
ผู้เขียน | วิภา จิรภาไพศาล |
---|
เปิดข้อมูลใหม่
‘พระราชธิดา’ ที่สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงทูลขอ มาจากอาณาจักรใด?
ประวัติศาสตร์สมัยกรุงธนบุรี เรื่องสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงทูลขอ “พระราชธิดา” พระเจ้ากรุงจีน เป็นประเด็นหนึ่งของเหตุการณ์บ้านเมืองสมัยนั้น ที่ยัง “ถกเถียง” กันเรื่อยมา ว่าเป็น “เรื่องจริง” หรือ “ข่าวลือ”
เรื่องการทูลขอพระราชธิดาพระเจ้ากรุงจีนนั้น นิตยสาร “ศิลปวัฒนธรรม” ฉบับเดือนกันยายน 2567 ขอเสนอข้อมูลใหม่ที่ สุทธิศักดิ์ ระบอบ สุขสุวานนท์ ค้นคว้าและเรียบเรียงไว้ในบทความที่ชื่อ “โอละพ่อ! กรณีสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทูลขอพระราชธิดาสมเด็จพระเจ้ากรุงจีน”
ที่เริ่มจาก เมื่อแรกสถาปนากรุงธนบุรี ที่ต้องให้ราชสำนักจีน “รับรองสถานะ” สำหรับพระเจ้าแผ่นดินกรุงสยามผู้กอบกู้บ้านเมืองขึ้นใหม่ การได้รับการรับรองจากจีนสามารถใช้อ้างอิงสิทธิอันชอบธรรมของการเป็นกษัตริย์ต่อดินแดนภายนอก ขณะที่ในทางการค้าก็มีผลประโยชน์ในการจัดแต่งสำเภาไปค้าขาย ฯลฯ
สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี จึงมีรับสั่งให้จัดร่างพระราชสาสน์, แต่งคณะทูต, เตรียมเครื่องราชบรรณาการไปเจริญพระราชไมตรีกับประเทศจีน นั่นคือประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้น
ทว่า การเจริญสัมพันธไมตรีก็เป็นเหตุให้เกิด “พงศาวดารกระซิบ” ขึ้นในราชสำนักรัตนโกสินทร์ว่า สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงทูลขอพระราชธิดาสมเด็จพระเจ้ากรุงจีน ในประเด็นต่างๆ เช่น ความมักใหญ่ใฝ่สูงจนเกินศักดิ์ของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี, การชี้นำถึงพระอาการ “พระจริตฟั่นเฟือน” ของพระองค์ ฯลฯ นำไปสู่การปราบดาภิเษกอันชอบธรรม โดยต้นทางที่เป็นข้อมูลให้อ้างอิง ได้แก่
จดหมายความทรงจำของพระเจ้าไปยิกาเธอ กรมหลวงนรินทรเทวี (เจ้าครอกวัดโพ) พระกนิษฐาต่างพระชนนีในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 ให้ข้อเท็จจริงแตกต่างจากพระราชสาสน์ไปเมืองจีนครั้งกรุงธนบุรี จ.ศ.1143 ปีฉลูตรีศก
โดยอ้างว่า สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพระยาศรีธรรมาธิราชผู้เฒ่า หลวงนายฤทธิ์ และหลวงนายศักดิ์ เป็นราชทูต อัญเชิญเครื่องราชบรรณาการไปกราบบังคมทูลขอพระราชทานพระราชธิดาจากสมเด็จพระเจ้ากรุงจีนในคราวนั้นด้วย ความว่า

“ให้แต่งสำเภาทรงพระราชสาส์นไปถึงพระเจ้าปักกิ่ง ให้เจ้าพระยาศรีธรรมาธิราชผู้เถ้า กับหลวงนายฤทธิ หลวงนายศักดิ์ เปนราชทูต หุ้มแพรมหาดเล็กเลวไปมาก แต่งเครื่องราชบรรณาการไปกล่าวขอลูกสาวเจ้าปักกิ่ง”
เรื่องนี้ ผู้เขียน (สุทธิศักดิ์ ระบอบ สุขสุวานนท์) มีข้อพิจารณาที่น่าสนใจว่า

สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพระยาศรีธรรมาธิราช หลวงนายฤทธิ์ และหลวงนายศักดิ์ เป็นราชทูตไปทูลขอพระราชธิดาสมเด็จพระเจ้ากรุงจีนนั้น ขัดต่อธรรมเนียมปฏิบัติทางการทูตของราชสำนักสยาม ด้วยผู้ทำหน้าที่เป็น “ราชทูต” จะได้รับการแต่งตั้งแค่เพียงคนเดียวเท่านั้น การแต่งตั้งราชทูตพร้อมกันถึง 3 คนนั้น เป็นเรื่องผิดวิสัย
ทั้งจดหมายเหตุเรื่องพระราชสาสน์ไปเมืองจีนครั้งกรุงธนบุรี จ.ศ.1143 ปีฉลูตรีศก ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า พระยาสุนทรอภัยเป็นข้าราชการเพียงท่านเดียวที่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นพระยาราชทูตอัญเชิญพระราชสาสน์และเครื่องราชบรรณาการไปเจริญพระราชไมตรียังกรุงปักกิ่ง
บันทึกความทรงจำของพระยากระสาปนกิจโกศล (โหมด อมาตยกุล) จางวางกรมกระสาปน์สิทธิการ ที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน และที่ปรึกษาส่วนพระองค์ รัชกาลที่ 5 อันเป็นบันทึกประวัติบรรพบุรุษต้นตระกูลอมาตยกุล กล่าวเรื่องสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี “คลั่ง” โปรดเกล้าฯ ให้หลวงนายฤทธิ์ (สมเด็จพระเจ้าหลานเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงนรินทรรณเรศ พระภาคิไนยในรัชกาลที่ 1) ไปทูลขอพระราชธิดาสมเด็จพระเจ้ากรุงจีน แต่คณะทูตสยามกลับทำเป็นนิ่งเสียมิได้แจ้งแก่ราชสำนักจีนแต่ประการใด ความว่า

