กรุงเทพฯ จะรอดไหม? กางอดีต กำหนดอนาคต อาจถึงเวลา ตั้ง ‘กระทรวงน้ำ’

กรุงเทพฯ จะรอดไหม? กางอดีต กำหนดอนาคต อาจถึงเวลา ตั้ง ‘กระทรวงน้ำ’
สภาพน้ำท่วมที่พัทยา จ.ชลบุรี หลังฝนตกหนักกว่า 3 ชม. เมื่อ 3 ก.ย.ที่ผ่านมา

กรุงเทพฯ จะรอดไหม?
กางอดีต กำหนดอนาคต
อาจถึงเวลา ตั้ง ‘กระทรวงน้ำ’

ไม่ใช่แค่ภาคเหนือ ที่ต้องเผชิญอุทกภัยครั้งหนักหน่วง

เรายังเห็นภาพมวลน้ำ ที่เอ่อทะลักเข้าบ้านเรือนในพื้นที่ลุ่มต่ำ

ล่าสุด 3 กันยายน ระทึกกลางดึก ประชาชนต้องขนของหนีอลหม่าน เมื่อน้ำป่าทับลาน-เขาใหญ่ทะลักหมู่บ้าน ขณะที่อยุธยาก็ขยายวงกว้าง ล้นตลิ่ง จนท่วมใต้ถุนบ้านสูงเป็นเมตร

ในวันเดียวกันนี้ ฝนถล่มพัทยากว่า 3 ชั่วโมงรวด นนทบุรีเริ่มประกาศแจ้งเตือน 30 ชุมชนเสี่ยง ทำเอาชาวกรุงแอบหวั่นๆ ว่าจะทะลักเข้าสู่ใจกลางมหานครหรือไม่?

ADVERTISMENT

ผลพวงจากน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก ใน 25 จังหวัด อันเกิดจากอิทธิพลจากร่องมรสุม ที่พาดผ่านตอนบนของด้ามขวาน เสริมพลังด้วยมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ จึงกระทบสาหัสถึง 113 อำเภอ 495 ตำบล 2,609 หมู่บ้าน เสียชีวิตไปแล้ว 24 ราย

กว่า 7.5 หมื่นครัวเรือนต้องเผชิญกับความเสียหาย ไม่ต่างจากภัยพิบัติแห่งชาติ

แม้หลายภาคส่วนจะเร่งสูบ ระบาย บรรเทาความเดือดร้อนจนคลี่คลายบางส่วน แต่อีก 5 จังหวัดยังคงจมน้ำ

ท่ามกลางความผวา ยังมีมาตรการ บ้างก็ผุดข้อเสนอฟื้นแก่งเสือเต้น สร้างเขื่อนรองรับแม่น้ำยมที่ไหลล้น บนเสียงเห็นด้วยและคัดค้าน

ในวันที่น้ำท่วมหนัก ภาควิชาวิศวกรรมทรัพยากรน้ำ คณะวิศวกรรมศาสตร์
ม.เกษตรศาสตร์ ร่วมกับ วิทยาลัยการชลประทาน กรมชลประทาน สถาบันสมทบมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ล้อมวงลงลึก “วิกฤตน้ำท่วม ปัญหาและการแก้ไขอย่างยั่งยืน” ณ ห้องประชุมวารีทัศน์ กางข้อมูล ลงดีเทลในอดีต เพื่อฉายภาพสถานการณ์ในปัจจุบันให้แจ่มชัด

ท่ามกลางนักศึกษา คนเจนใหม่ ที่จะเป็นเรี่ยวแรงสำคัญ ในการคิดค้นนวัตกรรมมายับยั้งปัญหานี้ในอนาคต นับถอยหลังน้ำทะเลหนุน สัมพันธ์กับน้ำแข็งขั้วโลกละลาย
แล้วกรุงเทพฯ จะรอดไหม? รอบนี้จะซ้ำรอยปี’54 อีกหรือเปล่า

กทม.จะรอดไหม?
กางสถิติเทียบฝน ปี’54

ผศ.ดร.ณัฐ มาแจ้ง จากภาควิชาวิศวกรรมทรัพยากรน้ำ ยกข้อมูลสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (สสน.) มาให้ภาพลักษณะของฝน พบว่าค่าเฉลี่ยตั้งแต่ปี 2554 มีความแตกต่าง ทั้งมากขึ้นและน้อยลงจากค่าเฉลี่ย อย่างในปี 2565 สูงกว่าค่าเฉลี่ย ทำให้น้ำเยอะ

