แท็งก์ความคิด : ส่งเสริมการอ่าน

แท็งก์ความคิด : ส่งเสริมการอ่าน

แท็งก์ความคิด : ส่งเสริมการอ่าน

มีโอกาสไปร่วมงาน “วันรักการอ่าน” ที่สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) จัดขึ้นเมื่อวันที่ 2 เมษายนที่ผ่านมา

งานวันนั้นจัดที่ห้องมหกรรม ชั้น 2 อาคาร 2 ศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษาเอกมัย กรุงเทพมหานคร

มี น.ส.ทรงศรี วิระรังษิยากรณ์ รองเลขาธิการ กศน. เป็นประธานในพิธี

ADVERTISMENT

น.ส.ทรงศรีเล่าที่มาของงานว่า เมื่อปี 2522 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้วันที่ 2 เมษายนของทุกปี ซึ่งตรงกับวันคล้ายวันพระราชสมภพสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เป็น “วันรักการอ่าน”

น.ส.ทรงศรีกล่าวว่า พระองค์ทรงให้ความสำคัญกับการอ่าน เพื่อสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิตของประชาชนทุกช่วงวัย ซึ่งจะส่งผลต่อการพัฒนาประเทศชาติเป็นอย่างยิ่ง

ADVERTISMENT

กศน.ได้สนองพระราชดำริและพระปณิธานแห่งเจ้าฟ้านักอ่านของไทย โดยมีนโยบายส่งเสริมการอ่านแก่ประชาชนทุกช่วงวัยเพื่อพัฒนาให้คนไทยมีความสามารถในด้านการอ่านและมีนิสัยรักการอ่านมากขึ้น

และเพื่อเทิดพระเกียรติสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี สำนักงาน กศน.ได้จัดโครงการวันรักการอ่าน ประจำปี 2566 ขึ้นมา

สำหรับเครือมติชนที่มีโอกาสเข้าไปในงานวันนั้น เนื่องจากทาง กศน.เชิญไปรับมอบเกียรติบัตรเนื่องจากสนับสนุน “บ้านหนังสือชุมชน” ภายใต้โครงการชุมชนอุดมปัญญา

ไปงานครั้งนี้ ทำให้ได้ทราบว่า กศน.ยังคงเดินหน้าส่งเสริมการอ่านแม้ว่าจะถูกตัดงบเหี้ยน

ทราบว่าบ้านหนังสือชุมชนเกิดจากอาสาสมัครที่ต้องการขับเคลื่อนการอ่านโดยใช้พื้นที่ของตัวเองเป็นที่ตั้ง มีบรรณารักษ์ดูแลหนังสือ และมีครูเป็นผู้สอน

แต่ที่ขาดแคลนตลอดคือหนังสือและนิตยสาร

เครือมติชนได้จัดตั้งโครงการชุมชนอุดมปัญญาขึ้นเมื่อปลายปี 2565 โดยได้ระดมทุนจากผู้มีความเห็นสอดคล้องแล้วนำเงินไปซื้อพ็อคเก็ตบุ๊ก และสมาชิกนิตยสาร แล้วส่งไปให้

ความจริงโครงการนี้ไม่ได้จำกัดแค่บ้านหนังสือชุมชน หากแต่ต้องการส่งไปยังสถานที่ที่ยังต้องการหนังสือและนิตยสาร

และมั่นใจว่าบ้านหนังสือชุมชนคือสถานที่ที่ต้องการ

จากปลายปี 2565 จนถึงขณะนี้มีบ้านหนังสือชุมชนหลายแห่งได้รับหนังสือไปแล้ว

เมื่อวันที่ 2 เมษายนที่ผ่านมา มีบ้านหนังสือชุมชนที่ได้รับหนังสือจากมติชนไปทำประโยชน์มาจัดนิทรรศการด้วย

ได้เห็นได้ฟังแล้วปลื้ม

คำถามแรกที่สอบถามเพราะอยากรู้คือ ในพื้นที่ต่างๆ นั้นยังมีคนอ่านหนังสืออยู่หรือไม่

