ผู้เขียน | สุจิตต์ วงษ์เทศ |
---|
เครือญาติและเครือข่ายการค้า
ในประวัติศาสตร์ไทยและอุษาคเนย์
สุจิตต์ วงษ์เทศ
ไม่มีไทยแท้ เชื้อชาติไทย สายเลือดบริสุทธิ์ เพราะความเป็นคนไทยมาจากชาวสยามซึ่งเป็นลูกผสมหลายชาติพันธุ์ “ร้อยพ่อพันแม่” ในภูมิภาคอุษาคเนย์
รัฐบาลไทยควรสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในอุษาคเนย์ (SEA) ด้วยประวัติศาสตร์ความเป็นมาของคนไทยที่ผสมกลมกลืนจากทุกชาติพันธุ์ในอุษาคเนย์ (และในโลก) รวมทั้งวัฒนธรรมไทยก็เป็น “วัฒนธรรมร่วม” ของอุษาคเนย์
ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในประวัติศาสตร์อุษาคเนย์โบราณ ไม่ใช่ความสัมพันธ์เชิงอำนาจแบบล่าเมืองขึ้นที่หมายถึงทำสงครามยึดดินแดนฝ่ายตรงข้าม แล้วส่งคนของตนไปปกครองเมืองขึ้น
แต่ประวัติศาสตร์อุษาคเนย์โบราณ มีความสัมพันธ์ทางการเมืองแบบเครือญาติ หมายถึงเจ้าเมืองหนึ่งส่งลูกสาวเป็นเมียของอีกเจ้าเมืองหนึ่ง ทำให้เจ้าเมืองทั้งสองเกี่ยวดองเป็นเครือญาติกัน บางทีเจ้าเมืองหนึ่งมีลูกสาวหลายคนก็ส่งไปเป็นเมียเจ้าเมืองหลายแห่ง ซึ่งเท่ากับมีเครือญาติหลายเมือง และต่างเมืองก็ทำเหมือนๆ กันทั่วทั้งภูมิภาคเป็นกลุ่มๆ ไป ส่งผลให้เกิดการประสมประสานทางชาติพันธุ์และสังคมวัฒนธรรม
ข้อดีอย่างยิ่งของประวัติศาสตร์ไทยตามหลักฐานเป็นจริงเรื่องความสัมพันธ์แบบเครือญาติในอุษาคเนย์มีอย่างน้อย 3 ประการ ดังนี้
(1.) คนไทยเข้าใจข้อมูลจริง ในความเป็นมาแท้จริงของตนเองและของเพื่อนบ้าน ตามหลักฐานวิชาการที่มีจริงและพบจริง ทำให้ลดอคติต่อเพื่อบ้านซึ่งล้วนได้จากประวัติศาสตร์บาดหมางที่ถูกเสกสรรปั้นแต่งโดยชาวยุโรป แล้วชนชั้นนำรับมาใช้มอมเมาคนไทย หากจะเหลือตกค้างในความทรงจำแต่จะค่อยๆ ลดลงเรื่อยๆ ในที่สุดจะหมดไปเอง
(2.) โน้มน้าวและเหนี่ยวนำประเทศเพื่อนบ้านให้ยอมรับการมีประวัติศาสตร์ความเป็นมาร่วมกันแบบเครือญาติ แล้วพัฒนาประวัติศาสตร์ของแต่ละประเทศเพื่อลด “อคติ” ทางประวัติศาสตร์ต่อกันและกัน ซึ่งจะนำไปสู่การลดความบาดหมางในปัจจุบันเพื่อเข้าสู่สันติภาพถาวรต่อไปข้างหน้า
(3.) ความมั่นคงและมั่งคั่งทางการตลาดปัจจุบัน สนองทุกประเทศถ้วนหน้า