“ถ้าค่าสูงจะเป็น ‘เอลนีโญ’ ค่าต่ำจะเป็น ‘ลานีญา’ โดยเฉพาะค่าที่เป็นลบตรงนี้ ส่วนใหญ่จะตรงกับปีที่เกิดน้ำท่วมใหญ่ คือปี 2554, 2560, 2565 ซึ่งตอนนี้เราเริ่มกลัวกัน เพราะเริ่มมีค่าทำนายของฝนช่วงท้ายที่โผล่ขึ้นมาว่าจะท่วมใหญ่อีกหรือเปล่า”

ไม่รีรอ เทียบข้อมูลปี 2554 ที่น้ำท่วมดอนเมือง ตอนนั้นมีพายุ 5 ลูก และร่องมรสุมที่ทำให้ฝนตก น้ำเต็มอ่าง จนเสียหายวงกว้าง ลองหาสาเหตุเมื่อเทียบกับปี 2565 และ 2567 แล้วจะเห็นว่า ‘ปริมาณฝนทั้งปี’ ใกล้กัน

กล่าวคือต้นปีตกน้อย มาหนักตอนช่วงปลายปี โดยปีนี้มีค่าฝนเฉลี่ยเยอะขึ้น แต่ตกหนักเป็นจุดๆ อย่างช่วงสิงหาคมจะตกหนักในลุ่มแม่น้ำตอนบน ทำให้ลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาสูง

ซึ่งรูปแบบฝนตกเดือนสิงหาคมในปี’65 และ 67 จะตกหนักลุ่มโขงตอนเหนือ ลุ่มน้ำยมตอนบน ส่วนน้ำน่านอยู่เหนือเขื่อนสิริกิติ์ ทำให้ฝนที่ตกเข้าเขื่อนหมด แต่จะมีน้ำโขงเหนือที่ไหลลงมา ล้นมาท่วมกว๊านพะเยา” ผศ.ดร.ณัฐให้ภาพ

มองลึกเป็น ‘รายชั่วโมงและรายวัน’ ช่วงที่หนักคือ 21 สิงหาคมปีนี้ จะเห็นค่าฝนสะสมบริเวณตอนบนของไทย

“วันที่ 21 สิงหาคม 19.00 น. จ.น่าน มีฝนตกสะสมทุกวันกว่า 300 มม. เยอะมาก เลยเป็นสาเหตุให้น้ำป่าไหลหลาก มาจนถึงบริเวณพะเยา ท่วมหนักในรอบ 30 ปี”

ไปต่อในเรื่องปริมาณคาดการณ์ฝน เดือนกันยายน-ธันวาคม 2567 จากข้อมูลของ สสน. พบว่าจะมีฝนค่อนข้างเยอะในพื้นที่ต่ำลงมาจากภาคเหนือ จากการรับร่องมรสุม เช่น อีสาน กลางตอนบน ส่วนช่วงตุลาคมฝนก็จะลงไปด้านล่าง และเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคมก็จะมีฝนตกหนักในภาคใต้

“เห็นถึงความต่างจากปี’54 โดยเฉพาะจุดที่ตกหนัก บริเวณลุ่มโขงเหนือ ยม และน่านตอนบน บางที่ตกมากกว่าปี’54 แต่ในภาพรวม ลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาตอนล่าง ที่มีคนเตือนว่าน้ำจะไหลลงมา กทม.จะรอดไหม
มองภาพรวมพอลงมารวมกับน้ำในลุ่มแม่น้ำ ก็ถือว่ายังไม่เยอะมาก” ผศ.ดร.ณัฐทิ้งท้าย

(จากซ้าย) เลอศักดิ์ ริ้วตระกูลไพบูลย์, เฉลิมพล ทองน้อย, ผศ.ดร.ยุทธนา ตาละลักษมณ์ (ผู้ดำเนินรายการ) ชัยยะ พึ่งโพธิ์สภ และ ผศ.ดร.ณัฐ มาแจ้ง

