เปิดอีกมุม “โต๋ ศักดิ์สิทธิ์ เวชสุภาพร” ชีวิต อนาคต และความรักในวันคริสต์มาส

ถือเป็นอีกหนึ่งศิลปินที่ยืนระยะการทำงานอย่างหนักแน่นด้วยรูปแบบดนตรีอันเป็นเอกลักษณ์ ชนิดที่เรียกได้ว่าหากได้ฟังเพลงตั้งแต่ท่อนแรกคงจะคาดเดาได้ไม่ยากว่าเป็นเพลงของใคร

เสียงเปียโนที่แตะต้องใจของผู้ฟังอยู่ที่คราที่นิ้วของเขาได้เริ่้มต้นบรรเลง เนื้อเพลงที่ตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นของความรัก และเสียงร้องที่นุ่มนวลชวนฝัน เหล่านี้คือสิ่งที่ “โต๋ ศักดิ์สิทธิ์ เวชสุภาพร” ได้หลอมรวมไว้อย่างเหมาะเจาะ และยืนหยัดมุ่งมั่นมอบ “ความสุข” เช่นนี้ให้กับแฟนเพลงมาตั้งแต่ออกอัลบั้มเพลงเดี่ยวอย่างเป็นทางการอัลบั้มแรกในชื่อ “Tor+ Living in C Major” ในเดือนกุมภาพันธ์ ปี พ.ศ.2550

ครั้งนั้นเขาได้มาพร้อมกับเพลงฮิตที่เป็นปรากฏการณ์อย่าง “รักเธอ” ที่เชื่อว่าใครหลายคนยังคงจดจำเนื้อร้องและทำนองที่ว่า “อ่าน ปากของฉันนะ ว่า…” ก่อนที่จะทิ้งท้ายด้วยเสียงเปียโนในคำว่า “รักเธอ” ได้อย่างไม่ลืมเลือน

เกิดเมื่อ 20 มกราคม พ.ศ.2527 เป็นบุตรชายคนโตของคุณแม่ “ธนภรณ์ เวชสุภาพร” และคุณพ่อ “นคร เวชสุภาพร” หรือ “พี่ต้อง แกรนด์เอ็กซ์” อดีตหัวหน้าวงแกรนด์เอ็กซ์ที่โด่งดังในอดีต โดยมีน้องชาย 1 คนชื่อ พรรศักดิ์ เวชสุภาพ หรือ เต๋

Advertisement

สำเร็จการศึกษาระดับประถมจากโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย มัธยมศึกษาจากโรงเรียนนานาชาติเอกมัย และปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ โดยได้รับปริญญาตรีเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง เหรียญทอง จากคณะบริหารธุรกิจ เอกบริหารธุรกิจระหว่างประเทศ

นอกจากผลการเรียนอันโดดเด่น โต๋เองได้เริ่มฉายแววทางด้านดนตรีควบคู่มาด้วยตั้่งแต่ยังเล็ก โดยเริ่มต้นเล่นเปียโนมาตั้งแต่อายุ 3 ขวบ ตั้งต้นฝึกฝนอย่างหนักและต่อเนื่องมานับแต่นั้น จนต่อมาเขาสามารถสอบเทียบระดับ Grade 6 ของ Trinity Collage of London หนึ่งในสถาบันการทดสอบทางดนตรีที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดในโลก และได้รับรางวัล Trinity Awards Thailand 1999 & Exhibition Awards ในปี พ.ศ.2542 อีกด้วย

เส้นทางศิลปินของเขาได้เริ่มต้นจากเพลงประกอบละคร อาทิ ดาวหลงฟ้า ภูผาสีเงิน, ใยเสน่หา ก่อนร่วมวง B5 อันเป็นการรวมตัวศิลปินระดับคุณภาพทั้ง “เบน” ชลาทิศ ตันติวุฒ, มาเรียม อัลคาลาลี่, อุทัย นิรัติกุลชัย หรือ อุทัย ปุญญมันต์, สุวีระ บุญรอด หรือ “คิว” วงฟลัวร์

