200 ปี รัชกาลที่ 3 กับการบริหารจัดการ ‘ความมั่นคงของพระราชอำนาจ’

200 ปี รัชกาลที่ 3 กับการบริหารจัดการ ‘ความมั่นคงของพระราชอำนาจ’
พระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ประดิษฐานภายในปราสาทพระเทพบิดร วัดพระศรีรัตนศาสดาราม (ภาพจากหนังสือมหาเจษฎาบดินทรานุสรณ์, กองทัพบกจัดพิมพ์ พ.ศ.2531)

200 ปี รัชกาลที่ 3 กับการบริหารจัดการ ‘ความมั่นคงของพระราชอำนาจ’

ปี 2567 จะครบรอบ 200 ปี แห่งการครองสิริราชสมบัติ ของ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อครั้งเป็น กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ ทรงได้รับการทูลเชิญจากที่ชุมนุมแห่งหมู่ชนเป็นอันมาก หรือเป็นผู้ที่หมู่ชนเป็นอันมากชุมนุมกันยกให้เป็นพระมหากษัตริย์ ที่เรียกว่า ‘อเนกชนนิกรสโมสรสมมติ’

ด้วยพระองค์เป็นพระเจ้าลูกเธอพระองค์ใหญ่, ได้ว่าราชการต่างพระเนตรพระกรรณมาช้านาน, ทรงมีผลงานเป็นที่ประจักษ์ในพระอัจฉริยภาพ ทั้งข้าทูลละอองธุลีพระบาทมีความจงรักและสวามิภักดิ์ในพระองค์ท่านก็มีมาก

กระนั้น ตลอดรัชสมัยของพระองค์ก็ยังปรากฏปัญหาทางการเมืองที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงของพระราชอำนาจ

ส่วนจะเป็นปัญหาใดนั้น ปวีณา หมู่อุบล ค้นคว้าและเรียบเรียงไว้ในนิตยสาร ‘ศิลปวัฒนธรรม’ ฉบับเดือนมีนาคม 2567 กับบทความที่ชื่อ ‘สถาปนาความรู้ เชิดชูพระศาสนา : กิจการทางด้านวัฒนธรรมที่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ ทรงสานต่อจากสมเด็จพระบรมอัยกาธิราช’

ADVERTISMENT
ปกนิตยสาร ‘ศิลปวัฒนธรรม’ ฉบับเดือนมีนาคม 2567

ที่มาของปัญหาในรัชกาลนี้มีเหตุจาก 2 ปัจจัย หนึ่งคือสถานการณ์ของบ้านเมือง หนึ่งคือสิทธิธรรมในการครองราชย์

สถานการณ์ของบ้านเมืองขณะนั้นเป็น ‘ระยะเปลี่ยนผ่าน’ ทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง เช่น เกิดวัฒนธรรมกระฎุมพี, เกิดความคิดทางเวลาแบบก้าวหน้าแทนที่ความคิดเรื่องจักรวาลวิทยาแบบไตรภูมิ, เกิดโลกทรรศน์ใหม่ที่มีลักษณะเป็นมนุษยนิยมและเหตุผลนิยมมากยิ่งขึ้น ทำให้เจ้านายและขุนนางจำนวนหนึ่งภายในราชสำนักสามารถสั่งสมอำนาจเพิ่มขึ้น

บริบทในทางเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลง ไม่ใช่แค่พระมหากษัตริย์เท่านั้นที่เป็นผู้ลงทุนในการผลิตสินค้าหรือกิจการค้าขายกับต่างประเทศ พระบรมวงศานุวงศ์และขุนนางก็ดำเนินการดังกล่าวได้เช่นกัน ทั้งบางรายยังใช้อภิสิทธิ์ที่มี เกื้อหนุนให้กิจการของตนให้มีต้นทุนต่ำ และสามารถดำเนินไปอย่างสะดวกโดยไม่ต้องอาศัยเงินลงทุนและใช้เทคโนโลยีอันใด

พระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ณ ลานพลับพลามหาเจษฎาบดินทร์ ถนนราชดำเนินกลาง กรุงเทพมหานคร

ตัวอย่างเช่น ฝ่ายเจ้านายราชสำนัก กรมขุนอิศเรศรังสรรค์ (ต่อมาคือพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว) ทรงมีกำปั่นหนักถึง 200 ตัน มีกะลาสีชาวอังกฤษทำงานให้ 3 คน เพื่อตกแต่งเรือไปค้าขายกับต่างประเทศ ส่วนฝ่ายขุนนางก็มี เจ้าพระยาพระคลัง (ดิศ บุนนาค) ที่ทำการค้าส่วนตัวมาตั้งแต่ครั้งเป็นพระยาสุริยวงศ์โกษา ในสมัยรัชกาลที่ 2 และต่อเนื่องเรื่อยมาจนกระทั่งสิ้นอายุขัย

