ผู้เขียน | บวรพงศ์ ศุภโสภณ |
---|
อาศรมมิวสิก : AI แต่งดนตรีซิมโฟนี : ความล่อแหลมต่อจรรยาบรรณและอัจฉริยภาพของมนุษย์
เมื่อต้นเดือนตุลาคมสองปีก่อน (พ.ศ.2564) มีข่าวสำหรับวงการดนตรีคลาสสิกที่จะเรียกได้ว่าน่ายินดีหรือไม่ ก็ไม่แน่ใจ นั่นก็คือข่าวความสำเร็จของการนำเอาร่างความคิดทางดนตรี (Sketch) ซิมโฟนีหมายเลข 10 ที่มหาดุริยกวี “เบโธเฟน” (Ludwig van Beethoven) ได้ร่างทิ้งไว้ นำมาป้อนเข้าเครื่องคอมพิวเตอร์โดยใช้โปรแกรม “ปัญญาประดิษฐ์” (AI หรือ Artificial Intelligence) ประพันธ์ซิมโฟนีบทนี้ต่อจนเป็นผลสำเร็จ (มีข่าวว่าได้นำออกแสดงรอบปฐมทัศน์ไปแล้วด้วย!) มีกระบวนการสั้นๆ ด้วยการป้อนข้อมูลผลงานดนตรีของเบโธเฟน ให้ AI ได้เรียนรู้ เมื่อ AI ได้เรียนรู้แล้วมันจึงสามารถประพันธ์ “ร่าง” ซิมโฟนีหมายเลข 10 ที่เบโธเฟนเขียนทิ้งไว้คร่าวๆ นี้ต่อจนสำเร็จ แน่นอนที่สุดมันกลายเป็นประเด็นที่น่าถกเถียงกันต่อถึงการยอมรับว่า นี่คือ “ผลงานของเบโธเฟน” ได้มากแค่ไหน
ระยะเวลาผ่านมาได้เพียงไม่ถึงสองปี นวัตกรรมแห่งปัญญาประดิษฐ์ (AI) ก็ได้เข้ามาอยู่ในกระบวนการสร้างสรรค์ทางดนตรีคลาสสิกมากยิ่งขึ้น เมื่อมันมิได้ประพันธ์แค่ซิมโฟนีหมายเลข 10 ของเบโธเฟน แต่มันยังได้พัฒนาขีดความสามารถในการแต่งเพลงคลาสสิกในสำนวน, ลีลา ของบรรดาดุริยกวีในตำนานผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลายได้ด้วย ประเด็นอันล่อแหลมเริ่มเกิดขึ้น เมื่อ AI ได้นำมาใช้โดยผู้รู้ทางดนตรี กรณีนี้เกิดขึ้นเมื่อนักประพันธ์ดนตรีร่วมสมัยชาวอเมริกันวัย 82 ปี นามว่า “เดวิด โคป” (David Cope) เกิดปัญหาในการประพันธ์ดนตรีของเขา ตัวเดวิด โคป เองดำรงตำแหน่งเป็นศาสตราจารย์กิตติคุณแห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย (California) เขาเริ่มต้นชีวิตด้วยการเป็นนักดนตรีและนักแต่งเพลง มีผลงานประพันธ์ดนตรีที่ได้รับการยอมรับนำออกแสดงทั่วโลกมายาวนาน จนได้รับการยกย่องจากบรรดานักวิจารณ์ว่าเป็น “หนึ่งในบรรดานักแต่งเพลงผู้ยิ่งใหญ่แห่งยุคสมัย ซึ่งมีผลงานมากมายในหลากหลายรูปแบบ” และแล้วปัญหาก็เริ่มเกิดขึ้นเมื่อเขาได้รับมอบหมายว่าจ้างให้ประพันธ์อุปรากร (Opera) เรื่องหนึ่ง