ขอแรงช่วยกัน ไม่ทิ้งลงน้ำ
หวั่นขยะอุดตันเครื่องสูบ

ด้าน เฉลิมพล ทองน้อย ผู้อำนวยการส่วนบริหารจัดการน้ำและบำรุงรักษา สำนักงานชลประทานที่ 11 เล่าถึงการดูแลพื้นที่ในกรุงเทพฯและปริมณฑลที่มีความราบแบน

โดย ลุ่มน้ำเจ้าพระยา อาศัยบริหารจัดการน้ำร่วมกัน 5 หน่วยงาน คือ สำนักงานชลประทานที่ 3 และ 4 (ตอนบน), สำนักงานชลฯที่ 10, 11 และ 12
(กลางและล่าง) ประชุมสถานการณ์ร่วมกันทุกวันจันทร์ เพื่อวิเคราะห์และสั่งการ

มีภารกิจหลักคือ ระบายลงสู่ทะเลให้เร็วที่สุด ปัจจุบันไหลผ่านเขื่อนเจ้าพระยา ราว 1,450 ลบ.ม. คาดว่าจะขึ้นอีกเล็กน้อย แต่ขอไว้ให้ไม่เกิน 1,500 ลบ.ม. ยึดแนวทางคือ ต้น-เก็บกัก, กลาง-ชะลอ และ ท้าย-ระบาย

“มันจะมีเกณฑ์พร่องน้ำ เฝ้าระวัง ปกติ หรือวิกฤต และเรามีเกณฑ์ที่ทำร่วมกับ กทม.อยู่ตลอด เช่น คลองเปรมประชากร ที่จะดึงน้ำลงคลองรังสิต คลองหกวาสายล่าง คลองแสนแสบ และคลองประเวศบุรีรมย์”

ตัวแทนสำนักงานชลประทานที่ 11 คอนเฟิร์มว่า ปัญหาของการระบายหลักๆ คือ ‘วัชพืช’ กีดขวางทางน้ำ

“แต่เรื่องขยะที่ถูกทิ้งลงไปในลำน้ำ ถ้าทุกคนทิ้งกันคนละชิ้น มันก็จะไปกองกันลำน้ำ มีทิ้งที่นอนด้วย มันเป็นปัญหาใหญ่ที่เราต้องช่วยกันแก้ไข” เฉลิมพลอยากฝากเรื่องการมีส่วนร่วม ‘ไม่ทิ้งขยะลงแหล่งน้ำ’

“ถ้าขยะพวกนี้เข้าไปอุดตันสถานีสูบน้ำ แล้วขณะนั้นเป็นช่วงเวลาวิกฤต ผมว่ามันไม่ต้องรอเหมือนปี’54 หรอก แต่มันจะทำให้น้ำท่วมเป็นจุดขึ้นมาได้ ณ จุดนั้น” เฉลิมพลเน้นย้ำ

ถอดบทเรียน ‘ท่วม’
อาจถึงเวลาตั้ง ‘กระทรวงน้ำ’

ในตอนหนึ่ง อาจารย์เลอศักดิ์ ริ้วตระกูลไพบูลย์ ผู้ทรงคุณวุฒิวิทยาลัยการชลประทาน ย้ำว่าการบริหารจัดการน้ำ ต้องรู้ อดีต ปัจจุบัน และอนาคต ยกเคสปี 2526 ที่กินเวลานาน เพราะเจอ 3 ทัพ ทั้งน้ำจากฟ้า (ฝน) จากบก (น้ำเหนือ) และน้ำทะเลหนุน

บทเรียนนี้จึงนำมาสู่การแก้ไข โดยกรมชลฯไปรับหน้าเสื่อ สร้างอาคารปั๊มน้ำออกไปสู่เจ้าพระยา ตั้งแต่ จ.นนทบุรี ลงไปจนถึงสถานีสูบน้ำเจริญราษฎร์ เวลานั้นมีการสร้างคันกั้น เขตพื้นที่สีเขียว (Green Belt) เลาะไปกับถนนกิ่งแก้ว-ร่มเกล้า รวมถึงสร้างสถานีสูบน้ำขึ้นมามหาศาล แถวพระโขนง-สำโรง ซึ่งความจริงเสนอโปรเจ็กต์นี้ไปตั้งแต่ปี 2525 แต่ถูกปัดตก

