ผู้เขียน | ชญานินทร์ ภูษาทอง |
---|
‘ธัญวัจน์ กมลวงศ์วัฒน์’
ถอดส้นสูง มองคนเท่ากัน
‘สมรสเท่าเทียมผ่าน แต่ยังต้องทำงานกันอีกเยอะ’
“เพราะเราเชื่อในความเป็นคนเท่ากัน เราเชื่อในศักดิ์ศรีมนุษย์ที่เท่ากัน”
ครูธัญ ธัญวัจน์ กมลวงศ์วัฒน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล เปล่งเสียงที่ปนไปด้วยความศรัทธา คือหนึ่งในหัวหอกผู้ร่วมผลักดัน นับตั้งแต่วันแรก ที่กฎหมายสมรสเท่าเทียมได้ก้าวเข้าสู่สภา 18 มิถุนายน 2563
กระทั่งวันนี้ 18 มิถุนายน พุทธศักราช 2567 ถูกจารึกว่าคนไทยเชื้อสาย LGBTQ+ สามารถตั้งรากฐานสร้างครอบครัว จดทะเบียนสมรสรักแบบไร้เส้นแบ่งทางเพศได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย
พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่…) พ.ศ. …. หรือร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียม ผ่านด่านสุดท้าย ในสัปปายะสภาสถานอันทรงเกียรติ ด้วยเสียงหนุน 130:4 งดออกเสียง 18 จาก 152 คน ในองค์ประชุม
ส่ง ‘ไทย’ เป็นชาติแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่ผ่านกฎหมายประวัติศาสตร์ นับเป็นก้าวแรกของของการคืนเกียรติศักดิ์ศรีให้แก่ผู้มีความหลากหลายทางเพศ
กว่า 12 ปีในนามส่วนตัว และ 4 ปีในฐานะตัวแทนพรรคก้าวไกล เคี่ยวเข็ญวาระสำคัญด้วยความมุ่งมั่นไม่ลดละ
หากแต่ตัวตนที่แท้จริงของ ‘ครูธัญ’ กลับเรียบง่ายกว่านั้น เป็นลูกคนสุดท้อง น้องของอีก 5 คน เป็นคนกรุงเทพฯ ที่หลงใหลในคลื่นทะเล ใช้เวลาวันว่างไปกับการนั่งพักผ่อนริมหาดพัทยาชิล..ชิล พร้อมจกข้าวเหนียวส้มตำ ดื่มด่ำบรรยากาศอันไพรเวต
แอบกระซิบตรงๆ ว่า เป็นคนอินโทรเวิร์ตมากๆ
แต่พร้อมออกมาเปิดหน้าสู้เพื่อคนหมู่มาก เพื่อกฎหมายที่เท่าเทียม เพราะเชื่อในความ ‘คนเท่ากัน’
ต่อไปนี้คือบทสนทนาที่พรั่งพรูออกมาด้วยความปลาบปลื้มใจ บางช่วงหวนอดีตของกลุ่มเพื่อนกะเทยในวัยเด็ก ที่เคยจินตนาการถึงความฝัน อันไม่นึกว่าจะมีทางเป็นไปได้
⦁ โมเมนต์ที่รู้ว่ากฎหมาย ‘สมรสเท่าเทียม’ ผ่านเรียบร้อยแล้ว?
เป็นช่วงเวลาที่เกิดขึ้นหลากหลายความรู้สึกมาก ย้อนกลับไปในช่วงที่กฎหมายสมรสเท่าเทียมผ่านวาระหนึ่ง ครูธัญก็รู้สึกว่าตัวเบาๆ มีความว่างเปล่า เลยอยากใช้เวลากับตัวเอง ขึ้นไปบนรูฟท็อปของสัปปายะสภาสถาน เป็นอาคารรัฐสภา ไปยืนนึกถึงเรื่องราวที่ผ่านมา มองฟ้าไปเรื่อยๆ
เรานึกถึงหน้าตาทุกคนที่สูญเสียโอกาส สูญเสียชีวิต คิดถึงเพื่อนเราที่เคยร้องไห้ คิดถึงความเป็นไปไม่ได้ในอดีต คิดถึงสมัยกลุ่มกะเทยเด็กของเราที่คิดหรือจินตนาการชีวิตตัวเองไม่ออก และดูเหมือนไม่มีทางจะเป็นไปได้ นึกถึงเรื่องเล่า หน้าตาประชาชนที่เคยไปพบ เคยไปพูดคุย ที่ได้ถ่ายทอดเรื่องราวของเขา ว่าเขาต้องการสมรสเท่าเทียมมากแค่ไหน เราอยากใช้เวลาเพื่อนึกถึงพวกเขา
และเพื่อย้ำเตือนว่า การเฉลิมฉลองมันก็สามารถเฉลิมฉลองได้ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุด เราต้องไม่ลืมความสูญเสีย เราต้องบอกกับตัวเองเสมอว่า ‘อย่าถอย’ ต้องสู้กับปัญหาที่เกิด อย่าหลงประเด็นว่าเราทำเรื่องนี้เพื่ออะไร
⦁ ย้อนกลับไปในช่วงเวลาก่อนผลักดันกฎหมายสมรสเท่าเทียม มีความคิดริเริ่มอย่างไร?
