ศูนย์เถรวาทไทยอยู่อโยธยา
แผ่ขึ้นสุโขทัยถึงลุ่มน้ำโขง
รายงานโดย ผู้สื่อข่าวพิเศษ “ทอดน่องท่องเที่ยว”
ศาสนาพุทธ เถรวาท แบบลังกา มีศูนย์กลางครั้งแรกอยู่อโยธยา แล้วแผ่ไปทั่วภูมิภาค ได้แก่ สุโขทัย, นครศรีธรรมราช, เวียงจันท์, ร้อยเอ็ด, นครพนม เป็นต้น
เมืองอโยธยามีกำเนิดและเติบโตเป็นรัฐใหญ่ ด้วยชนชั้นนำนับถือศาสนาพุทธ เถรวาท แบบลังกา
เถรวาท แบบลังกา แผ่ถึงลุ่มน้ำเจ้าพระยา หลัง พ.ศ. 1600
อโยธยา เป็นศูนย์กลางเถรวาท แบบลังกา มีวัดต่างๆ ได้แก่ (1.) วัดใหญ่ชัยมงคล (2.) วัดพนัญเชิง (3.) วัดเดิม (อโยธยา) (4.) วัดกุฎีดาว (5.) วัดสมณโกฏ (6.) วัดมเหยงคณ์(7.) วัดธรรมิกราช (8.) วัดขุนเมืองใจ และ ฯลฯ
โครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูง กำลังทำลายเมืองอโยธยา ศูนย์กลางเถรวาทไทย
เถรวาทไทย เมืองอโยธยา มีลักษณะดังนี้
ชาวเมือง นับถือผี ปน พุทธเถรวาท
ราชสำนัก นับถือผี–พุทธเถรวาท และพราหมณ์–ฮินดู ยกย่องรามเกียรติ์ (เช่นเดียวกับลังกา นับถือทศกัณฐ์) สืบเนื่องถึงอยุธยา พบหน้าบันตามวัดต่างๆ นิยมทำรูปนารายณ์ทรงครุฑ
ลุ่มเจ้าพระยา ติดต่อลังกาตั้งแต่ทวารวดี ไม่ใช่เพิ่งติดต่อ มีหลักฐานพบจารึกหลายหลัก (1.) จารึกขอบวงล้อธรรมจักร เมืองอู่ตะเภา อ. มโนรมย์ จ. ชัยนาท (2.) จารึกเนินสระบัว อ. ศรีมโหสถ จ. ปราจีนบุรี (3.) พระพุทธบาทคู่ แบบลังกา อ. ศรีมโหสถ จ. ปราจีนบุรี (4.) จารึกถ้ำนารายณ์ กล่าวถึงอนุราธ อ. พระพุทธบาท จ. สระบุรี (5.) ธรรมจักร จ. นครปฐม มีจารึกเกี่ยวข้องเมืองลังกา (6.) จารึก “เย ธมฺมา” ภาษาบาลี แบบลังกา
เถรวาท คืออะไร?