ศาสตราจารย์โคปบอกว่า เมื่อเผชิญงานภารกิจนี้เข้า เขาเริ่มรู้สึกว่าขาดแรงบันดาลใจและความคิดสร้างสรรค์ เขากล่าวว่า “ผมคิดไม่ออกจริงๆ ว่าสไตล์ดนตรีของผมมันควรจะเป็นอย่างไรดี?” เมื่อคิดไม่ตกว่าสไตล์, ลีลาดนตรีควรจะเป็นอย่างไร เขาจึงใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์เข้ามาช่วยในการแต่งเพลง (ด้วยความที่ตัวเขาเองเป็นผู้เชี่ยวชาญทางคอมพิวเตอร์อีกด้วย) เขาเริ่มงานด้วยการใช้โปรแกรมที่มีชื่อเรียกกันว่า “การทดลองปัญญาประดิษฐ์ทางดนตรี” หรือ “Experiments in Music Intelligence” ซึ่งเขาใช้ชื่อย่อว่า “EMI” หรือ “Emmy” ซึ่งโปรแกรมนี้จะทำการวิเคราะห์ดนตรีที่ถูกป้อนเข้าสู่ฐานข้อมูล และข้อมูลที่ป้อนเข้าไปนี้ก็จะถูกใช้ในการ “ผลิต” ผลงานดนตรีใหม่ๆ ออกมา “ในสไตล์, ลีลาแบบเดิม” ซึ่งในตอนแรกเขาใช้ AI ในการช่วย “ผลิต” ผลงานดนตรีในลีลา, รูปแบบของเขาเอง เขาใช้โปรแกรมดนตรีนี้ในบทบาทฐานะ “ผู้ช่วย” ในขั้นตอนการประพันธ์ดนตรีของเขา ซึ่งนั่นทำให้เขาค้นพบลีลา, รูปแบบการแต่งเพลงของเขาโดยที่ตัวเขาเองก็ไม่เคยสังเกตหรือจับได้มาก่อน ซึ่งในทางกลับกันนี่จึงทำให้เขาสามารถเปลี่ยนสไตล์, ลีลาดนตรีได้ และด้วยความช่วยเหลือจาก “เอ็มมี” (EMI) นี้เองเขาจึงสามารถแต่งอุปรากรสำเร็จ (ทันเวลา)
ประกายความคิดในขั้นต่อไปจึงเกิดขึ้นว่า เอ้อ แล้วทำไมเราจึงไม่ใช้กระบวนการ (เครื่องมือ) นี้ กับบรรดาดุริยกวีในตำนานท่านอื่นๆ ด้วยเล่า ว่าแล้วศาสตราจารย์โคปจึงทำการเตรียมความพร้อมให้ “เอ็มมี” ของเขาเพื่อที่จะประพันธ์ผลงานดนตรีคลาสสิกของบรรดาดุริยกวีในตำนานทั้งหลายให้ได้ ด้วยกรรมวิธีและกระบวนการเดียวกัน เมื่อเราป้อนข้อมูลผลงานดนตรีเหล่านี้ให้โปรแกรมได้รับรู้ไปครั้งหนึ่งแล้ว AI นี้ก็จะสามารถผลิต, สร้างผลงานต่างๆ ออกมาได้อีก “ในลีลา, รูปแบบเดิม” ศ.โคปกล่าวว่า “ในตอนที่ผมเริ่มทดลองกับผลงานของ บาค (J.S. Bach) และดุริยกวีท่านอื่นๆ นั้น มันก็เพียงด้วยเหตุผลที่ว่า ต้องการที่จะค้นพบขอบเขตของลีลาทางดนตรีของท่านทั้งหลายเหล่านั้น เพื่อที่จะช่วยให้เกิดความเข้าใจว่าสไตล์ดนตรีของแต่ละท่านเหล่านั้นเป็นอย่างไร?, ไม่มีเหตุผลอื่นเลยจริงๆ” ศ.โคปไม่หยุดยั้งเพียงแค่นั้นเขายังต้องการผลิตผลงานจากการทดลองเหล่านี้ออกมาเป็นอัลบั้มเพื่อจำหน่ายเผยแพร่ให้ได้จริงๆ เขากล่าวว่า “การผลิตอัลบั้มเป็นเรื่องง่าย แต่การจะปล่อยออกมาจริงๆ นี่สิเป็นเรื่องยาก” เขาเล่าว่าต้องใช้เวลาเกือบ 1 ปี ในการแสวงหาบริษัทแผ่นเสียงที่จะผลิตผลงานเหล่านี้ออกมา ในตอนแรกคำตอบจากบริษัทแผ่นเสียงเหล่านั้นก็คือ “บริษัทเราผลิตผลงานดนตรีร่วมสมัย แต่…สิ่งเหล่านี้เมื่อพิจารณาโดยคำจำกัดความแล้วมันไม่ใช่ผลงานดนตรีร่วมสมัย” หรืออีกบริษัทหนึ่งที่ตอบกลับมาว่า “เราผลิตแต่ผลงานดนตรีคลาสสิก และสิ่งเหล่านี้ ไม่ใช่ดนตรีคลาสสิก” ศ.โคปได้แต่รำพึงว่า “เอ้อ….ถ้าอย่างนั้นแล้วมันคืออะไรล่ะ?”