กว่าจะมาถึงจุดนี้ ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ LGBTQ+ มักอยู่ในสถานะที่ไม่สามารถก่อตั้ง สร้างรากฐานครอบครัวได้ เรื่องครอบครัวเป็นเรื่องที่ LGBTQ+ ทุกคนไม่สามารถที่จะจินตนาการชีวิตอนาคตของเราได้ เราไม่มีนิทาน ไม่มีเรื่องเล่าใดที่จะบอกเล่าเรื่องราวการสร้างครอบครัวให้คนอื่นๆ ได้รับรู้
จุดพลิกผัน (Turning Point) ของเรื่องนี้ เกิดขึ้นจากองค์การอนามัยโลก (World Health Organization: WHO) ในวันที่ 17 พฤษภาคม 2535 เขาถอด LGBTQ+ ออกจากบัญชีโรค ที่ว่าการรักเพศเดียวกันเป็นความผิดปกติทางจิต ซึ่งหมุดหมายนี้เป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้ทั่วโลกมองว่าเราไม่ได้ผิดปกติ แต่คำว่าเพศต้องอธิบายใหม่ว่าคือ เพศวิถี เพศสภาพ มันคือความหลากหลายในสังคม ทำให้ทั่วโลกมองว่า LGBTQ+ เขาเสมอภาคกับคนทั่วไปหรือไม่ เพราะเขาอยู่ในโครงสร้างสังคมที่มองพวกเขาว่าผิดปกติ
จึงเกิดมูฟเมนต์การเคลื่อนไหว ผลักดัน LGBTQ+ ขึ้นทั่วโลก ยกตัวอย่างประเทศฝรั่งเศส มีเรื่อง พ.ร.บ.คู่ชีวิต ในเรื่องการก่อตั้งครอบครัว ซึ่งเป็นเรื่องที่พูดกันทั่วโลก ในประเทศไทย สมัยคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ได้มีคู่รักเข้าไปจดทะเบียนสมรสกัน ชื่อ นที ธีระโรจนพงษ์ และได้รับการปฏิเสธกลับมา เพราะว่าเป็นคู่รักชายรักชาย ไม่เป็นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ หลังจากนั้น นที ก็นำเอกสารต่างๆ มายื่นสู่รัฐสภา ซึ่งในขณะนั้นทางหน่วยงานพยายามที่จะหาทางออกว่าควรทำอย่างไร เพื่อแก้ไขปัญหาตรงนี้ได้
จึงได้ตั้งคณะทำงานขึ้นมาเพื่อพูดคุยถึงปัญหา ซึ่งในขณะนั้นทั่วโลกกำลังพูดถึงเรื่อง ‘คู่ชีวิต’ จึงเป็นไอเดียหลักในว่า เราควรจะมี พ.ร.บ.คู่ชีวิต หรือไม่
⦁ ในตอนนั้น สมรสเท่าเทียมเป็นเพียงข้อเสนอ?