Advertisement

นอกจากนี้ยังรับหน้าที่โปรดิวซ์เพลง ?บทเพลงในสายลม? และ ?เสียงในใจ? อัลบั้ม Dangerous Tata ของทาทา ยัง ก่อนเริ่มต้นเป็นศิลปินเดี่ยวในที่สุด โดยผลงานในช่วงแรกเขาได้ฝากเพลงฮิตเอาไว้หลายเพลง และคว้าหลากรางวัลโดยจากวันนั้น โต๋ยังคงผลิตผลงานเพลงออกมาอย่างต่อเนื่อง และล่าสุดกับซิงเกิ้ล “สักวันคงได้เจอ” ที่ได้ออกมาในช่วงกลางปีที่ผ่านมา

วันนี้ได้มีโอกาสพูดคุย “เปิดใจ” กับเขาในวันที่ย่างก้าวเข้าสู่ปีที่ 14 ปีในฐานะศิลปิน รับฟังมุมมอง เรื่องราวในชีวิต และเป้าหมายในอนาคต

ก่อนปิดท้ายด้วยความสำคัญของวัน “คริสต์มาส” ที่มีต่อชีวิตของเขา

ในวันที่บทสัมภาษณ์ชิ้นนี้จะถูกตีพิมพ์ในวัน “คริสต์มาส” อย่างพอดิบพอดี

23798

– ปีที่ผ่านมาชีวิตเป็นอย่างไรบ้าง?

ในปีนี้ผมได้ลองทำอะไรแปลกใหม่ ได้ลองเล่นละครเวทีเรื่องแรก (ลมหายใจ เดอะมิวสิคัล) ก็รู้สึกว่าเมื่อก่อนเราเป็นนักดนตรีที่มีกรอบใสๆ รอบตัวเราโดยที่เราไม่รู้ตัวว่ามี แต่เพิ่งมาเข้าใจตอนนี้ว่าเรามีมันอยู่ คือ เมื่อก่อนผมไม่ยอมเล่นละคร เรื่องร้องก็ไม่กล้าร้องในสไตล์อื่นๆ ไม่กล้าเดินออกมาร้อง เพราะเรารู้สึกว่าเราเป็นนักเปียโนก็ต้องอยู่ตรงนั้น แต่พอเรารู้สึกว่าเราต้องกล้าออกมาทำอะไรใหม่ๆ มันจึงเหมือนเป็นการผจญภัย การเดินทาง เป็นความตื่นเต้นของชีวิต ในปีนี้ผมจึงมีความสุขกับการได้สำรวจอะไรใหม่ๆ ได้เจออะไรใหม่ๆ

– การออกมาจากมุมมองเดิมๆ ส่งผลอย่างไร?

ถ้าคุณไม่กล้าออกมาจากมุมมองเดิมๆ คุณจะไม่เข้าใจหรือมีวันโตขึ้น ผมไม่ได้บอกว่าการก้าวออกมาจะทำให้คุณเจอสิ่งที่ดีกว่าเสมอ แต่การก้าวออกมาจะทำให้คุณเจอสิ่งใหม่ๆ โดยที่มันอาจจะดีกว่าหรือไม่ดีไปกว่าเดิม การที่ได้มีโอกาสขยับเขยื้อนมันเป็นการทำให้เราได้รู้ว่าตรงไหนที่เราถนัด และได้ทำให้ข้างในเราเปลี่ยนไป พอข้างในเราเปลี่ยน มันก็ส่งผลให้ชีวิตเราเปลี่ยน คาแร็กเตอร์ วิธีการเขียนเพลง วิธีการร้อง ทัศนคติในการทำงานก็เปลี่ยน ทำให้กล้าทำในสิ่งที่ไม่กล้าทำก็คิดว่าทำไมมันไม่ทำแบบนี้ตั้งนานแล้วนะ (หัวเราะ)

– คิดว่าสิ่งนี้เกิดขึ้นในชีวิตของทุกคน?

