ในรอบปีผ่านมา ในทุกๆ วัน “ประชาชื่นออนไลน์” ได้นำเสนอสกู๊ปเจาะลึกเรื่องราวและบทสัมภาษณ์ ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยสาระความรู้มากมาย รวมกว่า 500 เรื่อง
มีทั้งประเด็นทางการเมือง เศรษฐกิจ ศาสนา ศิลปะ ดนตรี วัฒนธรรม วิทยาศาสตร์ และการแพทย์ ซึ่งได้รับความสนใจจากผู้อ่านด้วยดีเสมอมา
ก่อนจะก้าวเข้าสู่ปีใหม่ “ประชื่นออนไลน์” ชวนย้อนอ่าน ย้อนดูเรื่องราวสุดฮอต ที่ถูกคลิกเข้าชมมากที่สุดในรอบปีพร้อมกันอีกครั้ง
เรื่องไหน ใครพลาด ตามอ่านตอนนี้ยังทัน!!
อันดับที่ 1 อุราภา วัฒนะโชติ ท้าพิสูจน์มหัศจรรย์ แค่ “เอ็กเซอร์ไซส์” ก็ถอดแว่นสายตาทิ้งได้
เป็นบทสัมภาษณ์ที่ท้าทายความมหัศจรรย์ของร่างกายมนุษย์ ที่มีกลไกสามารถฟื้นฟูตนเองได้ รวมถึงการฟื้นฟูดวงตา อุราภา วัฒนะโชติ ผู้เขียนหนังสือ “สายตาดีด้วยวิธีมหัศจรรย์” ผู้เชี่ยวชาญด้านการฟื้นฟูดวงตาด้วยวิถีธรรมชาติคนเดียวในประเทศไทย อธิบายถึงการ ฟื้นฟูดวงตาด้วยวิถีธรรมชาติ (Natural Vision) ไม่ว่าจะสายตาสั้น สายตายาว สายตาเอียง สายตาแก่ หรือสายตาขี้เกียจ ตาเข ตาเหล่ สามารถ “ถอดทิ้ง” แว่นตา กลับมามีการมองเห็นที่ดีได้โดยไม่ต้องใช้ยา ไม่ต้องผ่าตัด (คลิกอ่านฉบับเต็ม)
อันดับที่ 2 ‘ไตวาย-ตายไว’ใครว่ากินเค็มอย่างเดียว เตือนหนุ่มสาว-เด็ก 7พฤติกรรมเสี่ยง’ไตพัง’ไม่รู้ตัว
คนส่วนใหญ่มักเข้าใจกันว่า สาเหตุของ “โรคไต” มาจากการ “กินเค็ม” เพียงอย่างเดียว แต่ความจริงแล้วยังมีปัจจัยอีกหลายอย่าง ”กินหวาน” ก็ใช่ กิน ของมัน รวมทั้งพฤติกรรมของคนเมืองที่ ทำงานหนัก พักผ่อนน้อย เครียด ทั้งยัง ไม่ออกกำลังกาย เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ความดันโลหิตสูง อันเป็นจุดตั้งต้นของโรคไต ด้วยกันทั้งนั้น
“ความเค็มไม่ใช่ปัจจัยหลัก แต่เป็นปัจจัยเกื้อหนุน ที่ปัจจุบันคนเป็นโรคไตมากขึ้นเพราะพฤติกรรมการกินอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรต หวานจัด เค็มจัด มันจัด ไม่ได้ออกกำลังกาย และการทำงานที่ยาวนานขึ้น ตื่นตี 4-5 กลับถึงบ้านสองทุ่ม ความเครียดด้วย ทำให้ความดันขึ้น เบาหวานขึ้น อีกประการคือ คนมีความตระหนัก มีการตรวจร่างกายมากขึ้น จึงรู้ว่าเป็นโรคไตกันมากขึ้น” (คลิกอ่านฉบับเต็ม)
อันดับที่ 3 เปิดเรื่องจริง “สุนทรภู่” ที่ครูไม่เคยสอน จากข้อมูลอีกด้าน หลักฐานอีกมุม !