คำว่า ‘สมรสเท่าเทียม’ เป็นเพียงข้อเสนอสำหรับยุคนั้น ซึ่งประเทศต่างๆ ก็เริ่มดำเนินเรื่องเช่นนี้อยู่แล้วบ้างเหมือนกัน ไอเดียตรงนี้จึงนำมาสู่การส่งผ่านมาทางประเทศไทย โดยนักวิชาการ อาจารย์ชวินโรจน์ ธีรพัชรพร หรืออ๋อง นำไอเดียสิ่งนี้ไปปรับให้เหมาะกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ในประเทศไทย ซึ่งเป็นงานวิจัยของมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
ช่วงนั้นเรากำลังสมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) พรรคก้าวไกล ได้ศึกษาถึงนโยบายสาธารณะ เราก็มาดูข้อเสนอระหว่าง คู่ชีวิตกับสมรสเท่าเทียม เพราะตอนนั้นเป็นประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ การแก้ไขจากชาย-หญิง ให้มันเท่าเทียม เราจึงหยิบงานของอาจารย์ชวินโรจน์ มาศึกษาต่อ และมาเดเวลอป เป็นร่างของพรรคก้าวไกล และได้มีการเปลี่ยนอายุสมรสเป็น 18 ปี เพิ่มโหมดการหมั้นเข้าไป ให้ครอบคลุมการก่อร่างสร้างครอบครัวได้ จึงเป็นที่มาของการยื่นกฎหมายสมรสเท่าเทียม เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2563 ในวันนั้น
⦁ ต่อสู้มายาวนานแค่ไหนแล้ว?
กว่า 12 ปี จากคู่รัก LGBTQ+ ที่ไปจดทะเบียนสมรส และไม่สามารถจดทะเบียนได้ในวันนั้น สู่การเคลื่อนไหว การร่วมทำงานหลายภาคส่วน ทั้งฝ่ายรัฐสภา ภาคประชาชนบางกลุ่มที่ต้องการยกร่าง พ.ร.บ.คู่ชีวิต ฉบับภาคประชาชน มีการเคลื่อนไหวต่อมาเรื่อยๆ ซึ่งการแก้ไขประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ก็เป็นเรื่องที่คนพูดถึงจำนวนมาก มีหลายกลุ่มก้อนที่ทำงานกับภาครัฐ
แต่ถ้าในนามพรรคก้าวไกล สมรสเท่าเทียมได้เข้าสู่สภาปี 2563 จนกระทั่งผ่านวาระ ใช้เวลา 4 ปี จริงๆ เรื่องนี้ควรเกิดขึ้นตั้งนานแล้ว หากเราต้องย้อนไป 12 ปีก่อน เรานึกไม่ออกว่า ‘สังคมต้องเกลียดชัง และไม่ยอมรับความหลากหลายทางเพศมากแค่ไหน’ ได้รับคำบอกเล่าจากคณะทำงาน มีชุดความคิดที่บอกว่า อย่าไปแก้ไขกฎหมายประมวลแพ่งและพาณิชย์ มันเป็นของชายหญิง หรือมองว่ากลุ่มคนเหล่านี้ต้องพบแพทย์ก่อน ถึงจะจดทะเบียนกันได้ ยังมีการไม่ยอมรับอยู่ในสังคมจริงๆ เราคิดว่า 12 ปีนานเหลือเกิน เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ถูกต้องที่สุด และเกิดขึ้นอย่างเร็วที่สุด เพราะคือสิ่งที่ถูกพรากไป
⦁ ที่ผ่านมาถูกกีดกันอะไรบ้าง?
เราอยู่ในสังคมที่เขามองว่าเราเป็นพวกผิดปกติมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นโอกาสในการทำงาน โอกาสในการนำเสนอความคิดของเรา ซึ่งน้อยกว่าชายหญิงทั่วไป ในหลายๆ ครั้งเรามีความรู้สึกว่า เรื่องที่เรากำลังจะพูด ก็เหมือนกับเรื่องที่ผู้ชาย หรือผู้หญิงคนนั้นพูด แต่เราก็เห็นได้ชัดเจนว่า เรื่องเดียวกันที่ออกมาจากปากของ LGBTQ+ มักถูกได้รับการยอมรับน้อยกว่า
เหตุการณ์ในอดีต เราเคยออกแบบท่าเต้น ทำโชว์ มักมีการแข่งขันเสมอ การนำเสนอความคิดของเรา แน่นอนว่าเรื่องของเราเป็นเรื่องที่ถูกจำกัดไว้ว่า ภาษาหรือการนำเสนอของเราอาจจะไม่ถูกจริตกับลูกค้าบางกลุ่ม หรือแม้กระทั่งเคยเป็นคอมเมนเตเตอร์ รายการโทรทัศน์รายการหนึ่ง มีระดับทุนใหญ่ของประเทศไทยเขาบอกว่า ‘ทำไมครูธัญทำผมตลกจังเลย’ พอเราอยู่ตรงนั้น เรารู้สึกว่า นายทุนรายใหญ่ที่มีอิทธิพลต่อการสนับสนุนรายการ ไม่ชอบเรา มันทำให้รู้สึกถึงคำว่า ‘โอกาสมันน้อยลง’
⦁ เหมือนกับว่าเมื่อก่อนเสียงของเรายังไม่ดังพอ ที่จะสามารถต่อรองใครได้?