ผมคิดว่ามันเป็นโมเมนต์ในชีวิตของคนทุกคนจะมีช่วงหนึ่งรู้สึกว่าสิ่งที่ทำมันตันไปหมด แต่เมื่อคุณตันจนสุด เมื่อหลังชนกำแพงแล้ว ผมเชื่อว่ามันจะมีทางไปได้เอง แล้วพอคุณมีทางไปคุณจะรู้สึกและได้ค้นพบว่าโลกนี้มันกว้างใหญ่มาก เพียงแต่เรามองอยู่แค่นี้ เรามองมันแคบๆ เท่านั้นเอง อย่างช่วงสามปีก่อนตอนที่ทำอัลบั้ม ผมไม่ตันทางด้านการแต่งเพลง แต่ผมตันในความรู้สึก คือผมรู้สึกเบื่อ แต่งเพลงอีกแล้ว? เล่นคอนเสิร์ตอีกแล้ว? คือรู้สึกว่าทุกอย่างมันดูเหมือนเดิมไปหมด และผมก็หยุดไปเลย หยุดไปปีกว่า หยุดแบบไม่ทำอะไรเลย ตอนนั้นมันเป็นช่วงที่หลังพิงฝาแล้วก็ต้องลองในทางที่ไม่เคยและหาทางออก

– คิดว่าเป็นเรื่องที่ดีมั้ย ที่ได้เจอสถานการณ์แบบนี้?

(ยิ้ม) ผมคิดว่าการที่ได้เจอสิ่งแบบนี้บ่อยๆ ในชีวิตเป็นเรื่องที่ดี เพราะยิ่งคุณเจอหนัก ยิ่งคุณตัน ยิ่งคุณรู้สึกท้อแท้ว่าไม่มีทางไป ภาษาอังกฤษจะมีคำว่า “If you don”t know where you are going, any road will get you there” คือ ถ้าคุณไม่รู้จะไปทางไหน ไปถนนเส้นไหนก็ไปได้เหมือนกันหมด ข้อดีของการได้เจอสถานการณ์แบบนี้ในชีวิต จะทำให้คุณได้ลองอะไรใหม่ๆ ได้ลองถอดกรอบ ถอดอีโก้ที่มีออกไป

ที่สำคัญมันทำให้เราลดสิ่งที่คุณคิดว่าทำไม่ได้ เพราะเมื่อไรที่คุณคิดว่าทำไม่ได้ มันก็จะทำไม่ได้ จนกว่าคุณจะลองทำ

– ถึงวันนี้การยืนระยะในวงการดนตรีกว่า 10 ปี มีเคล็ดลับอย่างไร

หากรวมตั้งแต่ทำบีไฟว์ รวมอัลบั้มบรรเลงมาก็ 14 ปี แต่ผมรู้สึกว่ามันแป๊ปเดียวนะ (ยิ้ม) ผมรู้สึกว่ามันไม่ได้นานขนาดนั้น เพราะเราทำงานตลอด ตลอด 14 ปี ที่ผ่านมา ผมออกอัลบั้ม 10 อัลบั้ม เล่นคอนเสิร์ตเดี่ยวมา 9 ครั้ง คือถ้าเกิดไม่ถามผมก็คงไม่ได้นึกถึงมันนะ (ยิ้ม) เพราะผมคิดว่าชีวิตคือการเดินทางไปข้างหน้าเรื่อยๆ ดังนั้นหากถามว่าอยู่ได้ยังไงให้นาน คนที่อยู่มันไม่ได้รู้สึกว่านานขนาดนั้น เพราะมันคือการใช้ชีวิต คือ แค่ทำทุกวันให้มันดี ไม่ว่าจะเป็นงานอัลบั้ม คอนเสิร์ต หรือ งานอีเวนต์เล็กๆ เราแค่โฟกัสกับทุกงาน ตั้งใจซ้อมและทำทุกงานให้ออกมาดีที่สุด โดยที่ไม่เอาความคาดหวังว่ามันจะประสบความสำเร็จมาผูกติดกับใจของเรา