เรื่องของ “สุนทรภู่” เป็นเรื่องที่คนไทยรับรู้และท่องจำกันมาตั้งแต่อยู่ชั้นเรียนนั้น บางประเด็นก็เป็นข้อมูลเก่าที่ถูกผลิตซ้ำ ส่วนบางประเด็นก็ยังเป็นที่ถกเถียงว่าจริงหรือมั่ว ชัวร์หรือมโน
“มติชน” ไขข้อขัองใจในข้อถกเถียง เผยความจริงว่า สุนทรภู่ไม่ได้มีอาชีพกวี และเมืองแกลง ไม่ใช่บ้านเกิดของสุนทรภู่
รวมถึงเสียงอธิบายเสียงเล่าลือที่ว่าสุนทรภู่ ขี้เมา จริงหรือไม่ (คลิกอ่านฉบับเต็ม)
อันดับที่ 4 รัตนา แซ่เล้า อำนาจนิยมใน’การศึกษาไทย’ สังคมที่กล่อมให้คนเชื่อง
คงไม่เป็นการเกินเลยหากจะบอกว่า หนึ่งในปัญหาที่เรื้อรังและยาวนานมากที่สุดประเด็นหนึ่งของประเทศไทยคือ “การศึกษา”
ผ่านการพูดคุย ถกเถียง แลกเปลี่ยนมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง เพื่อจะพบว่าเรายังยืนอยู่ที่เดิม หรืออาจขยับก้าวขึ้นมาไปยืนในจุดที่ผิดเพี้ยนไปจากทางที่ควรจะเป็น ดร.รัตนา แซ่เล้า อาจารย์ประจำวิทยาลัยนานาชาติปรีดี พนมยงค์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ คือหนึ่งในผู้ที่เห็นปมปัญหาเหล่านี้อย่างชัดเจนมากที่สุดคนหนึ่ง ได้วิเคราะห์ไว้ในบทสัมภาษณ์นี้ตอนหนึ่งว่า
“เด็กไทยมีพลัง มีความคิดสร้างสรรค์ อยากพัฒนาตัวเองสูงมาก แต่ความสิ้นหวังคือสถาบันการศึกษาไทย ไม่ว่าจะโรงเรียน มหาวิทยาลัย กระทรวงศึกษาธิการ เพราะอำนาจนิยมในทุกระดับ ผู้ใหญ่จะมองว่าความเป็นเด็กนั้นโง่เสมอ เด็กไม่ได้โง่ เขาไร้เดียงสา แต่นโยบายไทยพูดตลอดเวลาว่า Ranking เราต่ำ มหาวิทยาลัยไทยแย่ ภาษาอังกฤษเราต่ำในอาเซียน แปลว่าเด็กไทยโง่ภาษาอังกฤษ คำพูดเหล่านี้ควรจะเลิกนะคะ เพราะการด่าคนอื่นว่าโง่นั้นลิดรอนสิทธิเสรีภาพของความเป็นคน เด็กจะโตมาได้อย่างไรถ้าเขารู้สึกว่าเขาโง่ คนทุกคนต้องการแรงใจ จะได้มีความตั้งใจเรียนกับทำกิจกรรม” (คลิกอ่านฉบับเต็ม)
อันดับที่ 5 ‘สงกรานต์’ไม่ใช่ปีใหม่ไทย ‘สาดน้ำ’ไม่ได้มาจากอินเดีย
ประเพณีสงกรานต์ตามความเข้าใจของคนไทยส่วนใหญ่คือวันขึ้นปีใหม่ไทย เป็นประเพณีอันเป็นเอกลักษณ์ของชาติ ซึ่งเป็นความเข้าใจจากข้อมูลในหนังสือเรียนและการประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวที่มองข้ามข้อมูลหลักฐานและการศึกษาวัฒนธรรมของประเทศเพื่อนบ้าน
แท้จริงแล้วสงกรานต์เป็นวัฒนธรรมร่วมรากอุษาคเนย์ ไทย กัมพูชา พม่า ลาว และยังพบในบางกลุ่มชนในเขตจีนตอนใต้
โดย ผศ.พิพัฒน์ กระแจะจันทร์ ร่วมกับคณะศิลปศาสตร์ ม.มหิดล และสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ ร่วมกันถกประเด็น “สาดน้ำสงกรานต์ วัฒนธรรมร่วมรากเอเชีย” เพื่อเสริมการเรียนรู้ให้สังคมที่ต้องทำความเข้าใจ (คลิกอ่านฉบับเต็ม)
อันดับที่ 6 คุยกับ “สุขุม นวลสกุล” เส้นทาง “นักพูด” และปมดราม่า “เบส อรพิมพ์”
เป็นอีกประเด็นร้อนแรงที่เกิดขึ้นในปี 2559 สำหรับกรณีดราม่าของ อรพิมพ์ รักษาผล หรือ เบส อรพิมพ์ นักพูดชื่อดัง
จุดเริ่มต้นจากวีซ่าไม่ผ่าน นำไปสู่การแชร์ต่อคลิปที่มีการพูดพาดพิง “คนอีสาน” จนทำให้เกิดความไม่พอใจขยายวงกว้างลุกลามเป็นเรื่องใหญ่โต ขุดลึกไปถึงการทำงานให้กับกองทัพ
ถึงเเม้ เบส อรพิมพ์ จะออกมาชี้เเจงตอบคำถามหลายประเด็นพร้อมกล่าวขอโทษคนภาคอีสานทุกคน แต่กระเเสโจมตียังคงมีมาให้เห็นอย่างต่อเนื่อง