อำนาจต่อรองสำหรับ LGBTQ+ เป็นสิ่งที่ต้องร้องขอ ทั้งที่เรามีความสามารถในการทำงานบางอย่าง นอกจากคำพูดทั่วไปที่คนมองเราว่า เราเป็นพวกผิดเพศ ในบางยุคมีคำสั่งออกมาเลยว่า ห้ามคนที่มีลักษณะแบบนี้ออกโทรทัศน์หรือเล่นละครเลย โดยให้เหตุผลว่า กลัวเด็กและเยาวชนจะเลียนแบบ จึงมีข้อถกเถียง มองว่า LGBTQ+ แกล้งเป็น หรือชอบเป็น คนที่เป็น LGBTQ+ มันเป็นมาตั้งแต่เริ่มต้น แต่เป็นชุดความคิดที่สังคมยังไม่เข้าใจ
⦁ เงื่อนไขทางเพศมีเยอะ นอกเหนือจากสิทธิต่างๆ ที่ควรจะได้รับเท่ากับคู่ชาย-หญิง ยังมีสิ่งใดอีก?
เมื่อกฎหมายสมรสเท่าเทียมผ่าน จะเกิดความเท่าเทียมในสิทธิสวัสดิการโดยทันที การลดหย่อนภาษี หน้าที่ในการบริหารทรัพย์สินร่วมกัน เท่าคู่สมรสชายหญิงทั่วไป สิ่งหนึ่งที่ต้องเปลี่ยน คือเรื่องของสังคมในระดับโรงเรียน ในวันนี้เด็กที่เป็น LGBTQ+ ยังคงโดนล้อ ยังเป็นตัวตลกขบขันในกลุ่มเพื่อน ในกลุ่มสังคม เด็กเหล่านี้ต้องยอมลุกขึ้นมาเพื่อบอกว่า ‘เขาได้รับการยอมรับจากรัฐแล้ว’ สามารถจินตนาการครอบครัวของเขาตั้งแต่เด็ก ว่าอนาคตเขาสามารถสร้างครอบครัวได้ เป็นเรื่องเล็กๆ ที่มีความหมายต่อเด็กคนหนึ่งมาก
⦁ ระบบการศึกษาก็มีส่วนด้วยในเรื่องนี้?
ระบบการศึกษาที่เราพร่ำบอก พร่ำสอนคนในสังคมว่า LGBTQ+ คือคนผิดบาปทางเพศ หรือผิดเพศ จะส่งผลถึงการยอมรับของนานาชาติว่า ประเทศไทยเราโอบรับความหลากหลาย ให้ความสำคัญกับสิทธิมนุษยชน เปลี่ยนแปลงไปถึงการเติบโตด้านเศรษฐกิจ ที่จะมีคนเข้ามาท่องเที่ยว ที่คนจะมาลงทุนในครอบครัวของตัวเอง ทั้งหมดทั้งปวง คือการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกทั้งสิ้น แต่ยังไม่มากพอเท่าคนข้างๆ เรา คือการที่เพื่อนของเรา มีความสุขกับคนที่เขาตัดสินใจใช้ชีวิตกับใครสักคน
⦁ กฎหมายที่อยากให้รองรับเพิ่มเติม?
สมรสเท่าเทียม สังคมโดยรวมยอมรับ แต่คำนำหน้า นาย นาง นางสาว หรือคำระบุเพศ ที่กำลังยื่นกฎหมายต่อภายในเดือนกรกฎาคม เราคิดว่ามันเป็นประเด็นที่ยาก ในเวลาที่พูดถึงเรื่องสมรสเท่าเทียมคนจะยอมรับ แต่พอพูดถึงเรื่องคำนำหน้า คนจะยอมรับครึ่ง-ครึ่ง โดยเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ท้าทาย จะมีชุดความคิดที่ว่ากลัว LGBTQ+ เป็นเรื่องที่ต้องผลักดันต่อไป
⦁ เชื่อว่ากฎหมายจะนำพาให้ชีวิตของชาว LGBTQ+ ราบรื่นขึ้นได้?