– ทำไมถึงคิดว่าอย่าเอาความคาดหวังมาผูกติดกับใจ

การทำแบบนั้นมันไม่สามารถทำให้ยืนระยะได้ มันเหมือนกับเล่นการพนัน คือ เมื่อคุณแทงไปเรื่อยๆ วันที่คุณได้ คุณประสบความสำเร็จคุณก็อยากเล่นต่อ แต่วันที่คุณเสียมากๆ เข้า คุณก็ไม่มีความสุขที่จะทำมัน ไม่อยากที่จะทำมันต่อแล้ว ดังนั้น สำหรับผมการยืนระยะในวงการได้นานนั้นมันจึงเป็นเหมือนการต่อยมวย คือ ต้องออกหมัดตลอด ออกหมัดแย็บ เข้าเป้าบ้าง ไม่เข้าป้างบ้าง ทำเพลงนี้ไปอาจจะโดนใจหรือไม่เวิร์ก แต่สักวันมันจะต้องมีหมัดนึงที่โป้ง…เข้าเป้าจังๆคือ มันต้องสู้ต่อไปทุกวัน มันเป็นเทคนิคของการอยู่ตรงนี้ อย่าเอาชีวิตของคุณไปผูกติดกับความสำเร็จ เวลาที่คุณผิดหวังมันไม่ได้หมายความว่าชีวิตคุณจะพัง ชีวิตมันก็ต้องเดินต่อไป ทำใหม่ลุยใหม่ ออกหมัดต่อไป

– เคยมีเพลงไหนที่เราคิดว่ามันจะโดนแล้วมันไม่โดน หรือเพลงที่คิดว่าไม่โดนแล้วโดนบ้างไหม

โอย มีหลายเพลง (หัวเราะ) เพลงที่โดนก็เป็นเพลงที่ไม่คิดว่ามันจะโดน หลายคนอาจบอกว่าเป็นโชค แต่ในฐานะที่ผมเป็นคริสเตียนผมคงพูดว่าเป็นพรจากพระเจ้า อย่าง เพลงรักเธอ เป็นเพลงสุดท้ายที่แต่งในอัลบั้ม โดยมีพี่บอย พี่ไก่ สุธี แสงเสรีชน และผมช่วยกันแต่ง ตอนแรกนี่ตั้งใจจะปล่อยเพลงอื่นออกไปด้วยซ้ำ ปรากฏว่าเพลงรักเธอกลับฮิตขึ้นมา หรืออย่างอัลบั้มล่าสุดทำออกมาเสร็จแล้ว 12 เพลง เราค่อยๆ ปล่อยมาทีละเพลงตั้งแต่ ฝากมากับดวงดาว, รักจริงจริง และสักวันคงได้เจอ สองเพลงแรกมีโอกาสโปรโมตมาก แต่เพลงสักวันคงได้เจอ เป็นเพลงที่ปล่อยออกมาตอนที่ผมกำลังซ้อมละครเวที เลยไม่ได้มีเวลาโปรโมต แต่สุดท้ายกลับกลายเป็นเพลงฮิต (หัวเราะ)

หลายอย่างมันเกิดขึ้นโดยที่เราอธิบายไม่ได้ว่าเพราะอะไร ผมเป็นคริสเตียน ผมก็ขอบคุณพระเจ้าสำหรับสิ่งที่ประทานให้ ส่วนตัวเราเองก็ทำหน้าที่ของตนเองต่อไป มันจึงเป็นที่มาว่าอย่าเอาชีวิตของตนเองไปแขวนไว้บนความสำเร็จ เพราะมันไม่มีประโยชน์