“โปรเจ็กต์นี้จริงๆ ประมาณ 800 กว่าล้าน พอมาทำปี 2527-2528 ออกมา 1,500 กว่าล้าน แต่ก็ยังไม่สมบูรณ์ จนมีน้ำท่วมปี 2538 ถึงได้รู้ว่า กทม.ไม่ได้คอนโทรลเลย มีบ้านเรือนเข้าไปตาม Green Belt เต็มไปหมด”

“หลังน้ำท่วม ก็มีการปรับปรุง ซึ่งผมเป็นคนทำเรื่องโอนประตูน้ำทั้งหมดริมเจ้าพระยาให้กับ กทม.แล้ว กทม.ก็รักษาพื้นที่ตัวเอง แต่พร่องน้ำไม่เป็น จนกระทั่งเกิดปัญหาในปี 2538 ที่อีก 11 ปีต่อมาก็ท่วมอีกในปี 2549 เราก็ยังมีจุดอ่อนบางโฉมศรี ที่ทำให้น้ำท่วมปี 2554”

เลอศักดิ์เห็นปัญหาที่เกิดขึ้นอยู่ซ้ำๆ เพราะไม่สามารถบูรณาการ (integration) ได้

3 สิ่งสำคัญที่ต้องคำนึงถึงคือ 1.ข้อมูล 2.การสื่อสาร และ 3.การตัดสินใจ

ตอนนี้เรามีดาต้า แต่ยังขาดการบูรณาการที่จะมาช่วย ยกเคส ‘อีสาน’ ที่แล้ง เมื่อมีการพูดคุยกัน ต้นเดือนตุลาคม ก็จะเริ่มเติมน้ำในอ่างฯตามสถานการณ์

“ตอนนี้เราไม่มีคนที่จะมาช่วย พูดคำตรงๆ แล้วสามารถแปลงไปสู่นโยบายได้ ท่วมครั้งนี้สรุปได้เลยว่า สาเหตุหลักเกิดจาก ‘การใช้ประโยชน์ที่ดิน (Land Use)’ โดยเฉพาะใน จ.น่าน การปลูกข้าวโพด สิ่งต่างๆ น้ำไม่ได้ลงอ่าง แต่นักวิเคราะห์จะรู้ ถ้ารัฐบาลจะทำ ควรทำเรื่องนี้” เลอศักดิ์ชี้

มองอนาคตล่าสุด ‘จีน’ จัดการฝนช่วงโอลิมปิก โดยทำให้ตกก่อน แล้วไม่ให้เข้ามาในพื้นที่แข่งขัน

“เราต้องมีคนมาคิดเรื่องพวกนี้ อีกไม่กี่ปีข้างหน้า การทำฝนก็ไม่จำเป็นต้องขึ้นเครื่องบินแล้ว ขณะนี้สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตรร่วมกับ ม.ชิงหัว ทำระบบ อีกไม่กี่สัปดาห์จะเริ่มทดลองที่เขื่อนปราณบุรี ทำฝน โดยใช้คลื่นความถี่ต่ำ”

ผู้ทรงคุณวุฒิวิทยาลัยการชลประทานเห็นความจำเป็นของการมี กระทรวงน้ำ เมื่อกฎหมายแก้ยาก อาจถึงเวลา ‘ปรับโครงสร้างทางด้านน้ำ’ ให้ทันสมัย สอดคล้องกับอนาคต

สร้างดาวเทียม ให้ทันยุค
‘ฟื้นแก่งเสือเต้น’ ต้องให้ข้อเท็จจริง

เป็นประเด็นที่ไม่พูดถึงไม่ได้ การสร้างเขื่อนแก่งเสือเต้น ที่ ต.สะเอียบ อ.สอง จ.แพร่ เพื่อแก้ปัญหาท่วมใน ‘ลุ่มน้ำยม’

ควรทำไหม?

เลอศักดิ์บอกว่า สร้างเขื่อนแบบเดิมไม่ได้แล้ว ต้องถอดบทเรียนว่า 1.ความเป็นอยู่ของคนในพื้นที่จะดีขึ้นไหม 2.ต้องให้ความจริง จำนวนความเสียหาย รัฐจะบริหารจัดการอย่างไร

“ผมคิดว่าความจำเป็นการสร้าง ‘แก่งเสือเต้น’ ต้องให้ข้อดีข้อเสียกับประชาชนในพื้นที่จริงๆ ตัดสินใจ”