กลุ่มคนที่มีความหลากหลายทางเพศ LGBTQ+ ต้องเผชิญกับสิ่งที่เขาต้องตัดสินใจ กฎหมายสมรสเท่าเทียมเป็นสิทธิที่เขาจะใช้ หรือไม่ใช้ก็ได้ แต่ก็ไม่ได้ประกันว่ามันจะไม่มีความรุนแรงในครอบครัว ไม่มีการหย่าร้างกัน สิ่งหนึ่งที่ต้องรับมือ คือหน่วยงานต่างๆ เช่น กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ต้องเตรียมรับมือกับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น ซึ่งความรุนแรงในครอบครัวที่มีความหลากหลายทางเพศ แตกต่างกันอย่างไรกับกลุ่มชายหญิง และมีวิธีการรับมืออย่างไรที่แตกต่างกัน ครอบครัวทุกครอบครัว มีทั้งสุขและทุกข์ เกิดขึ้นกับทุกเพศ เช่นเดียวกับรัฐก็ต้องเตรียมรับมือในหลายๆ ประเด็นเมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นในอนาคต
⦁ มีคำพูดที่ว่า สมรสเท่าเทียม คือการกดให้ชายหญิงไปเท่ากับ LGBTQ+ คิดเห็นอย่างไร?
ต้องถามก่อนว่า คนที่เขาพูด ถอดส้นสูงออกหรือยัง? ต้องมองดูว่าในสิ่งที่บุคคลนั้นพูด เขาเขย่งอยู่หรือไม่ หากเขย่งอยู่ อยากให้วางส้นลง แล้วอยู่บนพื้นฐานของคนธรรมดาทั่วไป ติดดินเหมือนกับประชาชนทั่วไป เขาจะเข้าใจเองว่าไม่ได้เป็นการดึงเขาลงมาต่ำ เพราะว่าเราต้องมองทุกคนให้เท่ากัน นั่นคืออุดมการณ์สำคัญ คุณค่าของประชาชนทุกคนเท่ากันทั้งประเทศ หรือแม้กระทั่งทั่วโลกควรจะยึดถือร่วมกัน
⦁ มองภาพความสำเร็จในวันนี้ เชื่อว่าจะปูทางสังคมไทยให้ไปสู่การเปลี่ยนแปลงทัศนคติได้จริงหรือไม่?
คำพูดจากชายจริงหญิงแท้ บางคำก็ทำให้เราแอพปรู๊ฟขึ้นมาว่ามันเปลี่ยนกฎหมายได้ แต่มันไม่ได้เปลี่ยนความเข้าใจของคน และยังมีชุดความคิดที่ตัดสิน LGBTQ+ ในเชิงลบ ในทางที่ไม่ดี การเลือกปฏิบัติทางเพศ มันไม่ได้ออกมาเป็นรูปธรรมที่สามารถอธิบายได้ แต่คนกลุ่มนี้ยังอยู่ในสังคม และเหตุการณ์ยังเกิดขึ้นซ้ำๆ จนจับได้ว่าเป็นการเลือกปฏิบัติ
เพราะฉะนั้น ความเกลียดชังหรือไม่เข้าใจตรงนี้ มันเกิดจากความไม่รู้ ไม่เข้าใจ ไม่เปิดรับ เรายังต้องทำงานกันอีกเยอะ แม้เรื่องกฎหมายผ่านไปก็จริง แต่เราต้องทำงานเรื่องการสื่อสาร เรื่องการศึกษา เรื่องสื่อมวลชน เรื่องความเข้าใจ ต้องมีหลายภาคส่วนเข้ามาช่วยกันทำให้เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น ให้เป็นเรื่องทั่วไปให้ได้
⦁ Sex worker จะยังผลักดันต่อไปหรือไม่?
