ประดาบประเด็นเดือด ‘สงคราม 9 พรรค’ เชือด (เฉือน) นโยบาย กรำศึกโค้งสุดท้ายก่อนเลือกตั้ง

ประดาบประเด็นเดือด ‘สงคราม 9 พรรค’ เชือด (เฉือน) นโยบาย กรำศึกโค้งสุดท้ายก่อนเลือกตั้ง

ประดาบประเด็นเดือด
‘สงคราม 9 พรรค’ เชือด (เฉือน) นโยบาย
กรำศึกโค้งสุดท้ายก่อนเลือกตั้ง

จบลงอย่างสุดมันส์ไม่มีค้างๆ คาๆ ทางอารมณ์ สำหรับสมรภูมิดีเบตสุดปังแห่งศักราช 2566 อย่าง ‘สงคราม 9 พรรค THE LAST WAR’ เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคมที่ผ่านมา ณ รอยัล พารากอนฮอลล์ ชั้น 5 ศูนย์การค้าสยามพารากอน ภายใต้ความร่วมมือระหว่าง มติชนxเดลินิวส์
ต่างฝ่ายประจัญบานทางความคิด ตะลุมบอนในศึกแห่งนโยบาย
เชือด (เฉือน) วาทะสะเทือนเลื่อนลั่น
ไม่ว่าจะฝั่ง ‘Young Blood’ เลือดใหม่ที่ขอวัดใจสู้การรบพุ่งมุ่งชิงคะแนนเสียง
ไม่ว่าจะฟาก ‘ขุนศึก’ ตัวเต็งของหลากพรรคการเมืองและกองเชียร์
ต่อไปนี้คือส่วนหนึ่งของวาทะนักรบคู่เอกในโค้งสุดท้าย ก่อนเพลาชี้ชะตาบ้านเมือง 14 พฤษภาคมนี้

‘ธนาธร’เงื้อดาบหวังฟันฉับปม‘แป้ง’
‘ชัยวุฒิ’ตั้งโล่รับชวน‘ก้าวไกล’ร่วมเป็นฝ่ายค้าน

“พรรคก้าวไกลเสนอมาตลอดว่าจะพาประเทศไทยไปข้างหน้าได้ เราจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องแก้ปัญหาที่ต้นตอ แก้ปัญหาที่ระดับโครงสร้าง การแก้ไขปัญหายาเสพติดไม่สามารถแก้ได้ด้วยการจับผู้ค้าปลีก หรือผู้เสพเข้าคุก สิ่งที่จำเป็นต้องทำคือการปฏิรูปตำรวจ เพราะวันนี้ประชาชนเห็นกันทั้งตำบล รู้กันทั้งอำเภอว่ามียาเสพติด แต่ทำไมถึงไม่มีตำรวจไปจับยาเสพติด เหตุผลง่ายๆ เพราะตำรวจที่ไปรับใช้ประชาชน ที่ไปจับโจรจับผู้ร้าย จับยาเสพติดไม่ได้ดิบได้ดี แต่ตำรวจที่ได้ดีคือตำรวจที่รับใช้นาย การจะเป็นผู้บริหาร เป็นผู้กำกับได้ ไม่ใช่ทำดีแต่คือการไปตั้งด่านขูดรีดประชาชน แล้วส่งต่อเงินเป็นทอดๆ แล้วไปซื้อตั๋ว

Advertisement

พรรคก้าวไกลยืนยันอีกครั้งว่าพวกเราพร้อมยืนหยัดต่อสู้เพื่อผลประโยชน์ของประชาชน พร้อมเป็นปากเป็นเสียงให้กับทุกท่าน ในเรื่องยากๆ แบบนี้ พรรคอื่นพูดอะไรไม่รู้ แต่เราทำมาแล้ว เราอภิปรายปกป้องศักดิ์ศรีของตำรวจอย่าง พล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์ อดีตหัวหน้าพนักงานสอบสวนคดีค้ามนุษย์ ที่ทำเรื่องค้ามนุษย์ ต่อสู้กับกลุ่มอิทธิพลแต่กลับต้องลี้ภัยไปอยู่ต่างประเทศ เราอภิปรายยาเสพติดในสภา ยังจำเรื่องการจับแป้งได้หรือไม่ ผมถามคนในที่นี้ว่าท่านเชื่อว่านั่นคือแป้งจริงๆ หรือไม่ ซึ่งหลายคนไม่เชื่อว่านั่นคือแป้ง เพราะถ้าเชื่อว่ามันคือแป้งแล้ว จะแก้ไขปัญหายาเสพติดได้อย่างไร” นายธนาธรกล่าว
ยกมือให้ผมดูหน่อยครับ มีใครเชื่อว่าเป็นแป้งจริงๆ ถ้าเชื่อว่ามันคือแป้ง จะแก้ปัญหายาเสพติดได้อย่างไร

ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ
ประธานคณะก้าวหน้า ในฐานะผู้ช่วยหาเสียงพรรคก้าวไกล
ตอบคำถามถึงประเด็นการแก้ปัญหายาเสพติด

“เรื่อง (แป้ง) มันก็จบไปแล้ว ไม่เกี่ยวกับปัจจุบันและอนาคต เรื่องแป้ง ผมไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรง อาจจะตอบแทนไม่ได้ วันข้างหน้าถ้าพรรคเพื่อไทยแลนด์สไลด์ ก้าวไกลอาจเป็นฝ่ายค้านร่วมกับพลังประชารัฐก็ได้”

Advertisement

พรรคพลังประชารัฐเสนอนโยบายอยากให้มีการเพิ่มมาตรการและความเข้มข้น เฝ้าระวังและแก้ปัญหาการลักลอบขนยาเสพติด ทั้งแนวชายแดนและในประเทศ ซึ่งต้องใช้เจ้าหน้าที่ ตำรวจ และทหาร เห็นด้วยกับการปฏิรูปตำรวจ เพราะตำรวจต้องมีการปรับปรุงการทำงาน ทุกคนเห็นด้วย เพราะสังคมทุกวงการมีทั้งคนดีและไม่ดี คงไม่สามารถทำให้ตำรวจทุกคนเป็นคนดีได้ ซึ่งเราต้องมาช่วยกันดำเนินการต่อไป ส่วนเรื่องใหญ่ที่หลายคนมองข้ามไป หรือทำได้ไม่เต็มที่คือการบำบัดรักษา เพราะจากสถิติปีที่ผ่านมา มีประมาณ 114,000 ราย ถือว่าน้อยเมื่อเทียบกับคดีจับกุม ซึ่งมีกว่า 337,000 คดี เราจึงมีนโยบายที่เพิ่มศูนย์บำบัดให้มีทุกอำเภอ และนำพี่น้องประชาชน กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้นำชุมชนมีส่วนร่วมเฝ้าระวังเรื่องการบำบัดรักษาผู้ติดยาเสพติดที่อยู่ร่วมกับประชาชน และสิ่งสำคัญคือการเฝ้าระวังและสร้างภูมิคุ้มกันให้กับเด็กและเยาวชน ด้วยการเรียนการสอน การจัดกิจกรรมหลักสูตรต่างๆ ให้ชุมชนมีส่วนร่วมป้องกันยาเสพติด

พปชร.ยืนยันว่าพรรคมีนโยบายที่จะต้องเอาจริงเอาจังปัญหาการลักลอบขนยาเสพติด และบำบัดผู้ติดยาเสพติด และต้องทำงานร่วมกับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดผ่านกระบวนการปฏิรูป ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องช่วยกันทำงาน”

ชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์
รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ
กล่าวถึงข้อเสนอการจัดการปัญหายาเสพติดแบบเห็นผลเป็นรูปธรรม

ศิธา-ณัฐวุฒิทะลวงฟันวาทกรรม‘ชังชาติ’
ยกศัพท์จารึกพ่อขุนรามฯอัดอย่าไล่ใครพ้นแผ่นดิน

