ผู้เขียน | ภูษิต ภูมีคำ |
---|
นที อุตฤทธิ์
ขอมองกลับหัว
‘ถ้าพระพุทธเจ้าถึงยุโรป ก่อนอารยธรรมตะวันตก’
“ความคิดเราถูกเชพว่าศิลปะต้องไปทางนั้น ใช้ไม้บรรทัดของยุโรป มาประเมินสุนทรียภาพของเราไปแล้ว มันก็มีปัญหาให้เราไม่หลุดจากกรอบคิดตะวันตก”
นที อุตฤทธิ์ ศิลปินไทยร่วมสมัยระดับแนวหน้า
เปิดมุมมองชวนคิดต่อความงามและงานศิลป์ ผ่านสายตาอาร์ติสต์ไทยร่วมสมัยระดับแนวหน้า เจ้าของรางวัลศิลปาธร สาขาทัศนศิลป์ ประจำปี 2562
ผู้สร้างสรรค์ผลงานที่ผสานแนวคิดตะวันออก กับ ตะวันตกได้อย่างลุ่มลึก เจาะดีเทลลึกไปจนถึงแก่นชีวิตของมนุษย์ ที่ผูกโยงด้วยสัจธรรมสุดท้าย ก่อนดวงจิตดับสูญเข้าไว้ด้วยกัน
นิทรรศการล่าสุด
“Deja vu: The Last Chapter” ตั้งคำถามชวนฉงนที่ว่า “จะเกิดอะไรขึ้นหากพระพุทธเจ้าเสด็จไปยังทวีปยุโรป ก่อนที่อารยธรรมตะวันตกจะเกิดมีขึ้น”
นัดหมายพูดคุยเปิดเปลือยเบื้องหลัง พร้อมทั้งร่วมแกะร่องรอยความสำเร็จ บนเส้นทางการเดินทางก้าวที่ 54 ปีของชีวิตศิลปิน ที่ทุ่มเทสร้างสรรค์ผลงานแบบไม่เคยหยุดหย่อน โดดเด่นด้วยเทคนิควิธีการนำเสนอหลากหลายทั้ง จิตรกรรม ประติมากรรม ภาพพิมพ์และสื่อผสม อีกมากมาย
“คิดทำเรื่องใหม่อยู่ตลอด”
ประโยคสั้นๆ ที่สะท้อนวิธีคิดการทำงานอย่างแจ่มชัดในฐานะศิลปิน ที่ไม่ยึดติดกับการสร้างผลงานด้วยเทคนิคแบบใดแบบหนึ่ง แต่จับจุดโฟกัสสำคัญไปที่การสะท้อนอารมณ์และความคิด จนเป็นที่ต้องตาต้องใจของนักสะสมผลงานทั่วโลก
⦁ จุดเริ่มต้นความสนใจด้านศิลปะก่อตัวขึ้นมาได้อย่างไร?
ผมเกิดในกรุงเทพฯ ใช้ชีวิตอยู่แถวราชวัตร แถวถนนนครไชยศรี ตอนนั้นเป็นย่านที่ค่อนข้างสงบสุขมาก จำได้ว่าพ่อเป็นคนต่างจังหวัดทางภาคอีสาน เขามาเช่าบ้านอยู่กับเพื่อนสนิทอีก 2 คน แล้วเพื่อนสนิทของพ่อ เขาวาดรูปเก่งมากทั้งที่ทำงานธนาคาร ตอนที่จำความได้เขาก็จะเป็นคนที่คอยสอนวาดรูป จับมือให้วาดรูป
จนผมโตขึ้นครอบครัวก็แยกย้าย เพื่อนพ่อต่างคนก็ต่างไปมีวิถีชีวิตของตัวเอง ผมเรียกเพื่อนสนิทคนนั้นของพ่อว่า ‘อาเจ็กสมชัย’ ต่อมาเขาออกจากงานธนาคาร ก็ไปเป็นคอลัมนิสต์ ‘ชัย ราชวัตร’ หรือ สมชัย กตัญญุตานันท์ อาจจะนับได้ว่าเขาเป็นคนที่สอนเราวาดการ์ตูนตั้งเล็กๆ
⦁ ฝีมือด้านศิลปะของตัวเองฉายแววขึ้นมาตอนไหน?