คำตอบยืนยันว่ายังมีความต้องการอ่านหนังสือ โดยเฉพาะผู้สูงวัยยังนิยม เหตุเพราะคุ้นเคย ไม่ปวดตา และยังมีโอกาสได้พบปะพูดคุยกับคนอื่นๆ ในพื้นที่ที่จัดไว้ให้อ่าน

ส่วนหนังสือและนิตยสารนั้นทางครูและบรรณารักษ์ได้กระจายไปนอกสถานที่

เมื่อมีการประชุมประชาคมหมู่บ้านก็เอาหนังสือและนิตยสารไปวางไว้ ระหว่างรอประชุมชาวบ้านก็มาอ่านกัน

นิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ และนิตยสารเทคโนโลยีชาวบ้านเป็นที่นิยม

นอกจากหนังสือและนิตยสารแล้ว กศน.ยังต้องการอุปกรณ์พัฒนาทักษะของเด็กช่วยเสริมความพร้อมให้น้องๆ ในชุมชน

สอบถามถึงหนังสือพิมพ์ว่ายังเป็นที่ต้องการหรือเปล่า คำตอบคือหาซื้อได้ยากขึ้น เพราะแผงหนังสือที่เคยมี ได้ยุบเลิกไปเยอะ นึกอยู่ในใจว่าใครนะที่ตัดงบหนังสือหมู่บ้านในตอนนั้น วันนี้ส่งผลกระทบไปถึงชุมชนทั่วประเทศแล้ว

ก่อนจากอำลากลับไปปฏิบัติภารกิจต่อที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์มีโอกาสแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับการรักการอ่าน

สิ่งที่อยากบอกคือ การอ่านยังมีความสำคัญต่อชีวิต และหนังสือยังมีความสำคัญต่อการอ่าน

แม้ปัจจุบันความนิยมเสพสื่ออาจจะมีตัวเลือกเพิ่มขึ้น
จากเดิมที่มีแต่สื่อกระดาษ ขณะนี้มีสื่อออนไลน์เพิ่มเติมเข้ามา
การส่งเสริมการอ่าน คงไม่ใช่การทิ้งสื่อแบบหนึ่งแล้วไปสนับสนุนสื่ออีกแบบหนึ่ง
การส่งเสริมการอ่านควรจะเพิ่มการสนับสนุนสื่อทุกสื่อที่ทำให้คนรักการอ่าน
ทั้งนี้ เพราะหลากพื้นที่ในเมืองไทยนั้นมีความพร้อมแตกต่างกัน

คนในเมืองอาจมีพร้อมทั้งสื่อกระดาษและสื่อกระจก แต่คนนอกเมืองเริ่มขาดแคลนสื่อกระดาษ เพราะการลำเลียงสื่อกระดาษไปถึงชุมชนมีน้อยลง

สวนทางกับความต้องการอ่านที่คนในชุมชนยังนิยมสื่อกระดาษ

การส่งเสริมการอ่านจึงควรสนับสนุนทุกสื่อทุกช่องทางที่ทำให้คนอยากอ่าน
ควรสนับสนุนให้ทุกชุมชนมีหนังสือ นิตยสาร และหนังสือพิมพ์ เหมือนเดิม
แล้วเพิ่มเติมหนังสือ นิตยสาร และหนังสือพิมพ์แบบดิจิทัลเข้าไปเสริม
สนับสนุนทั้งประเทศ หรือจะเจาะจงเฉพาะชุมชนก็ได้
เริ่มจากชุมชนที่อยากอ่าน ต้องได้อ่าน

ส่วนชุมชนไหนที่เมินหนังสือ แทนที่จะละทิ้งพวกเขา หากเห็นว่าการอ่านทำให้ชีวิตได้ประโยชน์ ก็ควรแสวงหาวิธีการที่จะส่งเสริมให้ชุมชนมีโอกาสได้อ่านหนังสือ

 

 

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image