“ผมติดตามข่าวทางอินเตอร์เน็ตอย่างละเอียด เวลามีการกล่าวหาว่าใครชังชาติ ชาวเน็ตเขาก็บอกว่าไม่ได้ชังชาติ แต่เขาชัง…ง”
การที่คุณจะไปบอกว่าใครคนใดคนหนึ่งชังชาติเพื่อที่จะหาคะแนนเสียงให้กับตัวเอง การทำงานการเมืองมีอยู่สองอย่าง คือทำให้ตัวเองดีขึ้น แต่ถ้าไม่มีปัญญาคิดว่าจะทำให้ตัวเองดีกว่าคนอื่นอย่างไร และจะไปเหยียบคนอื่นให้ต่ำลง การไปกล่าวหาว่าเขาชังชาติ หรือไปแบรนดิ้งว่าพรรคการเมืองนี้ชังชาติ สิ่งที่กลัวคือคนออกไปเลือกตั้งมีแค่ 37 ล้านเสียงโดยประมาณ เกิดมีสัก 10 ล้านเสียงไปเลือกพรรคที่คุณบอกว่าชังชาติ คุณกำลังจะส่งสัญญาณอะไร? จะบอกพี่น้องประชาชนว่ามีคนที่ชังชาติอยู่ 10 ล้านคนหรือ? มันไม่ใช่

ผมยืนยัน ผมเป็นทหาร ผมสวนสนามสาบานตน ผมมีความจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ผมถามทุกพรรคการเมืองเขาก็ยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เพราะฉะนั้นมุขแบบนี้เลิกสักที คนที่เป็นผู้ใหญ่อีกไม่กี่ปีก็ล้มหายตายจาก คุณไม่คุยกับเด็กในวันนี้ ถึงเวลาที่คุณล้มหายตายจากไป เด็กเขาไม่มาคุย ถ้าเรารักชาติด้วยเหตุผล สิ่งที่รวมกันเป็นชาติไทยจะสถาพรยืนยงตลอดไป อย่าหาเสียงแบบนี้เลย”

ศิธา ทิวารี
แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคไทยสร้างไทย
ตอบคำถามที่ว่า ท่านเห็นด้วยหรือไม่กับแนวคิดเรื่องการไล่คนที่เห็นว่าชังชาติออกนอกประเทศ

“ไม่เห็นด้วยกับการขับไล่ใครที่ถูกอ้างว่าชังชาติออกจากประเทศนี้ เพราะไม่เชื่อว่ามีคนไทยคนไหนที่ชังชาติ ยืนยันว่าสิ่งที่กำลังทำคือการไล่คนที่ยึดอำนาจออกนอกทำเนียบรัฐบาล และนี่คือภารกิจร่วมของคนไทยทุกคน ไม่เคยมีใครหรือข้อกล่าวหาใดๆ ในโลกนี้ที่ไล่คนที่เกิดบนแผ่นดินนี้และเป็นเจ้าของคนหนึ่งแผ่นดินนี้ออกไป พรรค พท.จะพยายามถึงที่สุดให้คนอยู่ด้วยกันด้วยกติกาที่เป็นประชาธิปไตยอย่างเป็นสากล แม้ว่าเขาจะชังกัน เราร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ของประชาชน เราจะปฏิรูปกองทัพให้กองทัพอยู่ใต้อำนาจของรัฐบาลประชาชน

เราปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาที่ว่าคนไทยชังชาติและเราขอประกาศให้คนไทยทุกคนว่าที่นี่คือแผ่นดินเรา บ้านเรา เมืองเรา กลับมาช่วยกันทำให้บ้านเราเป็นประชาธิปไตย ไม่มีใครชังชาติในประเทศนี้ ถ้า พท.เป็นรัฐบาล เราชนะการเลือกตั้งมาทุกครั้ง เราจะเป็นรัฐบาลครั้งนี้ได้ก็ต่อเมื่อเราชนะแบบแลนด์สไลด์ หากเราไปถึงจุดนั้นได้เราจะไม่เหยียบย่ำคนแพ้ แต่เราจะบอกคนแพ้ว่าขอให้ยอมรับความพ่ายแพ้และเดินตามเรามาในวิถีทางประชาธิปไตย”

ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ
ผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทย

2 นารีขี่ม้าศึก‘อ๋อม-หมิว’รัวกลองรบ
ชีวิตจริงยิ่งกว่าละคร เลิกทนตรรกะบิดเบี้ยว

“จุดยืนทางการเมืองของดิฉันคือประชาธิปไตยเต็มใบ 100% รัฐประหารคืออาชญากรรม และคนทำรัฐประหารคืออาชญากร เราควรนำคนที่ทำรัฐประหารมาดำเนินคดีไม่ว่าจะกรณีใดก็แล้วแต่ เพราะเป็นการดึงประเทศให้ถอยหลัง การเมืองที่ดีควรจะรับฟังกันแม้จะเห็นต่างกัน แต่ก็ควรพูดคุยกัน ประชาธิปไตยและรัฐสภาเป็นทางออกของผู้มีอารยะ สำหรับแรงจูงใจที่ทำให้ลงมาทำงานการเมืองคือปัญหาของพี่น้องประชาชน ตนก็เป็นประชาชนธรรมดาคนหนึ่งที่มองเห็นปัญหาและตรรกะที่บิดเบี้ยวมาตลอด 8-9 ปี สิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานคือสิ่งที่ถูกลิดรอนไป

ประชาชนเห็นต่างจากรัฐบาลถูกยัดเยียดคำว่าชังชาติ ซึ่งดิฉันก็โดนยัดเยียดคำนี้เช่นกัน เพียงเพราะออกมาวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลที่ไม่เอาไหน ทำงานไม่ได้ ล้มเหลว นี่หรือชังชาติ เราแค่อยากส่งต่ออนาคตที่ดีให้ลูกหลานของเรา แต่เราเกลียดรัฐบาลที่กำลังบริหารอยู่ รัฐบาลที่พูดนโยบายแล้วทำไม่ได้ เราจะทนให้ประชาชนทนดูการบริหารของรัฐบาลที่ไม่มีทิศทาง เอางบประมาณไม่ตรงจุดหรือ เมื่อพูดไม่ได้ จึงตัดสินใจลงมาทำงานการเมือง”

สกาวใจ พูนสวัสดิ์ หรือ อ๋อม
ผู้สมัคร ส.ส.กทม.เขต 13 พรรคเพื่อไทย

“ก้าวเข้าสู่สนามการเลือกตั้งครั้งนี้ เพราะ ได้เห็นความเหลื่อมล้ำ ได้เห็นชีวิตจริงยิ่งกว่าละครที่ได้เคยเล่นมา ตอนที่ได้ทำหน้าที่พิธีกรรายการหนึ่ง ได้เห็นเด็กที่หลุดออกจากวงโคจรการศึกษาเพราะที่บ้านไม่มีเงินส่งเสีย ได้เห็นบ้านหนึ่งที่ต้องทำงานเก็บเงินทั้งเดือนเพื่อเช่ารถหนึ่งคัน พาลูกที่ป่วยไปหาหมอที่โรงพยาบาลหัวเมือง ไปเจอน้องชายคนหนึ่งที่ใช้ชีวิตกับพ่อที่ป่วยติดเตียง และจับได้ใบแดงเข้าเป็นทหาร เราจึงเกิดคำถามที่ว่าทำไมภาษีที่เราจ่ายไป จึงไม่ได้กลับมาสร้างรัฐสวัสดิการถ้วนหน้า เพื่อรองรับระบบสาธารณูปโภค การศึกษา และสาธารณสุขให้กับคนไทย ภาษีที่เราเสียไปแต่ละปีเป็นล้านๆ บาท ทำไมจึงผันกลับมาเป็นสวัสดิการที่ดีให้คนไทยที่เจ้าของภาษีไม่ได้