ตอนที่เรียนหนังสือช่วงประถมศึกษา จำได้ว่าหน้าหนังสือตรงไหนที่ว่าง มันจะเต็มไปด้วยการ์ตูน ซึ่งตอนนั้นเริ่มทำแอนิเมชั่นอย่างง่ายเป็นด้วยการเขียนลงบนสันหนังสือ ไม่รู้ว่าเด็กสมัยนี้เขายังเล่นกันอยู่ไหม เขียนทีละเฟรม แล้วก็กรีดกระดาษดูให้มันขยับ
ฉะนั้นเล่มหนึ่งก็จะทำได้แค่ 6 ครั้ง ด้านสัน ด้านมุม กลับไปกลับมา ทุกเล่มจะเป็นแบบนี้หมด เวลาคุณครูเขาเดินมาดู เราก็จะพยายามปิด ไม่อยากให้เห็นว่ามันเลอะไปด้วยการ์ตูนอะไรแบบนี้ ตอนที่อายุประมาณ 7-8 ขวบ สมัยนั้นมันไม่ได้มีกระดาษ A4 ขายแบบทุกวันนี้ กระดาษที่มันไม่มีลายเส้น มันเป็นสิ่งหายากนะ
⦁ โมเมนต์ที่ได้กระดาษ ‘รีมแรก’ มาวาด ตอนนั้นรู้สึกอย่างไร?
สมัยก่อนมีซาเล้งรถขายของเก่าขายในซอย เขาได้กระดาษจากโรงพิมพ์มาปึกหนึ่ง ซึ่งมันเป็นกระดาษที่ใช้สำหรับโรเนียว ทำใบกฐิน ผ้าป่า ซึ่งคนขับซาเล้งเขามาวางไว้บนรถแล้วขี่ผ่านหน้าบ้าน แม่เห็นก็เลยรู้สึกว่า อุ๊ย! กระดาษอะไรเนี่ย ดีนะ จะซื้อเก็บไว้เพื่อเขียนแบบซื้อ เพราะแม่เป็นช่างตัดเสื้อ
ปรากฏว่าผมเห็นเหมือนเป็นขุมทรัพย์ (หัวเราะ) สำหรับเราตอนนั้นที่เป็นเด็ก เรารู้สึกว่ามันหยิบเขียนเท่าไหร่ก็ไม่รู้จักหมด เขียนได้นานหลายเดือน ก็เอาเขียนภาพทั่วไปเลย ส่วนใหญ่จะเป็นการวาดลอกเลียนแบบ กลายเป็นกิจกรรมเวลาว่างไปเลย
⦁ อะไรคือจุดพลิกที่มุ่งมาเรียนด้านศิลปะแบบจริงจัง?
ตอนเรียนมัธยมเป็นเด็กเรียนเก่ง ช่วงใกล้ที่จะขึ้นไปเรียนต่อ ม.4 ครูศุภกร สอนมั่งมี ที่ตึกศิลปะบอกว่า ทำไมไม่ไปเข้าโรงเรียนที่สอนศิลปะอย่างเดียว ทำไมไม่ไปเข้าวิทยาลัยช่างศิลป เราก็ถามครูว่า มีโรงเรียนแบบนี้ด้วยเหรอ มีโรงเรียนที่ไม่ได้เรียนอะไรเลยนอกจากศิลปะด้วยเหรอ เขาบอกว่ามี เราก็ตื่นเต้นใหญ่ อุ๊ย! เอาๆ ตาลุกวาว สุดท้ายก็ตัดสินใจไปสอบจนเข้าไปได้
⦁ ชีวิตตอนเรียนวิทยาลัยช่างศิลป เป็นอย่างไรบ้าง?
