ที่มา | มติชนรายวัน |
---|---|
ผู้เขียน | นฤตย์ เสกธีระ [email protected] |
เผยแพร่ |
วันที่ 9 มกราคมที่ผ่านมา ที่มติชนคลาคล่ำไปด้วยมิตรภาพ
พื้นที่ห้องโถงชั้นหนึ่งอาคารสำนักงาน 9 ชั้นเนืองแน่น
ดูเหมือนว่าแต่ละคนจะใช้พื้นที่ดังกล่าวในการพูดคุยด้วยความคิดถึง
หัวข้อการสนทนามีทั้งเรื่องสารทุกข์สุกดิบ เรื่องการเมือง เศรษฐกิจ และเรื่องสังคม
เรื่องความเดือดร้อนจากน้ำท่วมภาคใต้ และอื่นๆ อีกมากมาย
บุคคลที่มามีทั้งอดีตนายกรัฐมนตรี อดีตรองนายกรัฐมนตรี อดีตรัฐมนตรี
รัฐมนตรี ปลัดกระทรวง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ อธิบดี อดีตข้าราชการชั้นผู้ใหญ่
สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ พรรคการเมือง ซีอีโอ นักธุรกิจ ฯลฯ
เงินบริจาคที่สนับสนุนโครงการ “แบ่งปันความรู้ เชิดชูศาสนา พัฒนาแหล่งน้ำลำคลอง” 2 ล้านกว่าบาท
ระหว่างงานได้รับซีดีบทเพลงพระราชนิพนธ์หลายเวอร์ชั่น
หนึ่งเป็นการจัดทำโดยบริษัทแกรมมี่ หนึ่งเป็น “รวมเพลงพระราชนิพนธ์ ชุดอนุรักษ์”
อีกหนึ่ง เป็นบทเพลงพระราชนิพนธ์ที่ “ชมรมภูมิพลังแผ่นดิน” รวบรวม
ได้ยินได้ฟังบทเพลงพระราชนิพนธ์ที่ได้รับแล้วปีติ
คิดถึงประโยคประทับใจจากภาพยนตร์ดังเรื่อง “พรจากฟ้า”
ดนตรีเป็นของทุกคน !
ภาพยนตร์ “พรจากฟ้า” เป็นของบริษัท GDH เผยแพร่ทั้งในโรงภาพยนตร์และทางสถานีช่อง ONE เมื่อช่วงสิ้นปีเก่ารับปีใหม่
เป็นภาพยนตร์ที่ดูแล้วสบายๆ แต่ได้แง่คิดหลากหลาย
รวมทั้งได้ฟังเพลงพระราชนิพนธ์ด้วย
ภาพยนตร์เรื่องนี้แบ่งเป็น 3 เรื่องเล็กผูกโยงด้วยสายใยเล็กๆ
จาก เรื่องแรก มีบทเพลงเด่นคือ บทเพลงพระราชนิพนธ์ “ยามเย็น”
บทเพลงที่รัชกาลที่ 9 ทรงพระราชนิพนธ์เมื่อปี 2489 เป็นบทเพลงพระราชนิพนธ์ลำดับที่ 2 ขณะยังทรงเป็นสมเด็จพระอนุชาธิราช
ตามมาด้วย เรื่องที่สอง มีบทเพลง “Still on my mind” บทเพลงพระราชนิพนธ์ลำดับที่ 37
รัชกาลที่ 9 ทรงพระราชนิพนธ์ใน พ.ศ.2508
และ เรื่องที่สาม มีบทเพลง “พรปีใหม่” เพลงพระราชนิพนธ์อันดับที่ 13 ทรงพระราชนิพนธ์ขึ้นในเดือนธันวาคม พ.ศ.2495
บทเพลงพระราชนิพนธ์ทั้ง 3 ในภาพยนตร์เรื่องนี้ บรรเลงโดยวงไทยแลนด์ฟีลฮาร์โมนิก ออเคสตรา หรือทีพีโอ
เป็นบทเพลงที่ประดุจ “พรจากฟ้า” แต่ขณะเดียวกันก็ให้ความรู้สึกว่าเป็นบทเพลงของคนทุกคน
ความรู้สึกดังกล่าวเกิดจากความคุ้นเคยในทำนองและเนื้อร้อง
ผนวกกับตัวแสดงที่เป็นนักดนตรีในเรื่อง…แต่ละคนไม่ใช่นักดนตรีอาชีพ
หากแต่เป็นใครก็ได้ที่ชอบดนตรี และสามารถเล่นดนตรีได้
แถมเวลาและสถานที่ก็เป็นอะไรก็ได้
ไม่ว่าจะเล่นในห้องซ้อม เล่นในห้องเก็บของ เล่นที่บันไดหนีไฟ เล่นในท้องทุ่ง
หรือจะเล่นในสถานที่โอ่โถงใดๆ ก็เล่นได้
ดนตรีเช่นนี้ถือเป็นของทุกคน
เป็นดนตรีที่แตกต่างจากอดีตซึ่งคนโบราณใช้สื่อสารกับเทพเจ้า
บ้างสวดมนต์ บ้างร้องเพลงโบสถ์ บ้างบรรเลงพิณ บ้างเป่าสังข์ ฯลฯ
ผู้บรรเลงเพลงเป็นมืออาชีพ คือ เป็นพราหมณ์บ้าง เป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านนี้โดยเฉพาะ
ดนตรีเป็นของศักดิ์สิทธิ์ และมีชั้นวรรณะ
ดนตรียามนั้น อยู่ไกลเกินเอื้อม เป็นดนตรีที่เคร่งขรึม น่าเกรงขาม
ดนตรีได้ผ่านใช้เวลานานในการขยับขยายจากศาสนสถานออกมาสู่สาธารณะ
เข้าสู่คฤหาสน์คหบดี เข้าสู่แวดวงสังคมชั้นสูง
เติบใหญ่ในท้องทุ่ง เป็นเสียงบรรเลงของท้องน้ำ ท้องทะเล
ดนตรีเป็นเครื่องปลุกใจของผู้ใช้แรงงาน
ดนตรีเข้าใกล้มวลชน เป็นดนตรีของสาธารณชน
ดนตรีได้ผ่านสภาวะทางสังคม และพิสูจน์ให้เห็นว่า มนุษย์มีความเสมอภาค
จากดนตรีคลาสสิก สู่บลูส์ แจ๊ซ ร็อก เรื่อยมาถึงบัดนี้
ดนตรีในปัจจุบันกลายเป็นเพื่อนของผู้ฟัง…กลายเป็นสมบัติของคนทุกคน
ทุกคนสามารถแต่ง สามารถบรรเลง สามารถขับร้อง และสามารถฟังดนตรีได้
ดนตรีกลายเป็นมิตร
เมื่อดนตรีกลายเป็นมิตร เวลาได้ใกล้ชิดก็รู้สึกอุ่นสบาย
ทำให้การฟังดนตรีมีความสุข
ฟังแล้วอบอุ่น ผ่อนคลาย และสนุกสนาน
ความรู้สึกของมิตรภาพเป็นเช่นนี้
บรรยากาศเมื่อวันที่ 9 มกราคม ที่มติชนก็เป็นเช่นนี้
อบอุ่น ผ่อนคลาย และสนุกสนาน
อยู่ร่วมงานในวันนั้นแล้วมีความสุข