ที่มา | หน้าประชาชื่น มติชนรายวัน |
---|---|
ผู้เขียน | พนิดา สงวนเสรีวานิช |
เผยแพร่ |
หลังจากที่มีการประกาศยกเว้นค่าธรรมเนียมวีซ่า เพื่อเป็นการสนับสนุนการท่องเที่ยวและกระชับความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับไต้หวัน ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2559 จนถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2560 ตัวเลขนักท่องเที่ยวไทยที่เดินทางไปเยือน “ไต้หวัน” เพียง 4 เดือน มีมากถึง 190,000 คน มากกว่าปีก่อนหน้าถึง 57%
ไต้หวันถึงกับยก “ประเทศไทย” เป็นกรณีตัวอย่างของความสำเร็จสูงสุดในการส่งเสริมการท่องเที่ยวในตลาดอาเซียน
หยวน ไค่ จือ (เคที่ หยวน) เจ้าหน้าที่อาวุโสสำนักงานการท่องเที่ยวไต้หวัน กระทรวงคมนาคม ให้สัมภาษณ์ในโอกาสที่เดินทางมาเยือนประเทศไทย พร้อมกับกลุ่มผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยวจากไต้หวันทั้งหมด 95 คน จาก 52 หน่วยงาน เพื่อร่วมในงาน “เที่ยวทั่วไทย ไปได้ทั่วโลก ครั้งที่ 20” (TITF 2017) ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ระหว่างวันที่ 15-19 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมาว่า การที่มีจำนวนนักท่องเที่ยวจากประเทศไทยไปเที่ยวไต้หวันมากขึ้นถึง 57.2% เป็นเพราะได้รับการสนับสนุนจากคนไทยทุกคนเป็นอย่างดี
จากนี้จะเพิ่มความร่วมมือระหว่างผู้ประกอบการการท่องเที่ยวไทยเเละไต้หวันให้มากยิ่งขึ้น โดยมีแผนจะตั้งสำนักงานที่ประเทศไทย หวังเป็นอย่างยิ่งว่าความร่วมมือของเราจะยิ่งแน่นแฟ้นมากขึ้นและจำนวนนักท่องเที่ยวไทยที่ไปเที่ยวไต้หวันจะเพิ่มมากขึ้น
ชวนชิลไต้หวัน ชมซากุระ-แช่ออนเซ็น
“ปัจจุบันคนไทยที่ไปเที่ยวไต้หวัน ส่วนมากจะไปเมืองไทเป ซึ่งเป็นเมืองหลวงของไต้หวัน หรือไปเที่ยวทางภาคกลาง อยากเชิญชวนให้คนไทยลองเดินทางไปทางภาคใต้และทางตะวันออกของไต้หวันบ้าง เพราะยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอีกหลายแห่งที่คนไทยยังไม่เคยไป”
นางหยวนบอกอีกว่า นอกจากเรื่องของอาหารอร่อยแล้ว อยากให้คนไทยได้ไปสัมผัสกับความงามของธรรมชาติที่ไต้หวัน ซึ่งมีช่วงเวลาให้ชื่นชมความงดงามของดอกไม้ไม่ซ้ำกันใน 4 ฤดู
อย่างซากุระ ที่ไต้หวันก็มีเช่นกัน โดยช่วงเวลานี้ซากุระไต้หวันกำลังบานสะพรั่ง มีให้เที่ยวชมกันยาวๆ ไปจนถึงเดือนมีนาคม เช่นที่ “ซันมูนเลค” หรือวนอุทยานแห่งชาติทะเลสาบสุริยันจันทรา ที่จังหวัดหนานโถว และยังมีที่อุทยานแห่งชาติหยางหมิงซาน ซึ่งอยู่ใกล้ไทเป เนื่องจากแต่ละพื้นที่มีอุณหภูมิต่างกัน ทำให้ซากุระบานไม่พร้อมกัน ซึ่งสามารถโทรศัพท์สอบถามข้อมูลเบื้องต้นได้ฟรี ที่สายด่วนบริการการท่องเที่ยว (+886) 800-011-765