นักปราชญ์ทางศาสนาอธิบายเรื่องเถรวาท ดังนี้
เถรวาท “วาทะของพระเถระ” (หมายถึงพระเถระผู้รักษาธรรมวินัยนับแต่ปฐมสังคายนา),
พระพุทธศาสนาที่สืบมาแต่ยุคแรกสุด ซึ่งถือตามหลักธรรมวินัยที่พระอรหันตเถระ 500 รูป ได้ประชุมทำสังคายนาครั้งแรกรวบรวมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าวางเป็นแบบแผนไว้เมื่อ 3 เดือนหลังพุทธปรินิพพาน
ได้แก่พระพุทธศาสนาอย่างที่นับถือแพร่หลายในประเทศไทย พม่า ลังกา ลาว และกัมพูชา บางทีเรียกว่าพุทธศาสนาแบบดั้งเดิม
และเพราะเหตุที่แพร่หลายอยู่ในดินแดนแถบใต้ จึงเรียกว่าทักษิณนิกาย (นิกายฝ่ายใต้)
[จากหนังสือ พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ ของ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต) [พิมพ์ครั้งที่ 11/2 พ.ศ. 2551 หน้า 123, 305-306, 469-470]
เถรวาทไทย รับนิยาม “วาทะของพระเถระ” แล้วดัดแปลงให้หมายถึงวาทะของครูบาอาจารย์
ระบบการศึกษาสมัยใหม่ของไทย รับแนวคิดจากเถรวาทไทย ใช้ชื่อ “กระทรวงธรรมการ” (ปัจจุบันเปลี่ยนเป็นกระทรวงศึกษาธิการ) แต่ปรับเป็นคำสอนของครูบาอาจารย์ ห้ามคิดต่าง เพราะถือเป็นถูกต้อง “ยุติ” แล้ว นักเรียนนักศึกษามีหน้าที่ “ท่อง” และ “จำ” เป็นต้นตอของ “ท่องอาขยาน”
นักเรียนนักศึกษาที่คิดต่างจะถูกประณามว่า “แหกคอก”, “นอกครู” หนักข้อสุดคือ “ลูกศิษย์คิดล้างครู”
ในโลกสากล ครูต้องกระตุ้นให้นักเรียนนักศึกษาคิดต่าง แล้วหนักข้อกว่านั้นให้ “ขบถ” ต่อข้อมูลความรู้กระแสหลักอย่างมีข้อมูลใหม่แข็งแรง ซึ่งพบร่องรอยในคำสอนของพุทธองค์ คือกาลามสูตร แต่การศึกษาไทยไม่ยกย่อง
กาลามสูตร (เรียกอีกอย่างว่า เกสปุตตสูตร) คือ พระสูตรที่พระโคตมพุทธเจ้าทรงแสดงแก่ชาวกาลามะ หมู่บ้านเกสปุตตนิคม แคว้นโกศล
กาลามสูตรเป็นหลักแห่งความเชื่อที่พระพุทธองค์ทรงวางไว้ให้แก่พุทธศาสนิกชน ไม่ให้เชื่อสิ่งใด ๆ อย่างงมงายโดยไม่ใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็นจริงถึงคุณโทษหรือดีไม่ดีก่อนเชื่อ มีอยู่ 10 ประการ ได้แก่