เป็นเรื่องที่ส่วนตัวและพรรคก้าวไกลจะยังผลักดันต่อแน่นอน โดยที่ร่างกฎหมายเสร็จสิ้นเรียบร้อย ในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2566 กฎหมายที่ยื่นเข้าไปก่อนหน้านี้ถูกปัดตก เหตุผลคือรับในหลักการ แต่ร่างของ พม.ยังไม่เสร็จ เราก็ไม่รู้ว่าจริงไหม แต่เขาไม่ควรปัดตก ซึ่งเราไม่ได้เครียดในประเด็นดังกล่าว แต่ในประเด็น Sex worker เมื่อเข้าสภา เขาจะปัดตกอีกเหมือนการรับรองเพศสภาพไหม ฉะนั้นเขามีเหตุผลต่างๆ มากมาย และเรากลัวการไม่ยอมรับว่าคนเราเท่ากัน เราคิดว่าความเท่าเทียมทางเพศตอนนี้ ใครพูดก็ดูดี ใครมีโลโก้ก็ดูดี ใครติดธงสีรุ้งก็ดูดี แต่ต่อจากนี้ความจริงใจมันก็ปรากฏขึ้นมาว่า เอ๊ะ! คุณจริงใจกับความหลากหลายทางเพศจริงหรือไม่
⦁ มักมีคำพูดว่า LGBTQ+ต้องมีความสามารถพิเศษ คำเช่นนี้เป็นข้อเท็จจริงหรือเป็นเพียงข้อพิสูจน์ตัวตน?
เราคิดว่ามีส่วนจริง เพราะว่าสังคมมักกดดันเรา เราต้องการที่จะมีพื้นที่ทางความคิด ในสิ่งที่เราพูดหรือสิ่งที่เราคิด เราจึงมีความพยายามมากกว่า แต่ถามว่าต้องมีความสามารถพิเศษด้วยไหม? เราคิดว่าไม่ใช่ เมื่อสังคมกดดันเรา เราจึงต้องออกแรงมากกว่าคนอื่น ในการดำเนินชีวิตมากกว่าคนอื่น และบางครั้งคนทั่วไปก็อาจจะมองว่าชีวิตเราต้องเก่งอะไรสักอย่างเพราะการเป็นเพศทางเลือก มันไม่ได้ถูกยอมรับ ซึ่งเราคิดว่ามีส่วนจริงอยู่
⦁ อยากบอกอะไรเด็กรุ่นใหม่ที่ยังไม่กล้าเปิดเผยตัวตน?
เป็นให้กำลังใจ เพราะตอนที่เราเป็น ส.ส. อย่าว่าแต่เด็กเลย บางคนก็ยังต้องปิดบัง เด็กบางคนเปิดตัวตนไปแล้วที่บ้านก็ไม่ยอมรับ บางคนไม่สามารถใช้ชีวิตกับคนที่เขารักได้ คิดสั้นก็มี ในวันนี้ยังมีเด็กจำนวนมาก แต่ผู้ใหญ่ที่ปกปิดตัวเอง เราให้กำลังใจ และไม่คิดว่าต้องคาดคั้นว่าเราจะจะต้องเปิด มันขึ้นอยู่กับปัจจัยแวดล้อม สังคมที่เขาอยู่ และการทำงานของเขา
เราได้แต่ให้กำลังใจ ซึ่งเป็นเรื่องที่เขาทรมาน เขาไม่สามารถเป็นตัวเองได้ ‘ถ้าลูกคุณเป็น LGBTQ+ คุณจะเสียใจไหม’ หรือถ้า ‘คุณมีเพื่อนร่วมงานที่เป็น LGBTQ+ คุณจะเสียใจไหม หรือคุณจะเกลียดเขาไหม’ เรื่องนี้เราต้องทำความเข้าใจกับสังคม
⦁ โมเมนต์พิเศษจากคนรอบข้าง?
ส่วนตัวที่บ้านไม่เคยพูดเรื่องนี้เลยว่า ‘ครูเป็นกะเทย’ เราอยู่ในบ้านที่พ่อแม่ และคนในครอบครัวยอมรับ ไม่มีใครพูดว่าเราเป็นเพศอะไร แต่เคยมีโมเมนต์พี่ชายไปฟ้องแม่ว่า เราชอบเล่นเป็น ‘สาวน้อยมหัศจรรย์’ (หัวเราะ) แต่แม่ก็ไม่ได้ว่าอะไร แกก็ยิ้ม ตอนนั้นเรามีโมเมนต์ ทำไมพี่ขี้ฟ้องจัง มันเป็นความลับหรือ เราคิดว่ามันเป็นเรื่องปกติด้วยซ้ำ
ทางครอบครัวยอมรับ เพราะว่าเราชอบเต้น เราก็แอบไปเรียนเต้นบัลเลต์เอง ถามว่าขอแม่ได้ไหม ก็ไม่กล้าขอ แต่เราก็คิดว่าแม่รู้ เพราะเราก็เริ่มหัดยกขาให้แม่เห็น สักพักแม่ก็พาไปเรียนเลย เรียนที่ถนนหลังสวน ตอนนั้นผู้ชายเรียนฟรี เก็บเงินค่าซื้อรองเท้า แล้วก็เข้าไปเรียนเลย ที่บ้านเป็นเหมือนเซฟโซน ทำให้รู้สึกไม่อึดอัดเรื่องเพศ
⦁ แล้วนอกบ้านล่ะ?