23806

– คิดว่าจะทำไปจนถึงเมื่อไร

ผมไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้ หลายคนถามผมว่าความฝันอันสูงสุดในการทำตรงนี้คืออะไร ผมไม่มี ผมไม่มีภาพว่าผมต้องเล่นคอนเสิร์ตที่นี่ถึงจะเรียกได้ว่าประสบความสำเร็จ ผมไม่มีภาพว่าจะต้องมีคนดูเอ็มวีกี่วิว กี่ร้อยล้านวิว เอาตรงๆ ผมไม่ได้เอาตรงนั้นมาเป็นตัววัด หรือไกด์ชีวิตตัวเอง เพราะสำหรับผมดนตรีในคือการใช้ชีวิต ในไม่ใช่งาน มันเป็นสิ่งที่มันต้องจิตวิญญาณทำ ดังนั้น ผมแค่รักตรงนี้ รักในสิ่งที่ทำ ก็คงทำตรงนี้ต่อไป วันหนึ่งเราคงไม่ได้อยู่เบื้องหน้า ก็คงทำเบื้องหลัง ชีวิตมันมีทางเดินของมันต่อไปเอง

– จริงๆ แล้วหัวใจสำคัญของการเล่นเปียโน หรือดนตรีคืออะไร

การเล่นเปียโนจริงๆ ไม่ได้มีแค่นิ้ว ใครที่บอกว่าเล่นเปียโนด้วยนิ้ว ไม่ถูกทั้งหมด ต้องใช้นิ้วเล่นก็จริงแต่อยู่ที่ใจด้วย ถ้าเกิดนิ้วคุณได้ก็เหมือนคนที่วิ่งได้อย่างเดียว แต่เตะฟุตบอลไม่เป็น เพราะมันใช้หัวเล่น ความเข้าใจ ใช้ชีวิตเล่น ยิ่งคุณโตมากขึ้น คุณก็จะเข้าใจมากขึ้น คุณจะเล่นมันออกมาไม่เหมือนเดิม เมื่อก่อนเข้าใจว่าการซ้อมเปียโนคือการนั่งอยู่กับเปียโน 8 ชั่วโมง มันไม่ใช่ คุณโตขึ้นมา การซ้อมเปียโนคือการใช้ชีวิต คุณใช้ชีวิตยังไงมันจะสะท้อนมาถึงดนตรีที่คุณเล่นด้วย มันเกี่ยวข้องแน่นอนผมรับประกันได้ ใครเถียงว่าไม่ใช่ ถ้าคุณเป็นคนฮึดฮัด ดนตรีที่คุณเล่นก็จะเป็นอีกแบบหนึ่ง ถ้าคุณอยากให้ดนตรีของคุณโพสิทีฟ ชีวิตประจำวันคุณก็ต้องโพสิทีฟด้วย

– ในฐานะนักดนตรี มุมมองที่มีต่อเพลงพระราชนิพนธ์ของในหลวงรัชกาลที่ 9

สำหรับผมแล้วรู้สึกว่าคนไทยโชคดีมากที่มีในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่ทรงดนตรี ทรงมีอัจฉริยภาพทางด้านดนตรีจริงๆ ผมคอนเฟิร์มในฐานะที่เป็นนักดนตรีว่าคีตราชันไม่ใช่คำที่เราเรียกเพราะพระองค์ทรงเล่นดนตรี แต่พระองค์ทรงเล่นได้ดีและเก่งจริงๆ แต่ละเพลงที่พระองค์ท่านทรงพระราชนิพนธ์ผ่านมาจนถึงวันนี้ยังฟังคลาสสิกอยู่เลย และโครงสร้างของเพลงซับซ้อน มีลูกเล่นที่คนทั่วโลกยอมรับว่าเจ๋ง

เพลงพระราชนิพนธ์เป็นเหมือนของขวัญที่เหมือนพ่อให้กับลูก ตอนเด็กๆ พ่อคนหนึ่งอาจซื้อรถของเล่นเป็นของขวัญให้กับลูก แต่พอโตขึ้นอายุสิบกว่าขวบคงไม่ถือไปเล่นที่ไหนแล้ว แต่สิ่งที่พระองค์ได้ทรงให้กับพวกเราคือเพลง ที่ไม่ว่าเวลาผ่านไปก็ยังคงร้องได้อยู่ ขึ้นเพลงมาก็จำได้เสมอ

– มีเพลงไหนที่ชอบเป็นพิเศษ?