ศาสตราจารย์โคป “ผลิต” (ผู้เขียนเองขอเน้นคำว่า “ผลิต” ที่ดูว่าจะตรงความหมายกว่าคำว่า “ประพันธ์”) อัลบั้มออกมาหลายชุด โดยใช้ “เอ็มมี” (EMI) ของเขา อาทิ “โมซาร์ทเสมือน” (Virtual Mozart), “รัคมานินอฟเสมือน” (Virtual Rachmaninov) เขาได้ผลิตผลงานดนตรีออกมานับพันๆ ชิ้น ด้วยการใช้ EMI นี้ รวมไปปถึงผลงาน “Chorale” ของ J.S. Bach ถึง 5,000 บท!!! ผลผลิตจาก EMI นี้นำมาซึ่งข้อถกเถียงอย่างมากมาย ลุกลามไปจนถึงประเด็นคำถามที่ว่า “เราสามารถนำคอมพิวเตอร์มาใช้ในบรรดางานสร้างสรรค์ศิลปะทั้งหลายได้อย่างไร?” ซึ่งแท้จริงแล้วนี่มันได้เป็นการ “เปลี่ยนวิถีทางแห่งประวัติศาสตร์ดนตรี” กันเลยทีเดียว แต่โดยตัวของ ศ.โคปเองแล้ว เขามีความเชื่อมาอย่างยาวนานว่า ดนตรีทั้งหมดทั้งมวลมันก็คือ การลอกเลียนที่ได้รับแรงบันดาลใจ ซึ่งกระบวนการนี้ เกิดขึ้นอย่างยาวนานสืบเนื่องต่อๆ กันมา เขากล่าวว่า “บรรดาดุริยกวีผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลายได้ซึมซาบดนตรีมากมาย ที่เกิดขึ้นมาก่อนพวกเขา และสมองของพวกเขาก็ได้ ทำการผสานเรียบเรียงเชื่อมต่อดนตรีเหล่านั้นขึ้นมาใหม่ พวกเราทั้งหลายล้วนแต่มี ‘ฐานข้อมูลภายใน’ ของดนตรีที่เราอ้างอิงอยู่ บรรดาดุริยกวีก็คือผู้ที่มีความสามารถในอันที่จะจัดการเรียบเรียงมันขึ้นมาใหม่ในรูปแบบใหม่”
ศ.โคปขยายความเพิ่มเติมอีกว่า “เมื่อคุณมีฐานข้อมูลป้อนให้มากพอจนมันตกผลึก ที่เหลือมันก็เป็นเพียงแค่การกดปุ่มครั้งเดียว ผลผลิตก็จะหลั่งไหลพรั่งพรูออกมาเป็นบทเพลง โซนาตา (Sonata) นับร้อยนับพันบท!” ศาสตราจารย์โฮปได้หยุด “Emmy” ของเขาลงแล้วที่ผลงาน 11,000 ชิ้น และเขาก็ได้เขียนโปรแกรมใหม่ขึ้นมาโดยใช้ชื่อว่า “Alena” (อาเลนา) และ “Emily Howell” (เอมิลี โฮเวล) โดยมีหน่วยความจำที่มีความเข้าใจหยั่งรู้ถึงบรรดาผลงานดนตรีของดุริยกวีถึง 36 คน จาก “พาเลสทรินา” (Palestrina) เรื่อยไปจนถึง “เดวิด โคป” (David Cope) เมื่อถาม ศ.โคป ว่าเขาเชื่อหรือไม่ว่าคอมพิวเตอร์สามารถสร้างสรรค์ได้จริง เขาจึงตอบโดยไม่ลังเลว่า “โอย ไม่ต้องถามเลย ผมตอบได้เป็นล้านครั้งเลยว่า ใช่แน่นอนเลย ความคิดสร้างสรรค์เป็นเรื่องที่เรียบง่าย จิตสำนึกและภูมิปัญญาต่างหากที่เป็นเรื่องยาก”