1. อย่าเพิ่งเชื่อเพราะฟังตามกันมา 2. อย่าเพิ่งเชื่อเพราะถือสืบกันมา 3. อย่าเพิ่งเชื่อเพราะข่าวเล่าลือ 4. อย่าเพิ่งเชื่อเพราะมีในตำรา 5. อย่าเพิ่งเชื่อเพราะตรรกะ 6. อย่าเพิ่งเชื่อเพราะอนุมาน 7. อย่าเพิ่งเชื่อเพราะลักษณะอาการที่ปรากฏ 8. อย่าเพิ่งเชื่อเพราะตรงกับความคิดของตน 9. อย่าเพิ่งเชื่อเพราะดูน่าเชื่อถือ 10. อย่าเพิ่งเชื่อเพราะเป็นครูของตน
เมื่อใดสอบสวนจนรู้ได้ด้วยตนเองว่า ธรรมเหล่านั้นเป็นอกุศลหรือมีโทษเมื่อนั้นพึงละเสีย และเมื่อใดสอบสวนจนรู้ได้ด้วยตนเองว่า ธรรมเหล่านั้นเป็นกุศลหรือไม่มีโทษ เมื่อนั้นพึงถือปฏิบัติ
ผู้มีบุญ, ชาตินี้–ชาติหน้า
เถรวาทไทย เมืองอโยธยา มีคำสอนเป็นพลังดึงดูดการเคารพนับถือจากคนจำนวนมาก ด้วยเหตุหลายอย่าง ดังนี้
1. คำสอนเรื่องผู้มีบุญ, ชาตินี้–ชาติหน้า
กำเนิดคนเท่าเทียมกัน แต่เติบโตไม่เท่าเทียม เพราะขึ้นกับการกระทำก่อนเกิด หมายถึง “ชาติก่อน”
คนมีอำนาจวาสนาทรัพย์สินมั่งคั่งชาตินี้ เพราะทำบุญสั่งสมไว้มากในชาติก่อน เมื่อตายเรียก “สิ้นบุญสิ้นวาสนา”
คนทั่วไปยากจน ทำบุญไม่มาก ต้องชดใช้เวรกรรมทำไว้ เมื่อตายเรียก “สิ้นเวรสิ้นกรรม”
ถ้าต้องการสุขสบายให้ทำบุญสั่งสมไว้ อาจมีผลในชาตินี้หรือชาติหน้า
ชาดก เน้นทานบารมีของพระเวสสันดร กัณฑ์ที่ 2 กัณฑ์หิมพานต์
พระเวสสันดรประทานช้างปัจจัยนาเคนทร์ ให้แก่พราหมณ์จากเมือง กลิงคราษฎร์ที่กำลังประสบปัญหาฝนแล้ง ส่งผลให้พระเวสสันดรต้องถูกเนรเทศออกจากเมือง โดยมีนางมัทรี พระกัณหา และพระชาลี ติดตามไปด้วย
ปัจจุบัน เน้นประชาสงเคราะห์ “ทำบุญเอาหน้า” แจกของให้คนรับยกมือไหว้ด้วยสำนึกในบุญคุณ เท่ากับ “ทวงบุญคุณ”
สร้างวัด (ให้ลูกเล่น) เรี่ยไร รีดเงินจากคนจนสร้างโบสถ์ขนาดมหึมา
2. เปิดทางสามัญชนเป็นกษัตริย์
พ่อค้าและสามัญชนรวมทั้งผู้พิกลพิการเข็ญใจที่ทำบุญ เป็นผู้มีบุญ ได้รับยกย่องเป็นพระราชามหากษัตริย์
เข้ากันได้กับความรุ่งเรืองของการค้าสำเภากับจีนที่สร้างผลกำไรให้เจ้านาย, ขุนนาง, ข้าราชการ, และพ่อค้าเชื้อสายจีน ฯลฯ มีเรื่องเล่าในพงศาวดารเหนือ ได้แก่ (1.) พระยาแกรก [เมืองพระตะบอง (กัมพูชา) มีเรื่องเล่าท้าวโคตรบอง ตรงกัน] (2.) พระเจ้าสายน้ำผึ้ง (3.) ท้าวอู่ทอง
ประชาชนยอมสยบต่อผู้เป็นนาย [ภาพลายเส้นโดยชาวยุโรป สมัย ร.5 จาก Temples and Elephants : the narrative of a journey of exploration through upper Siam and Lao. Carl Bock. White Orchid Press, 1985.]