“เมื่อพระยาตากคลั่งใช้หลวงนายฤทธิ์ ที่เป็นกรมหลวงนรินทร์ฤทธิ์ ไปขอลูกสาวเจ้าปะกิ่ง คุณตาเป็นข้าหลวงเดิมท่านไปด้วย เล่าว่าไปเป็นทูตนิ่งๆ ไม่บอกกับเขาว่ามาขอลูกสาว…”
หากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชนิพนธ์อ้างถึงเอกสารราชการที่ช่วยยืนยันถึงการมีอยู่จริงของคณะทูตสำรับนี้ไว้ในพระราชวิจารณ์จดหมายความทรงจำของพระเจ้าไปยิกาเธอ กรมหลวงนรินทรเทวี (เจ้าครอกวัดโพ) ตั้งแต่จุลศักราช 1129 ถึงจุลศักราช 1182 เปนเวลา 53 ปี ความว่า
“มีหนังสือเจ้าพระยาพระคลัง ถึงจ๋งต๊กหมูอี้ ขอป้ายสำเภาสร้างใหม่ 2 ลำ กับให้ช่วยจ้างต้นหน เปนเงินเท่าไหร่จะเสียให้
อิกฉบับหนึ่ง เปนหนังสือเจ้าพระยาพระคลัง ว่าแต่งให้เจ้าพระยาศรีธรรมาธิราช พระยาราชสุภาวดี พระพี่เลี้ยง หลวงราไชย หลวงศรียศ หลวงราชมนตรี นายฤทธิ นายศักดิ นายเวรมหาดเล็ก คุมสำเภา 11 ลำ พาของไปถวาย…แลให้ข้าหลวงมีชื่อเหล่านี้ซื้ออิฐส่งเข้ามาก่อน แล้วจึงให้เรือกลับไปรับทูต
ทูตสำรับเจ้าพระยาศรีธรรมาธิราชนี้ คงมีพระราชสาส์นฉบับหนึ่งต่างหาก เรื่องขอลูกสาว แต่จะซ่อนแต่งซ่อนแปลกันยังไร ไม่ได้เก็บสำเนาไว้ในห้องอาลักษณ์ทีเดียว จึงไม่ได้ความ…”
ขณะที่ นิราศพระยามหานุภาพไปเมืองจีน ครั้งกรุงธนบุรี ปีฉลู พ.ศ.2324 กลับทำให้อนุมานว่าเรื่องทรงทูลขอพระราชธิดาพระเจ้ากรุงจีนเป็นจริง ด้วยผู้แต่งกล่าวชมความงดงามของหญิงสาวชาวจีนที่พำนักอยู่ในเมืองกวางตุ้ง แล้วพลาดพิงเผลอคิดเลยเถิดไปถึงพระราชธิดาสมเด็จพระเจ้ากรุงจีน ความว่า
“อันหมู่สาวสุดามัชฌิมาหม้าย นั้นแต่งกายแซมมวยด้วยไม้ไหว ที่เยี่ยมยลอยู่บนตึกใน นั้นอำไพพิศพริ้งพรายตา ดูยืนแต่ละอย่างกับนางเขียน ทั้งจีบเจียนยั่วยวนเสนหา ผัดพักตร์ผิวพรรณดังจันทรา นัยนากวัดแกว่งดังแสงนิล นาสิกเสื้องทรงดังวงขอ…แม้นองค์พระธิดาดวงสมร จะเอกเอี่ยมอรชรสักเพียงไหน…”
มาถึงไฮไลต์ที่กล่าวไปแต่ต้นก็คือ “พระราชธิดา” ที่สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงทูลขอ นั้นเป็นจริง แต่ไม่ใช่จาก “เมืองจีน”
เพราะพระองค์มีพระชาติกำเนิดเป็นสามัญชนชาวจีน แม้จะได้เป็นพระเจ้าแผ่นดิน แต่ก็เป็นบ้านเมืองขนาดเล็กที่อยู่ห่างไกล ไม่ปรากฏถ้อยความการทูลขอพระราชธิดาสมเด็จพระเจ้ากรุงจีนในสำเนาพระราชสาสน์ฝ่ายสยามและจีน บวกกับ “ข้อมูลใหม่” ที่สุทธิศักดิ์ค้นคว้า เขาจึงฟันธงว่า “ไม่ใช่จีน”
ส่วนจะเป็นพระราชธิดาจากบ้านเมืองใด เพราะเหตุผลอันใด คำตอบนี้ขอได้โปรดติดตามอ่านใน “ศิลปวัฒนธรรม” เดือนกันยายนนี้ เพราะเราจะไม่สปอยให้การอ่านของท่านเสียรสชาติไปแน่นอน
วิภา จิรภาไพศาล
[email protected]