นอกจากความงดงามจากซากุระแล้ว เคที่ หยวน บอกว่า ที่อยากเชื้อเชิญคนไทยให้ไปสัมผัสคือ “ออนเซ็น” ซึ่งมีโรงแรมหลายแห่งเปิดให้บริการออนเซ็น เช่นที่ “อี้หลาน” ซึ่งอยู่ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไต้หวัน หรือที่ “หนานโถว” แม้จะเป็นเขตเดียวที่ไม่มีพื้นที่ติดทะเล แต่ที่นี่มีออนเซ็นที่จัดว่าดีเลิศให้บริการ มีให้เลือกทั้งที่เป็นแบบแช่รวม และแช่เดี่ยวในห้องพัก
เที่ยวชมความงาม แช่ออนเซ็นให้สบายเนื้อตัวแล้ว ที่ไต้หวันยังมีสินค้าแบรนด์เนมให้ซื้อหาในราคาย่อมเยา เช่น รองเท้าวิ่งออกกำลังกาย ที่นักท่องเที่ยวชาวไทยนิยมเป็นอย่างมาก
ปลื้มสัมพันธ์ไท(ย)หวัน เตรียมเปิดทัวร์ตามรอย ร.9
นาย โทนี่ อู ผู้อำนวยการสำนักงานการท่องเที่ยวไต้หวัน ประจำกรุงกัวลาลัมเปอร์ บอกว่า คนไทยกับไต้หวันจะมีนิสัยที่เหมือนกันอยู่อย่างหนึ่งคือ อ่อนน้อมถ่อมตน พร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยาก และเมื่อใครให้ความช่วยเหลือเราก็จะจำไว้ตลอดไป
การที่มีคนมาช่วยเหลือเรา เราจะรู้สึกว่าต้องแสดงความขอบคุณ ทำให้ผมนึกถึงเมื่อปี 2546 ตอนที่ผมไปฮ่องกง ตอนนั้นมีโรคซาร์ระบาด ผมเห็นแพทย์อาสาทำงานช่วยเหลือผู้ป่วยอย่างเต็มที่ สุดท้ายแล้วแพทย์อาสาทั้ง 7 คน และพยาบาลอีก 1 คนต้องเสียชีวิตในครั้งนั้น ผมรู้สึกซาบซึ้งในความเสียสละนี้มาก จึงมีโครงการพิเศษเพื่อขอบคุณผู้ที่ช่วยเหลือผู้อื่นโดยไม่หวังผลตอบแทน และเชื่อว่าในประเทศไทยก็มีคนเช่นนี้ด้วยเหมือนกัน
จึงเตรียมจะประกาศโครงการให้สิทธิพิเศษกับคนในอาชีพที่ทำงานเพื่อประโยชน์สาธารณะด้วยความเสียสละ อย่างแพทย์ ครู ตำรวจ สื่อมวลชน ที่เดินทางไปท่องเที่ยวที่ไต้หวันแล้วใช้บริการพักค้างที่โรงแรม (ซึ่งจะประกาศรายชื่อโรงแรมและบริษัททัวร์ที่ร่วมในโครงการในภายหลัง) ตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป ได้สิทธิพิเศษพักฟรี 1 คืน (1 ห้อง) โดยค่าใช้จ่ายทั้งหมดทางการท่องเที่ยวไต้หวันจะดูแลให้ โดยเตรียมจะเปิดตัวโครงการนี้ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2560 เป็นต้นไป
โทนี่ อู บอกอีกว่า พูดถึงความสัมพันธ์กันระหว่างคนไทยและคนไต้หวันมีความใกล้ชิดกันเสมือนคนบ้านเดียวกัน และเล่าว่า เมื่อ 50 ปีก่อน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เคยเสด็จเยือนไต้หวันไปทอดพระเนตรงานด้านอุตสาหกรรมและเกษตรกรรมที่ไทเป และประทับยังโรงแรมหยวนซาน รุ่งขึ้นเสด็จฯไปเมืองไถจง ทอดพระเนตรการทำนา ยังทรงดำนาด้วย
“เชื่อว่าการที่ประเทศไทยประสบความสำเร็จ มีชื่อเสียงเรื่องข้าว ไต้หวันมีส่วนในความสำเร็จนี้ด้วยเล็กๆ”