3. ผดุง (ค้ำจุน) อำนาจของชนชั้นปกครอง
คำสอนเรื่องผู้มีบุญ,ชาตินี้–ชาติหน้า เท่ากับผดุงค้ำจุนอำนาจชนชั้นปกครอง
1. ประชาชนยอมสยบต่ออำนาจวาสนาของชนชั้นปกครอง
2. ยอมจำนนต่อฐานะอันต่ำต้อยของตน ว่าเป็นเพราะทำบุญไว้น้อย จึงไม่แข็งข้อต่อชนชั้นปกครอง
วัดมเหยงคณ์ อโยธยา
วัดใหญ่ชัยมงคล อโยธยา
วัดอโยธยา (วัดเดิม)
ศาสนามวลชน
เถรวาท แบบลังกา เมื่ออยู่เมืองอโยธยา เรียก “เถรวาทไทย” เป็นศาสนามวลชน
เผยแผ่ด้วยภาษาไทย ไปทั่วประเทศ ถึงลุ่มน้ำโขง
[ขณะเดียวกันทางกลุ่มเกาะมีศาสนาอิสลามเป็นศาสนามวลชน]
1. เริ่มแต่งตำนานเลียนแบบมหาวงศ์ (พงศาวดารลังกา) เช่น มูลศาสนา, ชินกาลมาลีปกรณ์, รัตนพิมพวงศ์ (ตำนานพระแก้วมรกต) ฯลฯ และอุรังคธาตุ
2. สวดพระมาลัยงานศพ ได้ต้นฉบับจากลังกา (ปัจจุบันสวดพระอภิธรรม)
3. สวดมหาชาติ (พัฒนาต่อไปเป็น เทศน์มหาชาติ)
นิธิ เอียวศรีวงศ์ บอกว่า เถรวาทแบบลังกา เป็นศาสนามวลชน เผยแผ่โดยใช้ภาษาไทย
[บทความเรื่อง “ข้อเสนอสังเขปประวัติศาสตร์แห่งชาติ” ของ นิธิ เอียว ศรีวงศ์ ในหนังสือประวัติศาสตร์แห่งชาติ “ซ่อม” ฉบับเก่า “สร้าง” ฉบับใหม่ (สุจิตต์ วงษ์เทศ บรรณาธิการ) กระทรวงวัฒนธรรม พิมพ์เมื่อ พ.ศ. 2551]
การเข้ามาของศาสนามวลชน ได้แก่ พระพุทธศาสนา เถรวาทสํานักลังกา และศาสนาอิสลาม
ความแตกต่างที่สําคัญของศาสนาทั้งสอง ก็คือแพร่กระจายไปถึงคนธรรมดาแม้ในชนบทห่างไกล เพราะมีผู้สอนศาสนาที่เป็นพระภิกษุหรือเป็นผู้รู้ที่เข้าไปถึงหมู่บ้าน หรือจัดตั้งองค์กรทางศาสนาในหมู่บ้านโดยตรง
ฉะนั้นศาสนาที่มีลักษณะมวลชนดังกล่าว จึงกลายเป็นปัจจัยสําคัญที่สุดในการประสานสังคมที่มีความหลากหลายให้ลงรอยกันได้อย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน บทบาทของผู้ปกครองในฐานะผู้ปกป้องคุ้มครองศาสนายิ่งมีความสําคัญทางการเมืองมากขึ้น
เช่นเดียวกับประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาก่อนหน้า เมืองใหญ่ๆ ภายใต้พระราชอํานาจกลายเป็นศูนย์กลางการศึกษาศาสนาที่มีชื่อเสียงกว้างไกล ดึงดูดเอานักศึกษาจากดินแดนห่างไกลให้เข้ามาเรียนรู้ เช่น หริภุญชัย, เชียงใหม่, ละโว้, กรุงศรีอยุธยา, นครศรีธรรมราช และปัตตานี เป็นต้น
พัฒนาการขององค์กรศาสนาพุทธสํานักลังกา กับอิสลามในประเทศไทย แตกต่างกัน
เขตที่พระพุทธศาสนาแพร่หลาย องค์กรศาสนารอรับการอุปถัมภ์และปกป้องโครงสร้างอํานาจภายในของตัวจากพระราชอํานาจเสียจนกระทั่งกษัตริย์ของรัฐต่างๆ สามารถควบคุมดูแลองค์กรคณะสงฆ์ได้ในระดับสูง