หลายเพลงครับ (ยิ้ม) ถ้าในมุมการแต่งเพลงผมยกให้กับเพลงแสงเทียน เป็นมาสเตอร์พีซ แสงเทียนเป็นบทเพลงพระราชนิพนธ์ลำดับที่ 1 ทรงแต่งตอนอายุ 17 แต่โครงสร้างของเพลง คอร์ดมันซับซ้อนลึกลับ เนื้อเพลงที่ลึกเกินกว่าคนอายุ 17 จะเข้าใจ ถ้าบอกว่าอายุ 30 กว่าแล้วแต่งเพลงนี้อาจจะเข้าใจได้ แต่อายุ 17 แต่งเพลงนี้ มันแสดงให้เห็นว่าพระองค์ทรงล้ำหน้าไปมาก

อีกเพลงที่ชอบที่สุดคือเพลง Still on my mind ภาษาไทยชื่อว่า “ในดวงใจนิรันดร์” ส่วนตัวชอบเพลงนี้เพราะพระองค์ทรงประพันธ์ให้กับพระราชินี ในฐานะผู้ชายคนหนึ่งที่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน ไม่ว่าเธอจะไปไหนเพลงนี้จะบอกว่าเธอจะอยู่ในใจฉันตลอด ภาษาบ้านๆ บอกเลยว่า โคตรเท่ และอบอุ่นมาก

– เวลาว่างที่ใช้ผ่อนคลายตัวเอง

ผมเป็นคนบ้ากีฬา เล่นบาส เตะบอล โดยเฉพาะบาสนี่เล่นตั้งแต่ทีมโรงเรียน ทีมมหาลัยแล้วเลิกเล่นไป พักหลังกลับมาเล่นเพราะมีเพื่อนเล่นเยอะ มีสนามดีๆ เล่น ถ้าไม่มีงานกลางคืนหาผมได้ตามสนามกีฬาทั้ง สนามบอล สนามบาส หาผมได้ที่นั่นทุกวัน (หัวเราะ) เพราะชวนผมไปเที่ยว ไปนั่งชิว ผมไม่ชอบเสียงดัง มันรบกวนคุยกันไม่รู้เรื่องต้องตะโกนคุยกัน ทีมงานจะรู้ว่าวันไหนผมเล่นบาสสามทุ่ม ก็ต้องจัดการทำงานให้ถึงสองทุ่มเท่านั้น เพราะผมจะเริ่มงอแงแล้วว่าอยากไปเล่น (ยิ้ม) มันคือวิธีรีแลกซ์ของเรา เวลาที่ผมเล่นบาส 2 ชั่วโมง หัวสมองจะโล่งมาก เหมือนคุณกดรีสตาร์ตคอมพิวเตอร์ ไม่ต้องคิดอะไรเลย เหมือนเด็ก สนุกๆ กลับมาทำงานต่อก็มีพลัง

– อย่างที่รู้คือเป็นคนที่ชอบบาสเกตบอลมาก นักกีฬาคนโปรดคือใคร?

(ยิ้ม) ผมไม่ได้เป็นจอร์แดนแฟนเลย แปลกมากทุกคนส่วนใหญ่มักจะชอบ ไมเคิล จอร์แดน กันทั้งนั้น แต่นักบาสที่ผมชอบมากที่สุด คือ เลบรอน เจมส์ ผมชอบความมั่นใจ ผมชอบคนที่โดนด่า โดนเกลียดเยอะๆ เพราะมันเป็นการแสดงความแข็งแกร่งและพิสูจน์ตัวเองได้ ทุกคนชอบ ไมเคิล จอร์แดน หลายคนรัก โคบี้ ไบรอันต์ แต่เลบรอนมักจะมีแต่คนคอยกัดอยู่ตลอด แต่เขาก็สามารถยืนหยัดได้ ผมว่าตรงนี้เป็นสิ่งที่เท่ (ยิ้ม) ดังนั้นไม่ว่าเลบรอนย้ายไปทีมไหน ผมก็ตามเชียร์ตลอด