“มติชน” เจาะลึกประเด็นที่เกิดขึ้น โดยได้พูดคุยกับ รศ.สุขุม นวลสกุล นักพูดผู้คร่ำหวอดอยู่ในวงการมายาวนาน ยังเป็นนักวิชาการที่หลายคนคุ้นหน้าคุ้นตาเป็นอย่างดี ถึงปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น ว่าเป็นความผิดพลาดของ “นักพูด” หรือเป็นเรื่องปกติที่ “นักพูด” หลายคนเคยเจอ (คลิกอ่านฉบับเต็ม)
อันดับที่ 7 “ถังแดง”บทเรียนจากความตาย จุฬารัตน์ ดำรงวิถีธรรม “ถีบลงเขา เผาลงถังแดง”
บทสัมภาษณ์ของ จุฬารัตน์ ดำรงวิถีธรรม พูดถึงหนังสือเล่มล่าสุดเรื่อง “ถังแดง : การซ่อมสร้างประวัติศาสตร์และความทรงจำหลอนในสังคมไทย” ที่ตีพิมพ์กับสำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งดัดแปลงจากวิทยานิพนธ์ เมื่อครั้งศึกษาปริญญาโทที่ภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ภายหลังจากจบปริญญาตรีคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
เหตุการณ์ “ถังแดง” เกิดช่วงสงครามเย็น เมื่อเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงเข้าปราบปรามแนวร่วมพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) ช่วงทศวรรษ 2510 ในภาคใต้ก็นำโมเดลการปราบปรามอย่างรุนแรงมาใช้ โดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดพัทลุงและพื้นที่ใกล้เคียง ตรัง นครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี ซึ่งเป็นเขตเคลื่อนไหวของ พคท.
เผาลงถังแดง คือ การนำคนใส่ถังน้ำมันพร้อมเชื้อเพลิง เผาทั้งที่เสียชีวิตและยังมีชีวิต ซึ่งวิธีนี้จะทิ้งร่องรอยไว้น้อยมาก เหตุการณ์นี้รุนแรงขึ้นมาในช่วงปี 2514 จนถึงก่อน 14 ตุลาคม 2516 ก่อนที่รัฐจะเปลี่ยนไปใช้การปราบปรามวิธีการอื่นๆ เมื่อมีผู้เข้าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์มากขึ้น (คลิกอ่านฉบับเต็ม)
อันดับที่ 8 อันเนื่องมาจาก ‘ศึกชิงกุ้ง’ ทัวร์จีนและการปะทะกันของวัฒนธรรม
ภาพนักท่องเที่ยวจีนช่วงชิงกุ้งในภัตตาคารแห่งหนึ่งที่ปรากฏในวิดีโอคลิปเมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมานั้น พูดกันตามตรงแล้วไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับคนไทยอีกต่อไป-แต่ถามว่าดู ‘เซอร์เรียล’ ไหม คงต้องตอบว่า สำหรับบางคนแล้ว พฤติกรรมหลายอย่างของนักท่องเที่ยวจีน ทั้งการพูดจา, การต่อแถว ไปจนกระทั่งการเข้าห้องน้ำ ล้วนเป็นเรื่องที่ ‘เหนือจริง’ ในความรู้สึกประมาณหนึ่ง
มากน้อยคงไม่คิดว่าจะได้เห็นใครชิงกุ้งกันดุเดือดปานนั้น
แต่จีนย่อมไม่ใช่ชนชาติเดียวที่ไปสร้างความกระอักกระอ่วนใจในต่างแดน เพราะที่ผ่านมาปฏิเสธได้หรือว่าชาติอื่นๆ หรือแม้แต่คนไทยในต่างบ้านต่างเมือง ไม่เคยทำอะไรที่ขัดต่อวัฒนธรรมและสังคมของพื้นที่นั้นๆ
คงไม่เป็นการเกินเลยนักหากจะพูดได้ว่า มองให้ลึกลงไปกว่าฟุตเทจที่ปรากฏบนวิดีโอซึ่งแพร่กระจายอยู่ในโลกออนไลน์ นี่ย่อมเป็นเรื่องของการปรับตัว การใช้ชีวิต ไปจนถึงสภาพแวดล้อมและสังคมซึ่งแตกต่างกันของแต่ละแห่ง
และใช่ไหม ว่านี่อีกเช่นกัน ที่ย่อมเป็นเรื่องที่เราสมควรจะทำความเข้าใจไว้ ในวันที่ยังต้องรับแขกบ้านแขกเมือง และไปเป็นแขกในบ้านอื่นเมืองอื่นอยู่เช่นนี้ (คลิกอ่านฉบับเต็ม)
อันดับที่ 9 หลากปริศนา’พระนเรศวร’ คำถามคาใจและแบบเรียนไทยที่ (ยัง) ไม่ยอมเปลี่ยน?