ขณะที่การหลั่งไหลเข้ามาของคนต่างชาติ โดยเฉพาะชาวจีนและชาวลาว เนื่องจากเวลานั้นมีนโยบายกวาดต้อนชาวลาวจากหัวเมืองเข้าสู่สยามในส่วนกลาง ขณะเดียวกันก็มีการอพยพเข้ามาของแรงงานชาวจีนเป็นจำนวนมาก

แรงงานดังกล่าวทำให้ชนชั้นนำของสยามที่มีบทบาทควบคุมดูแลกำลังคนได้รับผลประโยชน์ลดหลั่นกันไป เพราะต้องมีการจัดทำบัญชีมูลไพร่พล ที่ทำให้มูลนายทราบได้ถึงปริมาณของกำลังคน ส่วย และภาษี ที่มีการกำหนดอัตราที่แน่นอนสำหรับการที่ไพร่แต่ละกรมกองจะต้องส่งส่วยหรือจ่ายภาษี ทั้งในรูปตัวเงินและสินค้าของป่า

การแสวงหาผลประโยชน์ภายในหมู่ชนชั้นนำข้างต้น ปรากฏขึ้นอย่างชัดเจน และเข้มข้นมากยิ่งขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เนื่องจากมีการแสวงหาผลประโยชน์ทางการค้า และนำระบบเจ้าภาษีนายอากรมาใช้ในการเก็บผลประโยชน์แห่งรัฐ ที่พยายามควบคุมผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจทั้งส่วนกลางและภูมิภาคเข้าสู่ท้องพระคลัง กลับถูกตัดแบ่งกระจายออกไปอยู่กับเครือข่ายขุนนาง

‘พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงแต่งสําเภาหลวงออกไปค้าขายกับต่างประเทศ’ ภาพจิตรกรรมเทิดพระเกียรติพระมหากษัตริย์แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ วาดโดย นายกมล ทองสุนทร ภาพนี้อยู่ที่อาคารรัฐสภา

เพราะขุนนางบางคนมีบทบาทและอำนาจที่สามารถ ‘ขัดขวาง’ หรือ ‘ส่งเสริม’ เจ้าภาษีนายอากรได้
ผู้ที่ต้องการเป็นเจ้าภาษี จึงเลือกที่จะประนีประนอม เพื่อที่จะได้มาซึ่งผลประโยชน์สูงสุดร่วมกัน ตลอดรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ระบบเจ้าภาษีนายอากรได้ขยายตัวขึ้น แต่พระมหากษัตริย์ทรงกำหนดทิศทางและควบคุมการขยายตัวได้เพียงเล็กน้อย และเป็นเหตุให้พระราชอำนาจเกิดความคลอนแคลน

อีกหนึ่งคือ เรื่องสิทธิธรรมในการครองราชย์ ด้วยภูมิหลังของพระองค์ที่ประสูติแต่เจ้าจอมมารดา ที่ไม่สอดคล้องกับการขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์ที่ผ่านมาของราชสำนัก จึงมีการ ‘กล่าวถึง’ ในวงกว้าง

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อครั้งทรงเป็นวชิรญาณภิกขุ ทรงพระราชนิพนธ์ถึงภูมิหลังของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวไว้ว่าเป็น ‘…พระราชโอรสผู้ใหญ่กว่าพระราชโอรสทั้งปวงเกิดแล้วจากพระสนมของพระราชาเทียว ทรงพระนามว่าพระเจษฎาธิบดินทร์ราชกุมาร มีพระปัญญาใหญ่ มีพระกำลังใหญ่ ในกาลแห่งพระราชบิดา ทรงพระชราแล้วได้กระทำราชกิจโดยมาก…’

ขณะเดียวกันชาวตะวันตกที่ได้เข้ามาติดต่อค้าขายกับสยามในขณะนั้น ก็กล่าวถึงภูมิหลังการเสด็จขึ้นครองราชย์ของพระองค์ว่า สภาพการเมืองของสยามช่วงการสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยไว้ว่า ‘…เกรงจะมีการจลาจลกันบ้าง เพราะมีคนเป็นอันมากเห็นว่าพระเจ้าแผ่นดินปัจจุบันเป็นผู้แย่งราชสมบัติ พระองค์จึงไม่เป็นที่ชื่นชมของคนมากนัก…’

ปัญหาท้าทายพระราชอำนาจที่กล่าวข้างต้น เป็นเพียงบางส่วนที่ ปวีณา หมู่อุบล เรียบเรียงไว้ และยังมีแนวทางที่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเลือกใช้เพื่อเสริมสร้างพระราชอำนาจ และบริหารจัดการปัญหาดังกล่าว ทั้งหมดนี้ได้โปรดติดตามรายละเอียดในนิตยสาร ‘ศิลปวัฒนธรรม’ ฉบับเดือนมีนาคมนี้

วิภา จิรภาไพศาล
[email protected]