ตอนเป็นนักแสดง ตนออกมาคอลเอาต์ จึงทำได้แค่พูด ซึ่งเป็นเสียงที่ดังกว่าชาวบ้าน แต่ถ้าได้ก้าวเข้าไปเป็น ส.ส.ในสภา มั่นใจว่าจะสามารถเป็นตัวแทนประชาชน พูดให้ทรงพลัง พูดให้เสียงดังที่สุด พูดเรื่องความลำบากปากท้องของประชาชนในสภา ให้ผ่านนิติบัญญัติ ผ่านกฎหมาย ผ่านนโยบาย ให้คนไทยมีชีวิตที่ดี ที่ควรจะมีและดีกว่านี้ได้ ส่วนเรื่องนโยบายที่เราอยากจะชูคือ การเมืองดี ปากท้องดี และมีอนาคต การเมืองดีคือ การทำร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ เป็นรัฐธรรมนูญของประชาชน, การปฏิรูปกองทัพ ยกเลิกการเกณฑ์ทหาร เพื่อเอาลูกคืนบ้านเอาหลานคืนมา, รัฐโปร่งใสไร้กลโกง เปิดเผยข้อมูลของรัฐให้ประชาชนเข้าถึงได้ ไม่มีการมุบมิบ การจัดซื้อจัดจ้างต้องรับรู้โดยประชาชนตลอด และการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด เพื่อกระจายอำนาจ และกระจายความเจริญ ไม่ใช่ประเทศกรุงเทพฯอย่างเดียว เพราะมีหลายจังหวัดต้องการปกครองตนเอง และใช้งบประมาณเพื่อคนในพื้นที่จริงๆ

สุดท้ายดิฉันอยากบอกว่า พวกไอ้ส้มมันเป็นนักสู้ เราจะสู้และจะชนกับต้นตอปัญหา ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พวกส้มจะสู้ ซึ่งไม่ได้สู้เพื่อตัวเอง แต่ชัยชนะที่ได้มาจะเป็นชัยชนะของประชาธิปไตย และของประชาชนทุกคน ฉะนั้นวันที่ 14 พฤษภาคมนี้ ให้กาเบอร์ 31 แบบปาร์ตี้ลิสต์และ ส.ส.เขต ขอให้ไปดูที่หน้าหน่วยเลือกตั้งของท่าน จำเบอร์ให้ดี เพราะเบอร์นี้จะเป็นเบอร์ที่เข้ามาช่วยเปลี่ยนประเทศและพาประเทศไทยให้ก้าวไปไกลยิ่งกว่าเดิม จึงอยากให้มาร่วมปักธงประชาธิปไตยไปด้วยกันให้ทั่ว กทม.และทั่วประเทศ ประชาธิปไตยเกิดขึ้นได้ ต้องขอแรง ขอพลังจากทุกคน วันนี้ใครที่เชียร์อยู่ทางบ้าน ขอเปลี่ยนแรงเชียร์แรงใจ เป็นแรงกาในวันที่ 14 พฤษภาคมนี้ กาก้าวไกลประเทศไทยไม่เหมือนเดิม”

สิริลภัส กองตระการ หรือ หมิว
ผู้สมัคร ส.ส.กทม.เขต 14 พรรคก้าวไกล

‘รวมไทยสร้างชาติ’ประจัญบาน‘เพื่อไทย’
ปมค่าไฟแพง-คนรวยแจกเงิน

“ก ารใช้เม็ดเงินงบประมาณในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจขึ้นอยู่กับเป้าหมายในการใช้เงิน พรรค พท.ไม่มีวิธีคิดเฉลี่ยแบบสมบูรณ์ว่าจะต้องจัดเม็ดเงินให้ทุกกลุ่มเท่าๆ กัน ตลอดทุกนโยบายตลอดเวลา แต่โครงการดิจิทัลหมื่นบาทที่แจกให้คนที่อายุ 16 ปีเป็นต้นไป เป้าหมายของการกระตุ้นเศรษฐกิจโครงการนี้ ไม่ได้อยู่ที่รัฐบาลให้เงิน แต่อยู่ที่ประชาชนใช้เงินเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่มากที่สุดในประเทศไทย จากรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง

สำหรับปัญหาค่าไฟฟ้าที่เกิดขึ้นประชาชนเดือดร้อนไปทั่ว ปัญหาราคาพลังงานเกิดขึ้นมานาน แต่รัฐมนตรีพลังงานไม่มีพลังงานในการแก้ปัญหาเลย อยู่ได้อย่างไร รัฐบาลบอกจะมีมติคณะรัฐมนตรีเอางบกลางมาแก้ปัญหาค่าไฟ ทำจนคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ตีกลับมายังมีหน้าอยู่ต่อได้อย่างไร

