ผู้เขียน | นฤตย์ เสกธีระ |
---|
ปรุงรสชาติให้ชีวิต
ปกติเวลาสัญจรไปที่ไหนในประเทศ เรามองเห็นผู้คนและสิ่งปลูกสร้างแล้วชื่นชม “ความสวย”
แต่เมื่อได้อ่าน “การเมืองและสังคมในศิลปสถาปัตยกรรม สยามสมัย ไทยประยุกต์ชาตินิยม” แล้ว ความรู้ที่ได้รับได้เพิ่มรสชาติให้สมอง
เวลาชมเมืองและสิ่งปลูกสร้างจะสัมผัสได้ถึง “ความงาม”
หนังสือเล่มนี้เขียนโดย ชาตรี ประกิตนนทการ แห่งคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร
รับประกันคุณภาพด้วยคำนำเสนอของ สุจิตต์ วงษ์เทศ
การันตีด้วยถ้อยความว่า “การเมืองและสังคมในงานศิลปสถาปัตยกรรม สยามสมัย ไทยประยุกต์ ชาตินิยม จึงสมบูรณ์ครบถ้วนทุกประการในหนังสือเล่มนี้”
ความรู้ที่ได้รับจากหนังสือทำให้เราสนุกหากเดินทางผ่านสิ่งปลูกสร้างต่างๆ ที่มีบันทึกไว้ในหนังสือเล่มนี้
ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางในกรุงเทพฯ แวะเวียนไปอยุธยา หรือเดินทางไปเพชรบุรี หากได้ผ่านสิ่งปลูกสร้างเหล่านั้นจะซาบซึ้งถึงความงามของสถาปัตยกรรม
ความงามของสถาปัตยกรรมที่สะท้อนความคิดผู้คนในยุคสมัยนั้นๆ ออกมา
นับตั้งแต่ยุคเริ่มแรก ที่สิ่งปลูกสร้างอย่างวัดวาอารามใช้สถาปัตยกรรมที่อิงแอบความเชื่อแบบไตรภูมิ
เรียกว่าเป็นสถาปัตยกรรมตามแนวคิดแบบจารีต
อาทิ สร้างเจดีย์ทรงปรางค์ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของเขาพระสุเมรุ
ใครไปวัดอรุณราชวราราม จะเห็นพระปรางค์ที่สร้างขึ้นตามแนวคิดไตรภูมิอย่างชัดเจน
เช่นเดียวกับจิตรกรรมฝาผนังภายในพระอุโบสถวัดทองธรรมชาติ กรุงเทพฯ ที่จำลองจักรวาลทัศน์แบบไตรภูมิเอาไว้
แต่พอเข้าสู่รัชสมัยของรัชกาลที่ 3 รัชกาลที่ 4 และรัชกาลที่ 5 เมื่อต่างชาติตะวันออกตะวันตกเริ่มแผ่อิทธิพลเข้ามา จนสยามประเทศต้องปรับตัวให้เข้ากับโลก
สถาปัตยกรรมจึงมีการเปลี่ยนแปลง
ในสมัยรัชกาลที่ 3 วัดราชโอรสาราม ที่เป็นวัดประจำรัชกาลที่ 3 ออกแบบตกแต่งโดยมีสถาปัตยกรรมจีนเป็นส่วนผสม
ในสมัยรัชกาลที่ 4 การสร้างเจดีย์ใช้เจดีย์ทรงระฆังกลมเป็นประธานของวัดแทนเจดีย์ทรงปรางค์
เจดีย์ทรงปรางค์สะท้อนถึงแนวคิดไตรภูมิ แต่เจดีย์ทรงระฆังกลมสะท้อน “พุทธวจนะ” สอดรับกับแนวทาง “ธรรมยุติกนิกาย” เกิดขึ้นในช่วงปฏิรูปพระพุทธศาสนา
และนับแต่นั้นดูเหมือนว่าสถาปัตยกรรมต่างชาติโดยเฉพาะตะวันตกเริ่มปรากฏให้เห็นมากขึ้น
การตกแต่งในพระที่นั่งอนันตสมาคม หมู่พระอภิเนาว์นิเวศน์ได้ใช้สถาปัตยกรรมตะวันตกในการสร้างสรรค์
โรงกษาปณ์สิทธิการ ในพระบรมมหาราชวัง หรือหมู่อาคารภายในพระนครคีรี หรือเขาวัง ที่ จ.เพชรบุรี หรือพระตำหนักสวนกุหลาบ รวมไปถึงตึกกระทรวงกลาโหม สถานีรถไฟหัวลำโพง พระที่นั่งวิมานเมฆ
ล้วนใช้สถาปัตยกรรมแบบตะวันตก เพราะให้ชาวต่างชาติเห็นถึงความศิวิไลซ์
ได้อ่านหนังสือเล่มนี้แล้วอยากเห็นของจริง แม้หลายแห่งจะมีโอกาสได้เข้าไปชม แต่ยังไม่อิ่มเอิบกับสถาปัตยกรรมเท่านี้