ประวัติศาสตร์ไทยและประวัติศาสตร์เพื่อนบ้าน ที่ใช้งานราว 100 ปีผ่านมา เชื่อถือตามแนวทางการศึกษาค้นคว้าและสันนิษฐานของชาวยุโรปสมัยล่าอาณานิคม แม้จะศึกษาด้วยตนเองบ้างไม่มากก็ค้นคว้าตามแนวทางทั่วไปที่ชาวยุโรปวางไว้ ซึ่งเป็นอันตรายใหญ่หลวงแก่การศึกษาประวัติศาสตร์ไทยและเพื่อนบ้าน ดังนั้นนักปราชญ์ชาวยุโรป–ดี.จี.อี ฮอลล์ เคยเขียนในคำนำหนังสือประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ว่า “พวกฝรั่งเศสรุ่นก่อน เขียนประวัติศาสตร์เอเชียเพื่อประโยชน์ของชาวยุโรป” (อ้างในหนังสือ ข้อเท็จจิงว่าด้วยชนชาติขอม ของ จิตร ภูมิศักดิ์ สำนักพิมพ์มติชน พ.ศ. 2547 หน้า 151) ซึ่งสร้างความบาดหมางทั่วไปดังรู้กันอยู่แล้ว
ประวัติศาสตร์ไทย
ประวัติศาสตร์ไทยมีความหมายหลายอย่างดังนี้
(1.) เรื่องราวความเป็นมาทั้งความสำเร็จ และความล้มเหลว (2.) ของดินแดนและผู้คนทุกชาติพันธุ์ในประเทศไทย (3.) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของภูมิภาคอุษาคเนย์อย่างแยกกันมิได้ (4.) ตั้งแต่หลายพันปีมาแล้ว (สมัยก่อนประวัติศาสตร์) สืบเนื่องถึงปัจจุบัน
ประวัติศาสตร์ไทย คือ ประวัติศาสตร์ของประเทศไทยที่ต้องทำความเข้าใจ 2 เรื่อง ได้แก่ ชื่อประเทศ และเส้นกั้นอาณาเขต
ชื่อประเทศ ดั้งเดิมชื่อสยาม มีความเป็นมาหลายพันปีแล้ว ต่อมาเปลี่ยนชื่อประเทศจากสยามเป็นไทย เมื่อ 84 ปีมาแล้ว หรือตั้งแต่ พ.ศ. 2482
เส้นกั้นอาณาเขต ประเทศไทยกำหนดเส้นกั้นอาณาเขต (ตามกติกาของนานาชาติ) คล้ายรูปขวาน เมื่อหลังสงความโลกครั้งที่ 2 ราว 80 ปีมานี้เอง
ดังนั้นประวัติศาสตร์ไทย (ปัจจุบัน) จึงหมายถึง ประวัติศาสตร์ประเทศสยามที่สืบเนื่องเป็นประวัติศาสตร์ประเทศไทย
สยามเป็นคำเรียกดินแดนหรือพื้นที่และผู้คนบริเวณนั้น
ดินแดนสยาม หมายถึงบริเวณดินดำน้ำชุ่มหรือลุ่มน้ำ มีรากจากคำพื้นเมืองบริเวณลุ่มน้ำสาละวิน–ลุ่มน้ำโขง ว่า ซำ หรือ ซัม หมายถึงพื้นที่มีน้ำพุหรือน้ำผุดจากใต้ดิน ซึ่งบางท้องถิ่นเรียกน้ำซับน้ำซึม
ครั้นนานปี (หรือนานเข้า) น้ำเหล่านั้นไหลนองเป็นหนองหรือบึงขนาดน้อยใหญ่ กลายเป็นแหล่งปลูกข้าว
ในที่สุดทำนาทดน้ำ ผลิตข้าวได้มากไว้เลี้ยงคนจำนวนมาก ทำให้ชุมชนหมู่บ้านเริ่มแรกเมื่อติดต่อชุมชนห่างไกลก็เติบโตเป็นเมือง (1.) กระจายหลายลุ่มน้ำ ไม่เป็นผืนเดียวกัน (2.) ลุ่มน้ำเหล่านั้น ได้แก่ โขง, สาละวิน, พรหมบุตร, เจ้าพระยา
ชาวสยาม หมายถึง “ไม่ไทย” ประกอบด้วยคนหลายชาติพันธุ์ “ร้อยพ่อพันแม่” แต่พูดภาษาไท–ไต–ไทย เป็นภาษากลาง
ภาษาไท–ไต มีอักขรวิธีง่ายต่อการสื่อสารเมื่อเทียบกับภาษาอื่นๆ ในภูมิภาค ดังนั้นชาติพันธุ์ต่างๆ จึงสื่อสารด้วยไท–ไต และถูกเรียกสยาม
การกระจายของภาษาไท–ไต มีสัญลักษณ์ ดังนี้