เรียนตอนแรกเราไม่ค่อยเก่ง เพราะมาจากโรงเรียนมัธยม แต่เพื่อนรุ่นเดียวกันเขามาจากอาชีวะ เขาฝึกสกิลมาก่อนหน้าเรา เขาจะเก่งมาก ฝีมือเราไม่ค่อยดี เกรดไม่ค่อยดี เราได้เกรด D ตกใจมาก โห! ตายแล้ว ถ้าแม่รู้แม่ต้องเสียใจแน่ จากนั้นเราก็ฟิตเต็มที่เลย จนจบเทอมนั้นเราก็ได้ B+ ก็ดีใจมาก (เสียงสูง)
⦁ ตอนนั้นจุดที่เรารู้สึกว่า ‘ไม่เก่ง’ มีวิธีฮึดสู้ขึ้นมาอย่างไร?
เราเคยรู้สึกไม่ดีว่า เฮ้ย! ทำไมเราไม่เก่ง เราจะเรียนได้ไหมอะไรแบบนี้ ทั้งที่ตอนเรียนมัธยม เรารู้สึกว่าตัวเองวาดรูปเก่ง แต่พอมาอยู่แบบนี้ เรียนดรอวอิ้ง พอร์ตเทรต เราก็คิดว่าของเราดี แต่ของเขาดีกว่า เหมือนกว่า ถูกต้องกว่า คะแนนดีกว่า ตอนนั้นก็คิดว่าจะทำอย่างไรดี
ไม่ได้คิดเชิงอีโก้ว่า เห้ย! ฉันต้องชนะแกนะ แต่ผมกลัวแม่เสียใจ กลัวแม่ผิดหวังที่อุตส่าห์ส่งเรียน ก็เลยพยายามใช้เวลามากกว่าคนอื่น เช่น เวลาเขาไปกินข้าว เราไม่กิน เอาเวลาตรงนั้นมาเขียนเพิ่มอีก มันจะสามารถเลือกชิ้นที่ดีได้มากกว่า
ผมเลยรู้สึกว่า เนี่ย! การที่เราใช้เวลากับมันมาก มีความเพียร วิริยอุตสาหะ มันสร้างผลให้เห็นเป็นรูปธรรมได้

⦁ ขยับมาเข้าเรียนในรั้วศิลปากร ตอนนั้นเจอแต่คนฝีมือขั้นเทพ?
สมัยตอนเราเรียนอยู่ช่างศิลปะ ได้มีโอกาสมาดูงานแสดงศิลปนิพนธ์ของคณะจิตรกรรม ประติมากรรม และภาพพิมพ์ ม.ศิลปากร ตอนนั้นเราก็ตกใจ นี่หรือ งานนักศึกษาคณะจิตรกรรม มันเหมือนงานของศิลปินเลย มันน่าตกใจ ก็เลยอยากเป็นแบบเขา
เวลาเห็นรุ่นพี่สมัยนู้นอย่าง ประทีป คชบัว, นิพันธ์ โอฬารนิเวศน์ เขาเก่งจังเลย เขาทำได้อย่างไร ต้องไปดักดูเวลาเขาเดินผ่านว่า คนนี้เองหรือ มันเหมือนเราไปดักดูคนเก่ง เราก็อยากเป็นอย่างเขา ระหว่างเรียนเราก็ส่งงานไปประกวด มันเป็นครรลองของระบบการศึกษาบ้านเรา ก็ชนะบ้าง ได้สตางค์ ได้นู้นได้นี่มาบ้าง
⦁ โมเมนต์ที่ขายผลงานได้ครั้งแรก รู้สึกอย่างไร?
ดีใจมาก เราแสดงงานครั้งแรกเมื่อประมาณปี 1994 มันเป็นงานเพนติ้ง มีคนมาเห็นแล้วเขาเอาเงินมาแลกกับผลงานของเรา นับตั้งแต่วันนั้นก็รู้สึกว่า เมื่อเราขายของได้ถ้ามันสินค้าอย่างหนึ่ง เราก็ต้องรับผิดชอบต่องานของเรา ทั้งเรื่องความคิด รูปแบบ การผลิต ทุกอย่าง มันจะใช้คำว่า ‘โชคดี’ ที่คนเขามาซื้องาน ปล่อยให้เป็นเรื่องของโชค ไม่ต้องทำอะไร ‘ไม่ได้’
⦁ คิดว่าฝีมือของตนเองเป็นแบบสกุลช่างสายไหน?