เขตที่ศาสนาอิสลามแพร่หลาย ศาสนาอิสลามไม่มีองค์กรศาสนาที่เป็นทางการ แต่ครูสอนศาสนาและผู้นําศาสนาอาจสร้างเครือข่ายของตนเองขึ้นได้ เช่น
ศิษย์ของครูผู้มีชื่อเสียงอาจตั้งสํานักศึกษาของตนเองขึ้นอย่างกว้างขวาง โดยต่างก็ถือว่าร่วมอยู่ในเครือข่ายของสํานักศึกษาศูนย์กลางของอาจารย์
ครูและผู้นําทางศาสนาได้รับการอุปถัมภ์โดยตรงจากชาวบ้าน (เหมือนพระภิกษุในชนบทของเขตพระพุทธศาสนา แม้กระนั้นก็ยังต้องอิงอาศัยแหล่งเรียนรู้จากศูนย์กลางการศึกษาซึ่งอยู่ภายในพระบรมราชูปถัมภ์อยู่ดี) จึงไม่ตกอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของสุลต่าน ในหลายครั้งก็มีบทบาทเป็นผู้ถ่วงดุลอํานาจของผู้มีอํานาจทางการเมืองด้วย ไม่ว่าจะเป็นสุลต่านหรืออํานาจของคนนอกศาสนาที่เข้ามายึดครอง
การขยายตัวของภาษาไทยและภาษามลายู
ผู้เผยแผ่พระพุทธศาสนาสํานักลังกา ตัดสินใจใช้ภาษาไทยเป็นภาษากลางสําหรับการเผยแผ่ อย่างน้อยในลุ่มน้ำเจ้าพระยาทั้งตอนบนและตอนล่าง จึงยิ่งทําให้ภาษาไทยกลายเป็นภาษากลางของคนหลากหลายชาติพันธุ์ในดินแดนแถบนี้มากขึ้น
ในอยุธยา ราชสํานักอาจใช้ภาษาเขมร แต่เมื่อไรที่เป็นเอกสารสําหรับอ่านกันในวงกว้างกว่าชนชั้นสูง เช่น โองการแช่งน้ำ หรือกฎหมาย หรือจารึกแสดงบุญญาบารมีของผู้สร้างศาสนสถาน ก็ใช้ภาษาไทย
รวมทั้งเอกสารที่เกี่ยวกับศาสนาด้วย เช่น จารึกที่เกี่ยวกับศาสนา รวมไปถึงวรรณกรรมศาสนา เช่น มหาชาติคําหลวง เป็นต้น
เช่นเดียวกับเวียงจันท์, หลวงพระบาง และเชียงใหม่ ซึ่งผลิตกฎหมาย ในระยะเริ่มต้นด้วยภาษาไท–ไตเช่นกัน
เช่นเดียวกับผู้เผยแผ่ศาสนาอิสลาม เพราะภาษามลายูถูกใช้อย่างกว้างขวางอยู่แล้ว ภาษามลายูจึงถูกนํามาใช้สําหรับการเผยแผ่ศาสนาเช่นกัน วรรณกรรมทางศาสนาซึ่งเขียนขึ้นในระยะแรกๆ แม้แต่ที่เขียนในรัฐที่ไม่ได้ใช้ภาษามลายูก็ยังเป็นภาษามลายู
สถานะของภาษาไทยและภาษามลายู ความสัมพันธ์กับศาสนาใหม่นี้ ทําให้สถานะของภาษาทั้งสองสูงขึ้นในสังคม เพราะภาษาทั้งสองถูกนําไปใช้เขียนวรรณกรรมหลากหลายประเภทมากขึ้นนอกจากศาสนา จนทําให้ภาษาอื่นๆ ในคาบสมุทรมลายูและในดินแดนที่เป็นประเทศไทยถูกภาษาทั้งสองเข้าไปแทนที่ในแทบทุกเรื่อง
ศาสนามวลชนที่เหมือนกัน และการร่วมใช้ภาษากลางที่ใกล้เคียงกันเช่นนี้ ทําให้เกิดภาพของความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันขึ้นในหมู่ประชากร ซึ่งในความเป็นจริงแล้วมีความหลากหลายทางชาติพันธุ์และวัฒนธรรมอย่างสูง