นาค หนองแส (ในอุรังคธาตุ) เคลื่อนไหวจากโซเมีย แผ่กว้างขวาง ดังนี้ (1.) เข้าล้านช้าง–ล้านนา (2.) ลงโขง–ชี–มูล ในอีสาน
ขุนบรม นิทานสะท้อนการกระจายของภาษาไท–ไต (1.) เข้าโขง, สาละวิน (2.) ลงเจ้าพระยา
ประวัติศาสตร์สยาม
การเปลี่ยนชื่อประเทศจากสยามเป็นไทย มีเหตุจากการเมืองชาตินิยม “คลั่งเชื้อชาติไทย” ทำให้ประวัติศาสตร์ไทยกลายเป็นประวัติศาสตร์คนกลุ่มเดียว คือ “ชนเชื้อชาติไทย” (ทั้งๆ ในโลกนี้เชื้อชาติไม่มีจริง และนานาชาติยกเลิกแล้วเรื่องเชื้อชาติ ยกเว้นกลุ่มเผด็จการรวบอำนาจรวมศูนย์ใช้หลอกประชาชน)
ดังนั้นหากต้องการเข้าใจจริงเรื่องประวัติศาสตร์ไทย ก็ต้องทำความเข้าใจเรื่องสยามและประวัติศาสตร์สยาม ตามพระราชดำรัส ร.5 ดังนี้
“กรุงสยามเป็นประเทศแยกกันบ้างบางคราว รวมกันบ้างบางคราว ฝ่ายพระเจ้าแผ่นดินผู้ที่ปกครองก็ต่างชาติกันบ้าง ต่างวงษ์กันบ้าง”
“เราจะค้นหาข้อความเรื่องราวของประเทศสยาม ไม่ว่าเมืองใดชาติใดวงษ์ใดสมัยใด รวบรวมเรียบเรียงขึ้นเป็นเรื่องราวของประเทศสยาม”
[พระราชดำรัส ร.5 ทรงเปิดโบราณคดีสโมสร ราว 116 ปีที่แล้ว หรือเมื่อ พ.ศ.2450]
จิตร ภูมิศักดิ์ เคยอธิบายเรื่องนี้ไว้นานแล้ว จะคัดมาบางตอน ดังนี้
ชนชาติ, ภาษา, อักษร เป็นเรื่องของพื้นฐานทางด้านสมาชิกของสังคมหรือรัฐ. แต่มิได้ชี้ขาดกำหนดขอบเขตของสังคม กล่าวคือมิได้กำหนดรัฐ.
รัฐเป็นโครงสร้างเบื้องบนที่กำหนดขึ้นโดยอำนาจทางเศรษฐกิจ.
เรื่องของชนในรัฐจึงเป็นเรื่องของประชาชาติ ไม่ใช่ชนชาติ. ชนชาติหาได้มีบทบาทกำหนดขอบเขตของรัฐไม่.
ผู้ที่ไม่เข้าใจเรื่องรัฐกับชนชาติหรือเชื้อชาติ จึงมักจะเอียงกระเท่ไปศึกษาเรื่องราวของเชื้อชาติ, ศึกษาประวัติของเชื้อชาติ แทนการศึกษาประวัติศาสตร์แห่งสังคมในรัฐ.
ผลก็คือ พากันบ้าคลั่งเชื้อชาติ (Racialism) หรือเป็นนักลัทธิคลั่งชาติ (Chauvinism) คิดแต่จะไปรวบเอาชนเชื้อชาติเดียวกันภายนอกประเทศ มารวมกับประเทศตน หรือคิดแยกชนเชื้อชาติตนไปรวมกับประเทศอื่นที่มีเชื้อชาติเดียวกัน ให้วุ่นวายไปหมด.
ถ้าคนไทยก็คิดจะรวบเอารัฐชานซึ่งเป็นพวกไทใหญ่ และไตลื้อสิบสองปันนา ตลอดไปจนถึงผู้ไทในเวียดนามเหนือ; ชาวลาวก็คิดจะรวบเอาภาคอีสานของไทย; ชาวเขมรก็คิดจะรวบเอาดินแดนฟากใต้แม่น้ำมูล; ชาวพม่าก็คิดจะรวบเอาดินแดนกะเหรี่ยงทางด้านตะวันตก; ชาวมลายูก็คิดจะรวบเอาดินแดนสี่จังหวัดภาคใต้ของไทย และหลายๆ ประเทศก็เป็นไปในทำนองนี้, โลกจะเป็นอย่างไร? ก็ต้องทำสงครามเพราะลัทธิคลั่งชาติกันเรื่อยไป และก็ไม่มีวันจะตกลงอะไรกันได้.