โทนี่เล่าด้วยความรู้สึกปีติ และว่า หลังจากที่พระองค์นิวัติประเทศไทยแล้ว ทางไต้หวันยังส่งผู้เชี่ยวชาญไปให้ความรู้เกี่ยวกับเทคนิคการเลี้ยงกุ้งให้กับเกษตรกรที่ดอยอ่างขางอีกด้วย
ด้วยความชื่นชมในพระอัจฉริยภาพและความเป็นมิตรไมตรีระหว่างไทยและไต้หวันที่มีมาอย่างยาวนาน จุดประกายให้เกิดอีกโครงการที่จะส่งเสริมการท่องเที่ยวในไต้หวัน ที่โทนี่บอกว่า ขณะนี้อยู่ในระหว่างการวางแผน โดยจะติดต่อบริษัทนำเที่ยวเพื่อทำเส้นทางท่องเที่ยวตามรอยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทำเป็นแพคเกจทัวร์ให้คนไทยได้ไปเที่ยวชมสถานที่ประวัติศาสตร์
“ผมรู้สึกขอบคุณคนไทยจริงๆ อย่างที่ไต้หวันก็มีแรงงานไทยไปทำงานเป็นจำนวนมาก ซึ่งไม่ว่าจะเป็นการก่อสร้างทางรถไฟใต้ดิน หรือรถไฟลอยฟ้า ที่ประสบความสำเร็จจนทุกวันนี้ คนไทยล้วนมีส่วนช่วยเหลือ ผมจึงพยายามให้คนไทยได้ไปเยือนไต้หวัน และคนไต้หวันได้มาเที่ยวที่เมืองไทย”
อีกตัวเลือกเที่ยวง่าย สบายกระเป๋า
เดินเที่ยวชมโดยรอบบูธการท่องเที่ยวไต้หวัน เห็นถึงความพร้อม ความตั้งใจเชื้อเชิญคนไทยไปสัมผัสเสน่ห์ของเกาะฟอร์โมซ่าแห่งนี้
นอกจากจะให้คำแนะนำรายละเอียดของการเดินทางท่องเที่ยว ที่พักโรงแรม สายการบิน ยังมีขนมของฝากที่ต้องไม่พลาดเมื่อไปไต้หวัน
สิ่งหนึ่งที่สังเกตได้ชัดเจน คือ โบรชัวร์ของสถานที่ท่องเที่ยวหลายๆ แห่งเป็นภาษาไทย อย่างร้านขนมเหวยเก๋อ หนึ่งในร้านขึ้นชื่อเรื่องขายพายสับปะรด ในโบรชัวร์นอกจากเล่าประวัติความเป็นมาของร้านที่ก่อตั้งมานานกว่า 20 ปี ยังแถมแผนที่การเดินทาง รวมทั้งกิจกรรมสอนการทำขนมเป็นภาษาไทยล้วนๆ อีกด้วย
อัสนี สว่างศรี ในฐานะหัวหน้าล่าม สำนักงานการท่องเที่ยวไต้หวัน ประจำกัวลาลัมเปอร์ ซึ่งมาประจำบูธการท่องเที่ยวไต้หวันที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์
ในงาน “เที่ยวทั่วไทย ไปทั่วโลก” บอกว่า ตลอดทั้งวันมีผู้เข้ามาสอบถามรายละเอียดการเดินทางท่องเที่ยวไต้หวันเป็นจำนวนมาก
พูดถึงสถานการณ์การท่องเที่ยวไต้หวัน อัสนีบอกว่า ถ้าเป็นนักท่องเที่ยวที่ไปไต้หวันครั้งแรก นิยมไปที่เมืองไทเป ซึ่งมีสถานที่ให้เยี่ยมชมหลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็นพิพิธภัณฑ์กู้กง อนุสรณ์สถานเจียงไคเช็ค อาคารไทเป 101 ถ้าชอบธรรมชาติที่ไทเปมีอุทยานแห่งชาติหยางหมิงซาน และวัดเทียนหยวน มีบ่อน้ำมันใต้ดินที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ เป็นอีกวิวที่น่าสนใจ
“ปีที่แล้วนักท่องเที่ยวไทยไปเที่ยวไต้หวันเพิ่มขึ้นมาก ทางไต้หวันให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ทำให้คนไทยสนใจมากขึ้น ผมไปเที่ยวเมื่อ 4 ปีที่แล้วคนไทยแทบไม่รู้จักเลย ตอนนั้นผมไปเที่ยวเองและเขียนบล็อกด้วย ก่อนจะมาช่วยงานการท่องเที่ยวไต้หวัน จนตอนนี้เปิดฟรีวีซ่า คนก็ไปมากเป็นทวีคูณ ตัวเลขคนไทยที่เดินทางไปไต้หวันปีที่แล้ว 190,000 คน
