายจ้าง ลูกจ้าง และภาครัฐ
ส่วน “ค่าแรงเป้าหมาย” ที่พรรคชาติไทยนำเสนอนั้น ได้ผูกโยงกับการอัพสกิลและรีสกิลแรงงานในระบบเศรษฐกิจทั้งหมด
แนวคิดนี้ไม่ได้บังคับฝ่ายนายจ้างให้ขึ้นค่าแรง แต่เพิ่มความสามารถของแรงงาน ตอบสนองความต้องการของนายจ้าง จนนายจ้างยอมจ่ายเพิ่มเพราะคุ้มค่า
เรื่องนี้หากต้องการความสำเร็จ ภาครัฐต้องทำงานร่วมกับภาคเอกชนและได้รับการตอบสนองจากประชาชน
นายสันติบอกว่า เท่าที่เคยพูดคุยกับสภาอุตสาหกรรม และสภาหอการค้าไทยหลายรอบ พบว่านายจ้างไม่ต้องการจ่ายค่าแรงขั้นต่ำ แต่ต้องการจ่ายค่าแรงที่สูงกว่าค่าแรงขั้นต่ำตามศักยภาพของแรงงานที่ทำให้ผู้ประกอบการได้กำไร
แต่ที่ผ่านมาสถาบันการศึกษาของประเทศไม่ได้ตอบสนองภาคอุตสาหกรรม จึงต้องศึกษาว่า จะปรับการศึกษาทั้งในระบบและนอกระบบให้ตอบสนองต่อการยกคุณภาพแรงงานกันอย่างไร
ข้อเสนอจากนายสันติคือเสนอให้สร้างกลไกที่มีประสิทธิภาพต่อการตอบสนองผู้ประกอบการ ซึ่งจะส่งผลไปถึงการขึ้นค่าแรง
เป็นแนวทางที่ผู้ประกอบการอยากให้เกิด ขณะเดียวกันแรงงานต้องพัฒนาฝีมือตัวเองให้สอดคล้องกับตลาด
ไอเดียนี้ถ้าก่อเกิดเป็นรูปธรรม อาจช่วยคลี่คลายหลายๆ ปัญหาที่กำลังเกิดอยู่ในปัจจุบัน
ถ้าทำได้สำเร็จ จะช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงานที่ภาคธุรกิจโอดครวญอยู่ในขณะนี้
ขณะเดียวกัน หากสามารถปรับจูนความต้องการระหว่างผู้จ้างกับแรงงาน โดยให้สถาบันการศึกษาที่กำลังขาดทุนรับหน้าที่อัพสกิลหรือรีสกิล อาจทำให้สถาบันการศึกษาหลายแห่งกลับฟื้นคืนมาได้
ยิ่งสถานศึกษาไหน พิสูจน์จากฝีมือของลูกศิษย์ที่จบไปว่า มีทักษะตรงความต้องการของนายจ้าง ยิ่งทำให้สถานศึกษานั้นเป็นที่ต้องการของคนที่อยากพัฒนาตัวเอง
และสุดท้าย หากไอเดียนี้สำเร็จ จะช่วยให้แรงงานมีรายได้เพิ่ม เพราะนายจ้างยินดีจ่าย
เพียงแต่ที่ผ่านมาการนำไอเดียนี้ไปสู่ความสำเร็จยังจำกัด อุปสรรคเกิดมาจากหลายปัจจัย
ดังนั้น ถ้ารัฐบาลในฐานะผู้ออกนโยบาย ภาคเอกชนในฐานะผู้จ้างงาน สถาบันการศึกษา แรงงาน และอื่นๆ เดินหน้าไปทางเดียวกัน แล้วทำให้ไอเดียนี้ประสบผลได้ก็น่าจะดี
นี่เป็นเพียงแค่ตัวอย่างในห้วงเวลาที่แต่ละพรรคการเมืองหาเสียง
เป็นโอกาสทองของผู้สนใจทางออกประเทศ
และเป็นโอกาสทองของผู้ฟังที่จะได้ไอเดียต่างๆ มารับมือสถานการณ์ในปัจจุบัน
ระยะนี้หากได้ฟังนโยบายหาเสียงของแต่ละพรรค
เชื่อว่าหลายนโยบายมีประโยชน์ต่อทุกคนที่ได้ฟัง
แม้หลายพรรคจะไม่ได้บริหารประเทศ แต่ไอเดียที่เสนอก็มีประโยชน์ เราสามารถนำไปปรับใช้หรือต่อยอดในการดำรงชีวิตได้