นี่แหละคือผลร้ายของการเรียนประวัติศาสตร์โดยวิธีผิดๆ ที่พวกฝรั่งถ่ายทอดทิ้งไว้ให้
นั่นคือ แทนที่จะเรียนประวัติศาสตร์ของสังคมไทยที่อยู่ภายในการรวมศูนย์ทางเศรษฐกิจและการเมืองเดียวกัน ซึ่งสังคมนี้ประกอบขึ้นด้วยหลายชนชาติอันมีไทย ลาว เขมร มลายู ฯลฯ เรากลับถูกพวกฝรั่งจูงให้ไปมุ่งเรียนแต่ประวัติศาสตร์ของชนเชื้อชาติไท–ไต, ไปสืบสาวราวเรื่องเรียนเรื่องของสังคมน่านเจ้าในเขตยูนนานของประเทศจีนเสียเป็นคุ้งเป็นแคว แล้วมาเริ่มศึกษาประวัติของชนชาติไทยในแหลมทองเอาเมื่อสมัยสุโขทัยและศรีอยุธยา
การศึกษาประวัติศาสตร์ไทยที่ถูกต้องจะต้องเริ่มกันใหม่ นั่นคือศึกษาประวัติความเป็นมาแห่งสังคมบนผืนดินอันเป็นเอกภาพผืนนี้
ศึกษาย้อนขึ้นไปตามลำดับ จากอยุธยาไปสู่ละโว้, พิมาย, สุโขทัย, โยนก, ศรีธรรมราช, ไชยาหรือศรีวิชัย, จานาศปุระ, ทวารวดี, พนม หรือฝูหนาน ฯลฯ
ศึกษาให้ทราบว่าสังคมบนเอกภาพแห่งดินแดนนี้พัฒนาขึ้นมาจากลักษณะใด มาสู่ลักษณะใด มีประวัติการณ์ของชนชาติใดมาบ้างบนผืนแผ่นดินนี้ และทั้งหมดนี้รวมกันคือประวัติศาสตร์ของประชาชาติไทย อันประกอบด้วยหลายชนชาติ และผ่านยุคสมัยมาหลายสมัย บางสมัยก็ชนชาตินี้เป็นชนชั้นปกครอง บางสมัยก็ชนชาตินั้นเป็น ชนชั้นปกครอง;
ส่วนชนชาติใดอพยพมาจากที่ไหนนั้น เป็นเพียงส่วนประกอบทางตำนานอันเป็นข้อปลีกย่อยเป็นเรื่องของมานุษยชาติวิทยาเท่านั้น.
การศึกษาด้วยทรรศนะเช่นนี้เท่านั้น จึงจะได้รับความรู้ที่เป็นประวัติศาสตร์แห่งสังคมในรัฐเอกภาพหนึ่งๆ ที่แท้จริง และจะไม่ก่อให้เกิดลัทธิคลั่งชาติหรือหลงเชื้อชาติ อันนำมาซึ่งความเพ้อฝันแผ่อิทธิพล หรือน้อยเนื้อต่ำใจคิดแบ่งแยกเอกภาพ. ทั้งนี้ เพราะ
ประวัติศาสตร์ที่ศึกษาในแนวนี้ จะเป็นประวัติศาสตร์ของสังคมที่ทุกชนชาติเป็นเจ้าของ, เป็นผู้เคยมีบทบาทมาแล้ว, และก็ยังจะมีบทบาทต่อไปอีกในอนาคตภายในเอกภาพแห่งดินแดนนี้. ทุกชนชาติได้เคยมีหุ้นส่วนในดินแดนที่เป็นเอกภาพนี้มาแล้วแต่โบราณ, มีหุ้นส่วนในการสร้างสังคมนี้มาแล้วแต่โบราณ และก็ยังจะมือยู่ต่อไป.
เอกภาพของรัฐหรือสังคม เกิดจากพื้นฐานเศรษฐกิจและความไหวตัวทางการเมือง มิได้เกิดขึ้นจากหรือกำหนดขึ้นจากเชื้อชาติ นี่เป็นความจริงที่เราจะต้องปลูกฝัง.