นึกไม่ออก (หัวเราะ) คือ ผมใช้ทั่วไปหมด ช่วงหลังมาจะชอบมู้ดอารมณ์ ผลงานศิลปะไทยสมัยกลางรัตนโกสินทร์ อย่าง ขรัวอินโข่ง ที่มีการผสมผสานระหว่างตะวันตกกับตะวันออก มันมีความไม่เข้ากัน มีความลักลั่นนิดๆ แต่มันก่อให้เกิดภาษาบางอย่างที่มันน่าสนใจ
มันเป็นการรวมกันของวัฒนธรรมหนึ่ง รวมกับอีกวัฒนธรรมหนึ่ง องค์ความรู้หนึ่งกับอีกองค์ความรู้หนึ่ง ซึ่งไม่ได้รู้จักมากนัก แต่ก็ต้องทำเป็นรู้จัก ฉะนั้นมันก็จะเกิดความไม่ลงตัวนักในการแสดงออก เหมือนจะเข้ากันแต่ก็ไม่เข้ากัน แต่ทั้งนี้ผลของวิชวลทั้งหมด มันสร้างผลที่น่าสนใจเมื่อเรามองย้อนกลับไปดูผ่านประวัติศาสตร์
⦁ แล้วอะไรจุดประกายความสนใจ ศิลปะช่วงกลางรัตนโกสินทร์?
มันเริ่มต้นจากตอนที่เรียนจบมา ทำงานได้สักพักก็เริ่มตั้งข้อสงสัยกับองค์ความรู้ที่ตัวเองมี เพราะว่าตอนเรียนวิชาต่างๆ ก็มาจากยุโรปแทบทั้งหมด ก็เริ่มสงสัยว่า ทำเราต้องเขียนแบบยุโรป เรียนเขียนพอร์ตเทรต แลนด์สเคป ที่มันเป็นวิชาแบบตะวันตกทั้งหมด ทำไมเราไม่รู้แบบเอเชียล่ะ?
ก็ไม่ได้คำตอบอะไร ก็คิดว่ามาตรฐานแบบยุโรปคือสิ่งที่ถูกต้อง เราก็เลยต้องเรียนแบบนั้น
ความคิดเราถูกเชพว่าศิลปะต้องไปทางนั้น ใช้ไม้บรรทัดของยุโรป มาประเมินสุนทรียภาพของเราไปแล้ว มันก็มีปัญหาให้เราไม่หลุดจากกรอบคิดตะวันตก แล้วเวลาที่เรามาสอบสวนความคิดตัวเอง เราก็ไม่รู้จักศิลปินเอเชียเลย ทั้งที่เรารู้จักศิลปินยุโรปเยอะแยะ ศิลปินอเมริกามากมาย
เราเลยหันมาสนใจศิลปินเอเชียมากขึ้น ปฏิเสธไม่ได้ว่า เราต้องศึกษาปรัชญาตะวันออก พุทธศาสนาเพิ่ม เพราะเป็นแก่นความรู้ทั้งหมดของเอเชีย มันก็เลยได้ทำงานมาถึงวันทุกวันนี้

⦁ ไอเดียการทำนิทรรศการชุด ‘Deja vu’ ผุดขึ้นมาได้อย่างไร?