สถาปัตยกรรมที่อิงแนวคิดห่างไกลจากจารีตมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงการประดับตกแต่งงานสถาปัตย์ทางศาสนา
ที่น่าสนใจคือการนำเอาลายเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ซึ่งเป็นแนวคิดรูปแบบหนึ่งของตะวันตก มาแทนดาวเพดานตามแนวคิดไตรภูมิ
ไม่ว่าจะเป็น พระอุโบสถวัดเทพศิรินทร์ วัดราชบพิธฯ ปราสาทพระเทพบิดร พระที่นั่งทรงผนวช วัดเบญจมบพิตร ต่างเปลี่ยนแปลงเพดานจากลายดาว ไปเป็นลายเครื่องราชฯ
เช่นเดียวกับลายหน้าบันที่นำตราพระราชลัญจกรประจำพระองค์มาประดับ อาทิ หน้าบันพลับพลาเปลื้องเครื่อง วัดราชบพิธฯ หน้าบันพระอุโบสถวัดเทพศิรินทร์
หรือการออกแบบผสมผสานทางสถาปัตยกรรมวัดราชบพิธฯ ที่ภายนอกเป็นแบบจารีต แต่ตกแต่งภายในใช้รูปแบบสถาปัตยกรรมโกธิค
แต่การเอาอย่างตะวันตกก็เกิดปัญหาว่าไทยไม่มีเอกลักษณ์ของตัวเอง จึงมีการรื้อฟื้นแนวคิดแบบจารีตกลับมาอีกครั้ง
กระทั่งเกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครอง สถาปัตยกรรมในยุคสมัยนั้นมีการเปลี่ยนแปลง โดยใช้สถาปัตยกรรมที่เรียกว่า สถาปัตยกรรมแบบทันสมัย
สถาปัตยกรรมแบบนี้มีลักษณะเส้นตรงไปตรงมาแบบกล่องสี่เหลี่ยม ไม่นิยมลวดลายตกแต่ง หลังคาเป็นทรงตัดหรือไม่ก็จะก่อเป็นแผงคอนกรีตขึ้นไปบังหลังคา นิยมสร้างตั้งแต่สมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม
อาคารสิ่งปลูกสร้างด้วยสถาปัตยกรรมแบบทันสมัยนี้ มีอาทิ อาคารที่ทำการกระทรวงยุติธรรม ตึกแถวริมถนนราชดำเนินกลาง ที่ทำการกรมไปรษณีย์โทรเลข บางรัก ที่ว่าการอำเภอบางเขน สนามกีฬาแห่งชาติศุภชลาศัย โรงแรมรัตนโกสินทร์ เป็นต้น
นอกจากนี้ ยังมีสถาปัตยกรรมไทยเครื่องคอนกรีตที่มีตัวอย่างให้เห็นที่วัดพระศรีมหาธาตุ บางเขน กทม. ซึ่งหลายคนคงเคยไปวัดนี้หลายครั้ง แต่ยังไม่เคยได้ชมกับสถาปัตยกรรมดังกล่าว
หากอ่านหนังสือเล่มนี้จบ รับรองว่าเมื่อไปเยือนวัดนี้ คงอดใจเหลือบสายตาดูและสังเกตสถาปัตยกรรมการก่อสร้างไม่ได้
นี่เป็นส่วนหนึ่งของหนังสือ “การเมืองและสังคมในศิลปสถาปัตยกรรม สยามสมัย ไทยประยุกต์ ชาตินิยม” เท่านั้น
การอ่านหนังสือเล่มนี้จะทำให้การมองทิวทัศน์รอบๆ ตัวแตกต่างจากเดิม
เพราะรอบๆ ตัวเราเต็มไปด้วยสถาปัตยกรรม
บ้างเป็นสถาปัตยกรรมรูปแบบจารีต บ้างเป็นสถาปัตยกรรมเชิงพุทธศาสนา หรือสถาปัตยกรรมผสมผสานกับจีน และสถาปัตยกรรมที่ผสมกับฝรั่งตะวันตก
อ่านหนังสือเล่มนี้แล้วเหมือนได้ปรุงรสชาติให้สมอง
หลายสถานที่ที่เคยไปแล้วรู้สึกเฉยๆ ไร้รสชาติ แต่เมื่อเติมความรู้ด้าน
สถาปัตย์ และประวัติศาสตร์เข้าไป หลายสิ่งที่เคยดูแล้วจืดชืด กลับมีรสชาติขึ้นมา
เป็นรสชาติที่เกิดจากความรู้ เป็นความรู้ที่ได้จากการอ่าน
การอ่านที่ทำให้สมองมีรสชาติ ปลุกให้ชีวิตมีสีสัน