“เราไม่ได้หาเรื่องแจกเงินคนรวย ฉะนั้น อย่ามาถามว่าลูกเศรษฐีเราแจกเงินเขาทำไม นี่เป็นนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจแบบพรรค พท. คิดใหญ่ ทำเป็น และทำได้ แก้ปัญหาได้ด้วย หากจะถามกันแบบนั้น ตนก็ต้องถามว่าแล้วคนจน ชาวไร่ชาวนาเขาอยู่ดีๆ คุณยึดอำนาจเขาทำไม คุณจับลูกหลานเขาไปขังทำไม ลูกหลานคนจนเขาใช้ชีวิตอยู่ดีๆ คุณบังคับเขาเกณฑ์ทหารทำไม พรรค พท.จะมาแก้ปัญหาเหล่านี้และจะมาพาประเทศไทยออกจากกับดักวงล้อมอำนาจนิยมเช่นนี้ และพรรค พท.จะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง พล.อ.ประยุทธ์กับ พล.อ.ประวิตรแตกกันแล้วก็จริง หากพรรค พท.ได้เป็นรัฐบาลจะดูแลทั้งคู่ด้วยเบี้ยผู้สูงอายุ”

ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ
ผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทย

“เวลาพรรคการเมืองทุกพรรคหาเสียง จะใช้คนรวยไปช่วยเหลือคนยากลำบาก ทำไมในอดีตถึงเป็นการให้สวัสดิการแบบถ้วนหน้า เพราะในอดีตเราไม่มีเทคโนโลยีที่จะรู้ได้ว่าคนลำบากอยู่ไหน แต่รวมไทยสร้างชาติมีส่วนสร้างฐานข้อมูลนั้น สามารถรู้ว่าครอบครัวใดลำบาก พวกคุณอาจจะไม่รู้ แต่เรารู้ รวมไทยสร้างชาติมีส่วนร่วมในการสร้างระบบออนไลน์ผ่านมือถืออย่าง เป๋าตัง inject เงินไปถึงคนจนโดยไม่ผ่านคนกลาง ขอถามหน่อยว่า ลูกเศรษฐี หรือเศรษฐีรวยหมื่นล้าน ไปให้เขาทำไม เขาไม่ลำบาก แทนที่จะให้คนเหล่านั้น ไปให้คนจนไม่ดีกว่าหรือ แจก 10,000 บาท ได้ครั้งเดียว แต่แจกผ่านลุงตู่พลัสได้เดือนละ 1,000 บาท 4 ปี ได้ 48,000 บาท คนจนหายลำบากไหม ดังนั้น ทำแล้ว ทำอยู่ ทำต่อ ดีที่สุด

…เวลาเพื่อไทยบอกว่า นายทุนพลังงานคุมกระทรวงพลังงาน ขอให้ระวังไว้ว่านโยบายที่ผลักดันให้เอกชนขายพลังงานไฟฟ้าให้ประเทศ เริ่มมาตั้งแต่ พ.ศ.2537 ถึงทุกวันนี้ พูดไปก็กระทบพรรคการเมืองหลายพรรค เมื่อถามว่าทุนจีนสีเทาประชาชนรู้หรือไม่ว่ามีหรือไม่มี ตนไปภาคใต้ 6 จังหวัดมา มีนักการเมืองรับทุนจีนสีเทา และนำมาใช้หาเสียง ซื้อเสียงประชาชน เห็นกับตา ดังนั้น ประชาชนรู้ว่าใครกำลังทำแบบนี้ แล้วประชาชนจะลงโทษคนเหล่านั้นเอง

นายทุนพลังงานระวังนะครับ เพราะนโยบายที่ผลักดันให้เอกชนขายพลังงานไฟฟ้าให้ประเทศ เริ่มมาตั้งแต่ปี 2537 จนถึงทุกวันนี้ พูดไปก็กระทบหลายพรรคการเมือง”

วินท์ สุธีรชัย
ผู้สมัคร ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อพรรครวมไทยสร้างชาติ

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image