เคยมีบางช่วงที่เราไปประกวดเวที หรือไปงานต่างๆ เราต้องทำให้ตัวเองดูเป็นผู้ชายนิดนึง จะไปสวยแบบ ใหม่ เจริญปุระ, ทาทายัง ก็คงไม่ได้ในสมัยนั้น
⦁ถ้าจะนิยามตัวตนของ ‘ครูธัญ’?
ตัวตนเราเป็น Gay (เกย์) โดยความเป็นเกย์ของเราก็ไม่ได้มีความเป็นผู้ชาย จะออกไปทางทรานส์เจนเดอร์ ที่หมายถึงไม่ได้อยากทำอะไรกับร่างกายนอกจากไว้ผมยาว ไม่ได้อยากอะไรที่ทำให้มันซับซ้อนกับร่างกาย แต่ในชีวิตจริง คนที่เรียกครู ก็จะเรียกว่า คุณแม่ (หัวเราะ) ตรงนี้ก็เป็นเรื่องที่เราถามตัวเองอยู่ ว่าเราเป็นอะไร แต่ด้วยลักษณะตัวตน เราไม่ค่อยแต่งตัวเยอะ ชอบแต่งตัวสบายๆ สิ่งที่จะประสบพบเจอคือ ‘มึงไม่สวย แต่งตัวโทรม ใส่กางกางวอมเสื้อยืดขาดๆ ผมไม่หวี หัวฟู’ นี่คือครูในสมัยก่อน และจะถูกเลือกปฏิบัติ การแต่งตัวก็เป็นส่วนสำคัญในการที่อีกฝ่ายจะมีเฟิร์สอิมเพรสชั่นด้วย
⦁ มีสมรสเท่าเทียมแล้ว แล้วอยากจดทะเบียนสมรสไหม?
อยาก แต่ยังไม่มีคนจด (หัวเราะ) มีคนถามเข้ามาเยอะมาก ว่าทำเรื่องสมรสเท่าเทียมเพื่อตัวเองหรือเปล่า แต่ขอยืนยันว่าเรื่องแบบนี้เป็นเรื่องที่ควรเกิดขึ้นอยู่แล้ว เราทำเพื่อคนส่วนรวม
แม้ตัวบทกฎหมาย จะหนุนให้ ‘สมรสเท่าเทียม’ เกิดขึ้นได้จริง แต่ยังเป็นเพียงจุดสตาร์ตที่หน่วยงานภาครัฐยังต้องสร้างรากฐาน ล้างอคติที่หยั่งลึก เพื่อรับประกันว่าสิทธิของ LGBTQ+ จะได้รับการคุ้มครองอย่างถูกต้องและเท่าเทียมกับคนทุกเพศ
ชญานินทร์ ภูษาทอง
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- วีน เหวี่ยง จิต ‘นารีวิปลาส’ ‘บุณฑริกา พวงคำ’ ล้วงอคติในความป่วยไข้ ชำแหละสตรีเพศกับความ ‘บ้า’
- แปรรูปปัง สร้างแบรนด์เปรี้ยง! วิสาหกิจชุมชนจุน ศูนย์ข้าวฯ ศรีดอนมูล 2 ต้นแบบอัพเกรดข้าวไทยในยุคโมเดิร์นเทรด
- ส.ส.เขต 2 ชลบุรีพรรคประชาชน เดินหน้าแจง หลังพรรคก้าวไกลถูกยุบ
- เคี่ยวทุกบาท เอกสารต้องครบ ‘กนกนุช กลิ่นสังข์’ ประธานงบฯกทม.68 ‘เราอยู่ตรงไหน ประชาชนต้องได้ประโยชน์’