เสนอใช้ระบบแบบที่ไต้หวันทำ คือ ‘ดีล’ กับประชาชนโดยตรง เพื่อไม่พลาดซ้ำเหมือนในอดีต ในเรื่องการจัดการที่ดิน

“ถึงเวลาที่กรมชลฯจะต้องปรับ ปัญหาด้านการสื่อสาร อย่างในปี 2554 การเมืองทำให้กรมชลฯไม่สามารถชี้แจงสภาพน้ำได้ เพราะกระทรวงเกษตรฯและกระทรวงทรัพยากรฯอยู่คนและพรรค จะเห็นว่าทางเลือกเกิดขึ้นโดยข้อจำกัด แต่โดยแนวโน้มปีนี้น่าจะดีขึ้น” เลอศักดิ์เชื่ออย่างนั้น

‘บูรณาการ’ เป็นข้อกังวลใจ ที่ขอย้ำ กทม.อีกรอบ

 

“ไม่อย่างนั้น ถ้ากรุงเทพฯ ก็จะต้องสร้างคันกั้นน้ำสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ตอนนี้สร้างสูง 2.50 เมตรแล้ว สิงห์บุรี อ่างทอง ตอนเหนือ เขาก็ต้องป้องกันตัวเองมาตลอด น้ำก็จะพุ่งมาเร็วขึ้น นี่คือสิ่งที่คนกรุงต้องรู้”

อีกเรื่องที่ต้องคำนึงคือ น้ำทะเลหนุน ล่าสุดข้อมูลธารน้ำแข็งจากภูเขาหิมาลัย สปีดเร็วขึ้นมาก ซึ่งจะมีอิมแพกต์กับน้ำทะเลหนุนด้วย

เลอศักดิ์มองอนาคต ‘การใช้ดาวเทียมในการจัดการน้ำ’ จะมีบทบาทอย่างมาก

“ถ้ากรมชลฯไม่อยากตกยุค ต้องคิดสร้างดาวเทียมของตัวเองได้แล้ว”

ถามถึงแนวโน้มท่วม กทม.? นอกจากพายุที่ต้องจับตาว่าจะมาไหม ด้วยเกณฑ์ฝนอาจไม่มากพอที่จะท่วม แต่ ‘สิ่งกีดขวางทางน้ำ’ ยังเป็นพอยต์สำคัญ

“น้ำต้องการออกสู่ทะเล ปี 2554 ที่ผิดพลาด เพราะเอาบิ๊กแบ๊กไปขวาง ชะลอไว้ 20 กว่าวัน ผมอยากให้นักศึกษาที่จะบริหารจัดการน้ำในอนาคต พยายามอัพเดตให้ทันกับโกลบอล คีย์เวิร์ดสำคัญคือ ต้องเบ็ดเสร็จตั้งแต่ใต้ดิน ผิวดิน และอากาศ เป็นหนึ่งเดียวกันทั้งโลก ‘water is energy’ เพื่ออยู่รอดในศตวรรษที่ 21” เลอศักดิ์กล่าวปิดท้าย

ทำแอพพ์ ‘ทำนายอนาคตน้ำ’
ต้องบาลานซ์ ทั้งท่วม-แล้ง

“น้ำคือธรรมชาติ จึงต้องบริหารจัดการด้วยวิธีธรรมชาติ ให้เขาอยู่กับเราได้และไปสู่จุดมุ่งหมาย คือออกสู่ทะเลได้เร็วที่สุด”

ชัยยะ พึ่งโพธิ์สภ ผู้อำนวยการวิทยาลัยการชลประทาน เริ่มจากย้อนดูประวัติศาสตร์ ปี 2554 เป็นปีที่ ‘ผิดธรรมชาติ’ ซึ่งการบริหารต้องดูเป็น ‘ลุ่มน้ำ’ ลุ่มที่เกี่ยวกับเจ้าพระยาคือ ปิง วัง ยม น่าน มี 22 จังหวัด แยกกันกับ ‘ลุ่มน้ำอีสาน’

ในปี 2549 และ 2555 มีฝนมาก ส่วนปี 2565 ท่วมเพราะยังมีปริมาณฝนสะสม ในขณะที่ปีนี้ ‘ยังไหวอยู่’

เทียบให้เห็นจากทุกแหล่งที่มา จนเห็นได้ว่า สถานการณ์ไม่เหมือนปี 2554

เริ่มจาก ‘น้ำท่า’ หรือ ‘น้ำเขื่อน’ ปัจจุบันยังรับได้ที่ 12,000 ล้าน ลบ.ม.