เรื่องที่คิดจะกำหนดเอกภาพของรัฐหรือสังคมขึ้นจากเชื้อชาตินั้นเป็นเรื่องของความเพ้อฝัน ที่ไม่อาจเป็นจริงและไม่เคยเป็นความจริงมาก่อนเลยในอดีต. ความคิดอย่างนั้นขัดต่อความจริงของชีวิต เพราะชีวิตในสังคม รวมศูนย์กันด้วยเศรษฐกิจและการเมือง มิใช่ด้วยเชื้อชาติ. ความคิดอย่างนั้นรังแต่จะก่อให้เกิดความหายนะแก่มนุษยชาติทุกเชื้อชาติดังเช่นลัทธินาซีของฮิตเลอร์เคยก่อมาแล้วในสมัยสงครามโลกครั้งที่สองเท่านั้น.
เอกภาพของดินแดนและสังคมที่เป็นประเทศไทยทุกวันนี้ เป็นผลิตผลสืบทอดลงมาจากการไหวตัว, ต่อสู้, สร้างสรรค์ ของชนหลายเชื้อชาติที่อาศัยอยู่ที่นี่. ชนเหล่านี้ได้ไหวตัว ต่อสู้ สร้างสรรค์ มาตั้งแต่ครั้งก่อนประวัติศาสตร์ คือมีประวัติการณ์มาตั้งแต่สมัยหินดังที่เราได้พบร่องรอยอยู่มากมายหลายแห่งทั่วประเทศ. แล้วทำไมเราจึงจะไปตัดทุกอย่างทุกชนชาติทั้งหมด, เรียนกันแต่ประวัติการณ์ของชนชาติเดียว.
แทนที่เราจะเริ่มเรียนประวัติการณ์ของสังคมบนผืนแผ่นดินนี้ตั้งแต่สมัยหิน, เรากลับหันหลังให้เสียหมดสิ้น แล้วเดินทางออกนอกประเทศไปเรียนประวัติการณ์ของสังคมอื่น เป็นต้นว่า น่านเจ้า กันเป็นวรรคเป็นเวร? นี่เป็นประวัติของเชื้อชาติ, ไม่ใช่ประวัติศาสตร์ของสังคมซึ่งหล่อหลอมขึ้นที่นี่ พัฒนาขึ้นที่นี่ มีชนชาตินั้นผ่านเข้ามา แล้วก็ผ่านออกไป อยู่ที่นี่.
[ปรับปรุงใหม่บางตอนจากหนังสือ ข้อเท็จจริงว่าด้วยชนชาติขอม ของ จิตร ภูมิศักดิ์ สำนักพิมพ์มติชน พิมพ์ครั้งแรก มิถุนายน 2547 หน้า 173-181)
อยุธยาคือศูนย์กลางของสยามประเทศ เป็นหลักฐานชัดเจนในแผนที่ยุโรปเรียก “ราชอาณาจักรสยาม” มีประชากรหลายชาติพันธุ์ “ร้อยพ่อพันแม่” ต่อมาเรียกตนเองว่าไทย
[แผนที่ราชอาณาจักรสยาม โดยปิแยร์ ดูวัล ช่างแผนที่ชาวฝรั่งเศส พิมพ์ที่กรุงปารีส ฝรั่งเศส พ.ศ. 2229 (ตรงกับปลายพระนารายณ์) ประดับประดาด้วยภาพลายเส้นแสดงขบวนเรือกำปั่นของคณะราชทูตฝรั่งเศส 2 ลำ คือ ลัวโซ และ ลา มารีญ ทั้งมีเรือพระที่นั่งฯ และช้างเผือกคู่บารมีแห่งพระเจ้ากรุงสยาม มีทั้งฉบับที่เขียนโดยดูวัลและโดยบาทหลวง พลาซิด (ช่างแผนที่ชาวฝรั่งเศส) ซึ่งพิมพ์ที่กรุงปารีสในปีเดียวกัน (จากหนังสือ กรุงศรีอยุธยาในแผนที่ฝรั่ง ของ ธวัชชัย ตั้งศิริวานิช พิมพ์ครั้งที่สอง พ.ศ. 2566 หน้า 142-143)]