“ไต้หวันกับไทยไม่ต่างกันมาก ไม่ว่าจะรสชาติอาหาร วัฒนธรรม ความมีมรรยาทเรียบร้อยชอบช่วยเหลือคนต่างชาติ ทำให้คนไทยเมื่อไปไต้หวันได้รับการต้อนรับอย่างดี โดยเฉพาะคนที่หลงทางถ้าถามทางเขาจะจูงมือพาไปเลย”
คนไทยส่วนใหญ่จะไปเที่ยวที่ไทเป ไปตลาดกลางคืน ซึ่งมีทั้งซือหลินไนท์มาร์เก็ต กงก่วนไนท์มาร์เก็ต ซือต้าไนท์มาร์เก็ต เที่ยวตึกไทเป 101 ไปเมืองโบราณจิ่วเฟิ่น ถ้าชอบชมธรรมชาติจะมีอุทยานทาโรโกะ อยู่ตรงฮวาเหลียน มีทะเลสาบสุริยันจันทรา อาลีซาน ซึ่งที่นี่นอกจากความงดงามของป่าที่สมบูรณ์มากๆ ยังมีเส้นทางรถไฟที่สวยติดอันดับโลกที่นักท่องเที่ยวต้องไปชมซากุระบาน
ส่วนที่เกาสง เมืองใหญ่อันดับ 2 เป็นเมืองท่า จะเที่ยวชมพวกสินค้าครีเอทีฟดีไอวายถ้าคนที่ชอบแนวนี้ขอแนะนำเลย อย่างตามพิพิธภัณฑ์ จะเปิดโอกาสให้เด็กวัยรุ่นได้สร้างงาน เช่นใน ครีเอทีฟปาร์ค ที่ไทเป ซึ่งแปลกใหม่น่าสนใจมาก
อัสนีบอกอีกว่า ที่ไต้หวันนักท่องเที่ยวเอเชียเดินทางไปกันมากจริงๆ คือ เกาหลี ญี่ปุ่น คนจีนก็ไป นอกจากนี้ถ้าไปตามสถานที่ท่องเที่ยวส่วนมากก็จะเจอนักท่องเที่ยวยุโรป
“ไต้หวันให้ความสำคัญกับการท่องเที่ยวมาก เราไปไม่ต้องกังวลเลย เพราะสะดวกปลอดภัยมาก และไม่แพง ถ้าไปเที่ยวทริปสั้นๆ 3 วัน 2 คืน มีเงินแค่หมื่นกว่าบาทก็ไปเที่ยวได้แล้ว ยิ่งแบ๊กแพคเกอร์ยิ่งสบาย สามารถค้นหาที่พักผ่านทางอินเตอร์เน็ตได้เลย ราคาอยู่ที่พันกว่าบาทมีมากมาย”
เก็บกระเป๋าแล้วไปพิสูจน์กันได้เลย
การเสด็จเยือนไต้หวัน
เว็บไซต์ thai.rti.org.tw เผยแพร่ภาพครั้งที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เสด็จประพาสไต้หวันเป็นเวลา 4 วัน ระหว่าง 5-8 มิถุนายน พ.ศ.2506 โดยประธานาธิบดีและมาดามเจียงไคเช็ค เฝ้ารับเสด็จฯ ที่สนามบิน และนำเสด็จไปประทับยังโรงแรมแกรนด์ โฮเต็ล
ทั้งนี้ ได้เสด็จทอดพระเนตรการเกษตรที่ขึ้นชื่อของไต้หวัน เช่น การปฏิรูปที่ดิน ระบบชลประทานและการทำนา 2 ครั้ง ซึ่งรัฐบาลไต้หวันทำได้สำเร็จ ในขณะที่ประเทศไทยกำลังเริ่มทดลองและเผยแพร่ ได้รับการต้อนรับอย่างสมพระเกียรติจากรัฐบาลและประชาชนชาวไต้หวันทั้งประเทศ
ต่อมาในปี พ.ศ.2514 ไต้หวันได้ส่งนายซ่งชิ่งหยุน ผู้อำนวยการฟาร์มฝูโซ่วซาน ผู้เชี่ยวชาญด้านการเกษตรของไต้หวัน ซึ่งรู้จักกันดีในนามปาป้าซุง ไปช่วยงานที่ดอยอ่างขาง สอนการปลูกผลไม้เมืองหนาว เช่น แอปเปิล ท้อ แพร์ สาลี่ ฯลฯ เป็นจุดเริ่มต้นของการปลูกผลไม้เมืองหนาวในประเทศไทย
(ภาพจากคลังข้อมูลมรดกทางวัฒนธรรมแห่งชาติของไต้หวัน)