หากเจาะไปที่ ‘ฝน’ ปี 2554 ฝนสะสมที่ 1,236 มม. ส่วนปี 2567 เพียง 928 มม. จะพบว่าปี 2554 สูงกว่าปกติ +30% ขณะที่ ‘พายุ’ ในปี 2554 มี 5 ลูก แต่ปัจจุบันยังไม่มีพายุ

“ปีนี้เราบริหารแบบมีศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้า มีศูนย์ปฏิบัติการน้ำอัจฉริยะ (SWOC) ผู้บริหารสูงสุดของประเทศเข้ามารับฟังข้อมูลและสั่งการทันที เร็วกว่าปี 2554 ผมพูดเลย

เพราะปี’54 ผมเป็นคนหนึ่งที่อยู่สนามบินดอนเมือง และปี’54 เราไม่ได้ใช้เครื่องมือที่กรมชลฯสร้าง เพราะน้ำทะลุออกข้างหมด เพราะน้ำไม่ได้อยู่ในชาแนล ทั้งประตูระบายน้ำและเครื่องมือที่จะปั๊มออกสู่ทะเล ก็ไม่สามารถเปิดได้ เพราะมวลชน และไม่มีคนสั่งการเบ็ดเสร็จ” ชัยยะชี้ให้เห็นผลจากการป้องกันตัวเองมากเกิน ไม่ได้มองภาพรวม

ส่วนความแตกต่างคือ ตอนนี้มีแบบจำลองและนวัตกรรมมากมาย ที่พร้อมเข้ามาช่วย

อีกปัจจัยที่ กรมชลฯต้องคิดแล้วคิดอีก คือการบริหารต้องดูทั้ง ท่วมและแล้ง เพราะในลุ่มเดียวกันอาจจะมีฝั่งนึงท่วม อีกฝั่งอาจแล้ง จากฝนที่กระจุกตัว

“ก่อนมาที่นี่ ก็ได้คุยกับที่โคราช ถ้า 2 เดือน แถวนั้นพายุไม่เข้า แล้งแน่ๆ ต้องดูในภาพรวม”

อ.ชัยยะยกปริมาณน้ำที่ จ.นครสวรรค์ ตอนนี้เขื่อนเจ้าพระยากำลังเร่งระบาย แน่นอนว่าจะมีผลกระทบส่วนหนึ่งกับพื้นที่ลุ่มต่ำ แต่ภาพรวมยังไม่กระทบมาก

“เรามีแผนและการสั่งการที่ดี ขอให้ติดตามผลลัพธ์ ไม่อยากได้ยินว่า เราสั่งการเปิดให้เอาน้ำเข้าแค่ 2 ชม.แล้วปิด ซึ่งไม่ได้ปิดโดยกรมชลฯ แต่ปิดโดยพื้นที่ขอให้ปิด และมีแรงกดดันด้วย นี่คือสิ่งที่ต้องคำนึงถึง”

จากมาตรการ 10 ข้อ อ.ชัยยะเน้นข้อที่ 8 อย่างมาก คือ ‘การสร้างความเข้มแข็งของเครือข่ายภาคประชาชน’ ลงไปคุยกับมวลชนให้เข้าใจ ซึ่งกรมชลฯจึงตั้งกองส่งเสริมการมีส่วนร่วมขึ้นมา

“มวลน้ำบริหารไม่ยาก แต่มวลชนหนักหนาสาหัส ต้องทำงานคู่ขนาน อาศัยหน่วยประสานและการสั่งการเฉพาะ” อ.ชัยยะเน้น

พร้อมเสนอ ‘สร้างแพลตฟอร์ม’ เพื่อบริหารจัดการน้ำของประเทศ

“ขณะนี้ ในส่วนของกรมชลฯกับ มก.และภาควิชาวิศวกรรมน้ำ ก็กำลังทำแพลตฟอร์มด้านความต้องการน้ำ ซึ่งอยู่ระหว่างการวิจัย หากเอามาเชื่อมเรื่องอุทกภัยด้วยจะเป็นเรื่องที่ดี ทำนายในอนาคตข้างหน้า

น้ำท่วมและแล้งต้องบริหารจัดการไปพร้อมกัน”