ท่านผู้อ่านเมื่อได้อ่านเรื่องราวนี้แล้วคิดเห็นกันอย่างไรบ้าง เมื่อเจอกับเรื่องราวแบบนี้ในโลกยุคปัจจุบันที่เราเริ่มแยกแยะอะไรยากขึ้นทุกทีๆ ระหว่าง “ของจริง” กับ “ของปลอม” ปัญหานี้กำลังท้าทายพวกเราในปัจจุบันในทุกระดับ เส้นแบ่งพรมแดนมันเริ่มเลือนรางลงไปทุกที และยิ่งเมื่อกรณีแบบนี้เกิดขึ้นโดยตัวของผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็น “ศิลปินใหญ่” ด้วยตัวเอง ศิลปินใหญ่ผู้เจนจบในวิชาความรู้ทางดนตรีขั้นสูงสุดด้วยการเป็นนักประพันธ์ดนตรีผู้สูงด้วยประสบการณ์ แต่เลือกที่จะใช้ “ทางลัด” อำนวยความสะดวกทางปัญญา ด้วยการใช้เครื่องทุ่นแรงช่วยคิด ผู้เขียนเองอ่านเรื่องราวนี้แล้วเกิดข้อคิดสะท้อนใจไปได้ยาวไกล มันเริ่มสะท้อนไปเชื่อโยงถึงเรื่องราวอื่นๆ ในชีวิตประจำวัน เมื่อเราเริ่มนำ “สมองกล” มาช่วยคิดทดแทน “สมองคน” นับเป็นเรื่องน่าเศร้าหรือเรื่องน่ายินดีในเรื่องนี้ ต่อจากนี้ไปพวกเราไม่ต้องคิดอะไรให้มากความ, คิดให้เหนื่อย ในเมื่อมนุษย์สามารถประดิษฐ์เครื่องช่วยคิดทดแทนคนได้แล้ว
เรื่องการนำ AI มาสร้างสรรค์ผลงานทางศิลปะกำลังแพร่หลาย (ระบาด) เข้ามาในวงการศิลปะทุกๆ แขนง อีกไม่ช้าไม่นาน เราคงเห็น AI สามารถวาดภาพจิตรกรรมฝาผนัง, สามารถแกะสลักผักผลไม้ หรือออกแบบลวดลายต่างๆ สำเร็จได้ในชั่วพริบตา สิ่งต่างๆ, ทักษะต่างๆ เหล่านี้ซึ่งมนุษย์ต้องใช้เวลาทุ่มทุทิศตนเรียนรู้กันทั้งชีวิต เมื่อเราโตเป็นผู้ใหญ่แล้วเราจึงเริ่มตระหนักดีว่าเรื่องเหล่านี้มิใช่เพียงแค่กระบวนการสร้างของสวยๆ งามๆ ขึ้นมาดูเล่นเพลินๆ ตา มันคืออุบาย, เครื่องมือในการฝึกฝน, พัฒนาจิตใจให้ละเอียดอ่อน, ยกระดับความเป็นมนุษย์ให้สูงขึ้น ศิลปะเป็นกระบวนการหนึ่งในการบรรลุซึ่งพันธกิจแห่งการพัฒนามนุษย์ และพวกเรากำลังตกหลุมพรางแห่งความสะดวกสบาย ด้วยการใช้เครื่องอำนวยความสะดวกมาทดแทนมันสมองและความคิดที่ติดตัวเรามาแต่กำเนิด นี่จึงเริ่มทำให้เราเริ่มเห็นว่า “สมองคน” สู้ “สมองกล” ไม่ได้ เช่นเดียวกับกำลังคนสู้กำลังเครื่องจักรกลไม่ได้ มันสู้กันไม่ได้จริงๆ มันจึงช่วยไม่ได้ที่พวกเราหลายคนเริ่มรู้สึก ศรัทธากับเครื่องมืออำนวยความสะดวกทางสมองเหล่านี้ พวกเขาอาจอ้างเหตุผลเชิงประจักษ์ ที่ยากต่อการโต้แย้งว่า เห็นรึยัง AI เหล่านี้สร้างสรรค์ผลงานศิลปะที่รวดเร็วกว่า, สวยงามกว่า และข้อสำคัญได้ปริมาณมากกว่าภายในเวลาอันรวดเร็วเพียงชั่วลัดนิ้วมือ แบบที่ ศ.โฮปกล่าวว่า กดปุ่มครั้งเดียวได้เพลงโซนาตาออกมาเป็นพันๆ บทเพลง (เบโธเฟนใช้เวลาทั้งชีวิตยังไม่มากเท่านี้เลย!)