เริ่มตั้งแต่พระนามที่คนไทยติดปากว่า พระนเรศวร ก็อาจคลาดเคลื่อน เพราะพงศาวดารไทยมากมายซึ่งถูกชำระในยุคต้นรัตนโกสินทร์ออกพระนามว่า “พระนเรศวร” แต่หลักฐานร่วมสมัยในยุคนั้นล้วนออกพระนามว่า “พระนเรศ” สอดคล้องกันกับหลักฐานพม่า
มาถึงการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ที่เด็กไทยทุกคนได้ร่ำเรียนตั้งแต่เยาว์วัย ก็เต็มไปด้วย “ถ้อยคำ” ที่ชวนตั้งคำถามถึง ดังเช่น แบบเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 กลุ่มสาระการเรียนรู้ สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ.2551 บทที่ 7 และ 8 ซึ่งมีข้อความระบุว่า “คนไทย (สมัยอยุธยา) ไม่ชอบพม่า” จึงทำให้สงสัยว่าทราบได้อย่างไร? มีหลักฐานเอกสารใดที่บอกเช่นนั้น
คนเขียนแบบเรียนไทย ไม่ได้สนใจคำถามพวกนี้เท่าไหร่ ไม่ได้สนใจการนิยามความหมาย จึงใช้มาอย่างนี้ 20-30 ปี หรือส่วนที่บอกว่า ความสัมพันธ์ระหว่างอยุธยากับพม่า อยู่ในลักษณะแข่งอำนาจกัน เพื่อครองดินแดนสุโขทัย ล้านนาและหัวเมืองมอญ เมื่อใดที่พม่าเข้มแข็งจะเป็นฝ่ายมารุกรานอยุธยา ถามว่าเราไม่เคยไปรุกรานเขาเลยหรือ?
เป็นการตั้งคำถามของ สุเจน กรรพฤทธิ์ ผู้เขียนหนังสือ “จากเวียงจันทน์สู่เวียงแหง ตามรอยนเรศวรมหาราช นอกกรอบประวัติศาสตร์ชาตินิยม” ในตอนหนึ่งของสกู๊ปประชาชื่น ที่บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับกรุงศรีอยุธยา ที่ชวนให้เดินก้าวข้ามผ่านกรอบแนวคิดเดิมๆ แล้วค้นหาคำตอบใหม่ๆ อย่างไม่หยุดยั้ง (คลิกอ่านฉบับเต็ม)
อันดับที่ 10 “9 เรื่องน่ารู้ใน พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ”
ภายหลังจากการเผยแพร่ข่าวที่คนไทยทั่วแผ่นดินไม่อยากได้ยินที่สุด ความเศร้าโศกเสียใจก็ถั่งโถมทั่วนครเมื่อทราบว่า พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เสด็จสวรรคตเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 13 ตุลาคม พ.ศ.2559
สิ่งที่คนไทยทำได้นอกจากร่วมใจแสดงความอาลัยแล้วคือการน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของรัชกาลที่ 9 ที่พระองค์ทรงงานเพื่อแผ่นดินไทยมากว่า 70 ปี
9 เรื่องที่เสนอต่อจากนี้เป็นเกร็ดสาระที่หยิบขึ้นมาจากนับร้อยนับพันเรื่อง อันเป็นสิ่งที่น่าจะทำให้พสกนิกรย้อนรำลึกถึงเรื่องราวที่น่าจดจำที่เกิดขึ้นในรัชสมัยของพระองค์ ในวาระที่ปวงชนชาวไทยน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่าน (คลิกอ่านฉบับเต็ม)