– สำหรับโต๋ที่เป็นคริสเตียน วันคริสต์มาสมีความหมายกับชีวิตอย่างไรบ้าง

สำหรับผมวันคริสต์มาสเป็นวันที่สำคัญต่อมนุษย์ทุกคนบนโลกนี้ ชีวิตเราเปลี่ยนได้เพราะมีพระเยซู ถ้าพูดในมุมที่ทุกคนจะเข้าใจ สำหรับผมคริสต์มาสคือความรักและการให้ คำว่าความรักมองไม่เห็น เราบอกว่าเรารักใครมันมองไม่เห็น แต่วันคริสต์มาสอธิบายความรักด้วยคำว่าให้และคำว่าเสียสละ การที่พระเยซูลงมาเกิดเป็นมนุษย์ ยอมเสียสละชีวิตตัวเองตายแทนทุกคนบนการเขน มันคือวิธีแสดงออกถึงความรัก ใครๆ ก็พูดได้ว่าผมรักคุณ แต่คุณยอมเสียสละบางอย่างแม้กระทั่งชีวิตให้เขาได้ไหม

คุณอาจบอกว่าคุณรักทุกคนบนโลกนี้แต่คุณทำอะไรบ้าง สำหรับผมคริสต์มาส มันจึงเป็นความรัก ความเสียสละ มันเป็นสัญลักษณ์ตรงนี้

– ส่วนตัวมีความทรงจำที่ประทับใจกับวันคริสต์มาสไหม?

วันคริสต์มาสเป็นวันที่เริ่มทุกๆ อย่างของผม พี่บอย โกสิยพงษ์ มาเจอผมครั้งแรกในวันคริสต์มาสที่โบสถ์ตอนผมอายุ 18 ปี วันนั้นผมไปเล่นเปียโนที่โบสถ์ พอเลิกงานพี่บอยมาคุยกับคุณพ่อผมว่า อยากหาซีดีเปียโนที่เปิดในงานมาฟัง คุณพ่อบอกว่าซีดีอะไรไม่มี แล้วหันมาบอกว่านี่ไงคนนี้เล่นอยู่ที่พี่บอยไม่เห็นเพราะเปียโนอยู่ข้างหลัง เขาก็อ้าวนี่ลูกคุณนครเหรอ และบอกว่า “ผมขออนุญาตชวนลูกพี่มาช่วยทำงานในห้องอัดได้ไหมครับ” คุณพ่อก็บอกว่าได้ ทั้งที่คนมาขอคุณพ่อให้ไปเป็นศิลปิน ไปถ่ายเอ็มวี แต่คุณพ่อก็ไม่เคยให้ หลังคริสต์มาสผมก็ไปช่วยงานห้องอัดจริงๆ จนกลางปีถัดมาพี่บอยมีคอนเสิร์ต Million Way of love ก็บอกว่า “โต๋ครับ ช่วยขึ้นไปเล่นเปียโนให้หน่อย” ชีวิตเปลี่ยนก็ตอนนั้นแหละครับ (หัวเราะ)

ดังนั้น สำหรับผม คริสต์มาสจึงเป็นวันเริ่มทุกๆ อย่าง พอถึงวันคริสต์มาสเราก็กลับมาระลึกถึงว่าทุกอย่างนั้นที่เกิดขึ้นนั้น หลายคนอาจบอกว่าเป็นด้วยความบังเอิญ แต่ในฐานะที่ผมเป็นคริสเตียน ผมจึงชอบอธิบายว่า สิ่งที่เกิดขึ้นคือพรจากพระเจ้าที่มีให้กับชีวิตของผมอยู่เสมอ (ยิ้ม)

23804

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image