เริ่มจากช่วงปี 2018 ได้เดินชมวิหารที่ประเทศอิตาลี ตอนนั้นก็ยังไม่รู้จะทำอะไร จนคิวเรเตอร์พาไปที่ National Archaeological Museum เมืองเนเปิลส์ ซึ่งมีรูปปั้นหินอ่อนโรมันเยอะมาก ผมก็เดินอยู่ตั้งวัน สะดุดใจอยู่กับรูปปั้นหินอ่อนสลักอยู่รูปหนึ่ง แต่หาคำตอบกับมันไม่ได้
จนพิพิธภัณฑ์ปิด เราเดินออกมาถึงนึกได้ว่า เฮ้ย! เรารู้แล้วว่าเราคิดอะไร ก็เลยพบว่า สิ่งที่ติดอยู่ในใจตอนนั้นคือท่าโพสของรูปปั้นนั้น เป็นแบบกรีกและโรมัน มีลักษณะเดียวกันกับพระพุทธรูปปางลีลาเช่น การทิ้งน้ำหนักขา ท่าทางของมือ
ตอนนั้นก็ได้ไปคุยกันคิวเรเตอร์ว่า ได้ไอเดียแล้ว ผมจะนำเสนอการเคลมการรวมกันระหว่างวัฒนธรรม โดยตั้งสมมุติฐานว่า ‘จะเกิดอะไรขึ้นถ้าพระพุทธเจ้ามาที่ยุโรป ตั้งแต่ก่อนอารยธรรมกรีกโรมันเริ่มต้นอีก’
⦁ นับว่าเป็นผลงานที่ใช้ ‘จินตนาการ’ เพื่อผสมผสานวัฒนธรรม?
มันเป็นการสร้างสมมุติฐานด้วยจินตนาการ โดยการเคลมกลับไปว่า ถ้าพระพุทธเจ้าได้เสด็จไปก่อนอารยธรรมตะวันตกเกิดจะเป็นอย่างไร ซึ่งวันนี้เราอาจจะไม่ได้อยู่กันแบบนี้ก็ได้ มันเป็นเรื่องใหญ่มาก วิถีชีวิตส่วนใหญ่มันอาจจะเป็นแบบตะวันออกก็ได้ เราก็ไม่รู้ มันเป็นแค่สมมุติฐานแบบ what if (ยิ้ม)
⦁ ความท้าทายในการสร้างผลงานชิ้นนี้คืออะไร?
เราได้เริ่มต้นทำงานกับช่างโมเสกของเนเปิลส์ ซึ่งเป็นเทคนิควิธีการที่มีชื่อเสียงของปอมเปอี แต่แทนที่เราจะเรียงเป็นรูปสัตว์ใต้น้ำ หรืออะไรที่ทำแบบดั้งเดิม เราก็เอามาเรียงเป็น ‘รอยพระพุทธบาท’ เพื่อยืนยัน ทำเป็นหลักฐานทางโบราณคดีแบบเฟค (Fake) ว่า อุ๊ย! มีรอยพระพุทธบาท แสดงว่าพระพุทธเจ้าเคยมาที่นี่ เราสร้างร่องรอยเทียมขึ้นมาเป็นเรื่องสนุกๆ จากนั้นความคิดมันก็เริ่มแข็งแรงมากขึ้น
⦁ แล้วส่วนไหนที่เป็นจินตนาการ กับ ข้อเท็จจริงที่ค้นคว้า?
งานมันเหมือนการมองกลับหัวกลับหาง ซึ่งเราก็ต้องค้นข้อมูลด้วย ซึ่งตามความเป็นจริงอารยธรรมตะวันออกก็เริ่มขึ้นก่อน มันเริ่มจากอารยธรรมลุ่มแม่น้ำไทกริส-ยูเฟรติส ที่อยู่แถบเปอร์เซีย เพียงแต่ว่าอิทธิพลทางการเมือง การทหาร หรืออะไรบางอย่าง ทำให้แนวคิดแบบตะวันตกเป็นที่นิยมต่อชีวิตของคนทั้งโลก ในแง่ของรูปธรรมมากกว่าเท่านั้นเอง
⦁ ความท้าทายของการนำเสนอในเด็นนี้เป็นอย่างไรบ้าง?
เมื่อเราใช้คริสเตียน คาทอลิก ผสมความเป็นตะวันออกที่เป็นตัวตั้ง ผมเลยเลือกใช้งานศิลปะทุกเทคนิคเท่าที่จะทำได้ และเทคนิคเหล่านั้นต้องปรากฏใน Christian Art เช่น สเตนกลาส จิตรกรรม งานผ้าปัก มันจึงเป็นความสนุก ที่เราจะได้กลับค่าความคิดของสิ่งต่างๆ
⦁ หลังจากจัดแสดงได้รับผลตอบรับกลับมาอย่างไรบ้าง?