ท่านผู้อ่านคงสังเกตเห็นได้บ้างในวิถีชีวิตประจำวันในท้องตลาด แม่ค้าตามตลาดสดมีเครื่องคิดเลขติดมือกันทุกคน และพวกเขาก็กดเครื่องคิดเลขในทุกๆ ครั้งที่มีลูกค้ามาซื้อของ เดี๋ยวนี้ซื้อของเพียงแค่ราคาไม่ถึงร้อยบาท แม่ค้าก็ควานหาเครื่องคิดเลขมากด บ่อยครั้งเราเริ่มเห็นว่าพวกเขาลังเล แม้ว่าจะคิดได้แล้วแต่ก็ขอกดเครื่องคิดเลขทบทวนอีกที นี่คือเรื่องราวที่สะท้อนให้เห็นถึงการเริ่มไม่เชื่อถือในความคิดของตนเอง และพึ่งพิงเครื่องมือช่วยคิดอย่างขาดไม่ได้ เราเคยยกย่องกันว่า แม่ค้าคิดเลขเร็วมากเดี๋ยวนี้ บทสรุปเหล่านี้เริ่มใช้ไม่ได้ เครื่องมือช่วยเหลือเข้ามามีบทบาทในวงการศิลปะและดนตรีมากขึ้นๆ ผู้เขียนเริ่มเห็นถึงประเด็นคำถามลึกๆ ในความคิดของบางคนที่อาจจะยังไม่กล้าพูดออกมา ในประเด็นที่ว่า เราจะเรียนตีกลองไปทำไม ในเมื่อเรามีกลอง, เครื่องประกอบจังหวะที่เสียงดีกว่า สามารถตีจังหวะได้คงที่มากกว่า จังหวะไม่ยืดช้าลงเพราะความเหนื่อยล้า หรือไปจนกระทั่ง “เราจะเรียนแต่งเพลงไปทำไม ในเมื่อเรามีเครื่องมือแต่งเพลงได้ผลสำเร็จดีกว่ามนุษย์ในชั่วพริบตา”
เรื่องราวหรือปรากฏการณ์บางอย่าง เราไม่อาจหาข้อสรุปได้ภายในบทความชิ้นเดียว แต่นี่คงเปิดประเด็นคำถามมากมาย ต่อกระบวนการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะ ถ้าเราเน้นคำว่า “กระบวนการทางศิลปะ” และถอยออกมาดูกระบวนการในภาพรวมเราจะเห็นข้อสรุปของมันในฐานะเครื่องมือในการพัฒนาความเป็นมนุษย์ และเรากำลังจะหลุดออกไปจากกระบวนการนี้ เพียงเพื่อเหตุผลของความสะดวกสบายและความรวดเร็ว คำว่า “ทันสมัย” ในบางครั้งจึงกลายเป็นกับดักโดยไม่รู้ตัวที่จะปิดกั้นไม่ให้เราเข้าถึง การหยั่งรู้ถึงคำว่า “นิรันดร์กาล” (Eternal) “เซอร์ เนวิลล์ คาร์ดุส” (Neville Cardus) ให้แนวคิดบทสรุปในเรื่องทำนองนี้ไว้ โดยหยิบยกดนตรีของเบโธเฟน ขึ้นมาให้เห็นภาพชัดเจนว่า ทำไมในมโนสำนึกของผู้รักดนตรีทั่วโลก จึงเห็นพ้องต้องกันว่า ดนตรีของเขายิ่งใหญ่ นั่นก็เพราะ เบโธเฟนก้าวข้ามแนวคิดของทั้งคำว่า “ล้าสมัย” หรือ “ทันสมัย” ดนตรีของเขาเป็นดนตรีแห่งนิรันดร์กาลสำหรับมวลมนุษย์ปัญญาชนโดยแท้จริง
ยาน สวัฟฟอร์ด (Jan Swafford) นักประพันธ์ดนตรีในระดับสากลอีกผู้หนึ่งเน้นย้ำว่า “ปัญญา มิอาจดำรงอยู่นอกร่างกายมนุษย์ได้ เราควรหานิยามใหม่ให้กับสิ่งประดิษฐ์นี้” ผู้เขียนขอสรุปว่า พัฒนาการเรื่องนี้ดูจะคล้ายๆ กับปฏิบัติการ “ควักมันสมองออกจากกะโหลกมนุษย์” ศ.โฮป นักประพันธ์ดนตรีใช้มันเป็นเครื่องทุ่นแรงในการแต่งอุปรากรที่จะไม่ทันเวลา ผู้เขียนแอบคิดดูเล่นๆ ว่า ถ้าหากบรรดาดุริยกวีในตำนานทั้งหลาย เช่น เบโธเฟน หรือโมซาร์ท ยังมีชีวิตอยู่ในยุคนี้ ท่านทั้งหลายเหล่านั้นจะเลือกใช้ทางลัดในการแต่งเพลงแบบนี้หรือไม่?