ตอนที่จัดแสดงที่อิตาลี ข้อที่น่าประทับใจอย่างหนึ่ง คือ การที่คนอิตาเลียน เขาเข้าใจพระพุทธศาสนาเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เขาอ่านภาษาบาลี-อาตาเลียน เข้าใจสัญญะอะไรบางอย่างในชิ้นงานแล้วเข้ามาคุย เห็นงานแล้วเขาเข้าใจว่า มนุษย์เราเหมือนกันนะ เราเข้าใจความตายในมิติเดียวกัน เราเข้าใจนรกสวรรค์ในมิติที่คล้ายคลึงกัน
เช่น ผลงานชิ้น “Parinirvana” มาจากการนำเสนอภาพแบบ Jesus Christ นอนอยู่ในโลงศพ ก่อนที่จะฟื้นมีชีวิตใหม่ ซึ่งเป็นภาพที่คริสเตียนน่าจำได้ ต่างจากขนบของไทยเกี่ยวกับพระพุทธเจ้าไม่มีภาพแบบนั้น แต่ไทยในปัจจุบันมีการเอาร่างพระภิกษุบางท่าน ที่ไม่เน่า ใส่อยู่ในโลงแก้วแบบนี้ ฉะนั้นตัวมันเองมีความคล้ายคลึงของการเดินทาง ความพ้องบางอย่างเป็นอัตโนมัติอยู่แล้ว

⦁ กลัวดราม่าจากการทำงานศิลปะร่วมสมัย เกี่ยวกับพุทธศาสนาหรือไม่?
ผมมีโอกาสสนทนากับ พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล ท่านมีองค์ความรู้ที่กว้างไกลมาก ทั้งทางศิลปะและสุนทรียภาพสูง ท่านรู้จักศิลปิน Contemporary art หลายคนในโลกตะวันตก แล้ววันนั้นผมถามคำถามกับท่านสิ่งหนึ่งว่า ‘ศิลปะเป็นสิ่งอกุศลไหม?’
ท่านให้คำตอบที่ชาญฉลาดมาก ผมถือว่าเป็นคำตอบทางศิลปะที่ฉลาดที่สุดในชีวิต โดยท่านบอกว่าศิลปะจะมีความกุศล หรือ อกุศล มันอยู่ที่ปลายทางของมัน หมายความว่า ศิลปะเกี่ยวข้องกับอารมณ์และความรู้สึกอยู่แล้วโดยตัวมันเอง เพราะมันใช้อารมณ์เป็นพาหะในการสร้างความคิด
สิ่งที่เป็นกุลศล หรือ อกุศลอยู่ที่ปลายทางว่า ศิลปะชิ้นนั้นเมื่อผ่านอารมณ์ ความคิด ความรู้สึกแล้ว มันสร้างกุศลในใจแก่ผู้ชมหรือเปล่า
เช่น เราเสนอภาพ ‘ความตาย’ ซึ่งในทางหนึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องอกุศลในแง่ของการรับรู้ทั่วไป งานศพเป็นงานอวมงคล แต่เรานำเสนอความตายเพื่อให้เราเข้าใจที่ถูกต้องต่อความตาย เมื่อเรามีความเข้าใจที่ถูกต้องต่อความตาย เราจะไม่รังเกียจความตาย เราจะเข้าใจชีวิตในแนวทางที่ถูกต้อง มันก็เกิดกุศลในใจแล้วไง
⦁ ถ้าเราจะผลักดันศิลปะสู่ซอฟต์พาวเวอร์ จะทำอย่างไรได้บ้าง?
ศิลปะมันอยู่ด้วยตัวเองไม่ได้ มันต้องอยู่ได้ด้วยองค์ประกอบของสิ่งเกื้อหนุนต่างๆ เพราะฉะนั้นเราจะเรียกมันว่า ‘ระบบนิเวศทางศิลปะ’ ซึ่งถ้าเราจะพูดถึงเรื่องการขับเคลื่อน เราอาจจะต้องเรียกมันว่า อุตสาหกรรมศิลปะ มันก็จะเป็นเหมือนหน่วยงานอาชีพอื่น
ถ้าจะสนับสนุนศิลปะให้มันอยู่ได้อย่างยั่งยืน มันก็ต้องกลับไปดูที่โครงสร้างของวัฒนธรรม โครงสร้างของสังคมหลายอย่าง ฉะนั้นการสร้างซอฟต์พาวเวอร์ทางศิลปะไม่ใช่เรื่องที่น่าดูแคลน แต่มันจะต้องทำให้ถูกต้องว่าเราจะมุ่งไปที่โครงสร้างหรือเปล่า
⦁ จะสามารถแก้ไขเชิงโครงสร้างเพื่อหนุนงานศิลปะได้อย่างไร?
แก้กฎหมายด้านภาษีในการนำเข้าและส่งออกงานศิลปะ เพื่อให้เกิดการนำนิทรรศการดีๆ จากต่างประเทศเข้ามาจัดแสดง เพราะถ้ามีเพดานภาษีที่สูงเขาก็จะเลือกประเทศอื่น รวมถึงลดภาษีอุปกรณ์ทางศิลปะทุกชนิดของนักศึกษา วัสดุที่ใช้ในการผลิตงานศิลปะอะไรอย่างนี้ มุ่งลดเพดานไม่ใช่การจัดอีเวนต์อะไรแบบนั้น
โครงสร้างตอนนี้มันเหมือนท่อที่ตัน เพราะข้อกฎหมายเก่า เช่น สีน้ำมัน มันถูกคิดฐานเดียวกับเครื่องสำอาง หรือสินค้าฟุ่มเฟือย ทั้งที่ความจริงแล้วมันเป็นของเพื่อการศึกษา มันก็เหมือนท่อมันตัน เคลียร์มันออกซะ ทำให้ถูกต้อง พอน้ำมันไหลไปแล้ว มันถูกเอาไปใช้ประโยชน์อะไร อันนั้นก็ปล่อยไปตามธรรมชาติ
ค่อยคิดว่าจะไปดันปลายน้ำตรงนั้นอย่างไร ไม่ใช่ดันตรงปลายแต่ติดขัดอะไรอยู่แบบนี้
⦁ มองความสำเร็จตอนนี้ และก้าวต่อไปอย่างไร?
ตอนนี้สำเร็จตามที่หวังตั้งแต่เด็กมาเป็นขั้นๆ มา แต่ผมไม่รู้ว่าต่อไปเราจะคิดอะไร เราไม่รู้หรอกว่าก้าวต่อไปคืออะไร เราจะรู้ว่าเราสำเร็จก็ต่อเมื่อมันผ่านมาแล้วนะ เราแล้วมองย้อนกลับไปดูว่า อ๋อ เราสำเร็จตรงนั้น
บางทีมันไม่ได้มองเห็นความสำเร็จอยู่ข้างหน้า แล้วไปคว้ามันมาได้แล้วถึงจะสำเร็จ
ตั้งแต่นิทรรศการเสร็จประมาณปี 2022 ตอนนี้ก็ทำงานจิตรกรรมอยู่ ผมมักจะทำเรื่องใหม่อยู่ตลอด เหมือนเรากินอาหาร เราก็จะหาอาหารที่มันแปลกใหม่ไปเรื่อย ชีวิตเราก็ต้องเป็นแบบนั้น มีการพัฒนาการต่อไปเรื่อยๆ จนกว่ามันจะตายไป
ความสำเร็จในอดีต เอาเก็บมาคิดเป็นอะไรไม่รู้ในวันนี้ ทั้งที่มันจบไปแล้ว ไม่มีประโยชน์อะไร ถ้าเราพยายามปล่อยวางใจแบบนี้ใจ เราก็จะโล่ง
ภูษิต ภูมีคำ – เรื่อง
พัทรยุทธ ฟักผล – ภาพ
ชมนิทรรศการ “Deja vu: The Last Chapter” ได้ที่ริชาร์ด โคห์ ไฟน์อาร์ต (กรุงเทพฯ) อาคารปีเตอร์ซัน ถนนสุขุมวิท วันนี้ ถึง 8 มิถุนายน 11.00-19.00 น. (ปิดวันจันทร์) เข้าชมฟรี ติดต่อ : 08-0828-8359