ถึงเวลาพูดความจริง วงวรรณกรรม ภาพยนตร์ไทย เราอยู่จุดไหนบนเส้นทางสู่สากล?

ถึงเวลาพูดความจริง
วงวรรณกรรม ภาพยนตร์ไทย
เราอยู่จุดไหนบนเส้นทางสู่สากล?

ความเปลี่ยนแปลงของโลก มีผลกระทบโดยตรงกับอุตสาหกรรมหนังสือและอุตสาหกรรมภาพยนตร์ของไทย ทำให้นักเขียน ผู้สร้างภาพยนตร์ต้องทยอยปรับตัวเพื่อให้ตนเองสามารถอยู่รอดได้

ธุรกิจหนังสือไทยในปัจจุบันมีหลายส่วนได้รับผลกระทบ ภาครัฐจะต้องเข้ามามีส่วนในการช่วยเหลือโดยสนับสนุนเงินทุนไปยังอุตสาหกรรมหนังสือทั้งระบบ เพื่อให้วงการหนังสือและนักเขียนไทยก้าวไปสู่ระดับสากลเหมือนต่างประเทศ แต่ปัญหาระดับโครงสร้างแบบนี้ยังส่งผลกระทบเป็นวงกว้างไปถึงวงการภาพยนตร์ไทย ที่เป็นทั้งอุตสาหกรรมและสื่อกลางในการเผยแพร่วัฒนธรรมไทยไปสู่ต่างประเทศ

เมื่อไม่นานมานี้ สำนักส่งเสริมวิชาการรัฐสภา สถาบันพระปกเกล้า คณะอนุกรรมาธิการส่งเสริมต้นทุนทางศิลปะและวัฒนธรรมสู่ความเป็นสากล ในคณะกรรมาธิการศาสนา ศิลปะ และวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร จัดเสวนา ‘เราอยู่จุดไหน บนเส้นทางสู่สากล’ ที่ Jim Thompson Art Center เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ

ADVERTISMENT

หวังชวนแลกเปลี่ยนมุมมองที่จะนำไปสู่การแก้ปัญหาที่แท้จริง

สร้างฝั่งขาย ไม่สร้างวัฒนธรรม
ทำเสียสมดุลอาชีพ
คาใจ นักเขียนไทยไม่สนใจ ‘สิทธิ’

ADVERTISMENT

โตมร ศุขปรีชา นักเขียน นักแปล และคอลัมนิสต์ชื่อดัง เปิดประเด็นว่า ตนทำงานอยู่ในสำนักบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (องค์การมหาชน) หรือ OKMD มีหน้าที่พัฒนาซอฟต์พาวเวอร์ในเรื่องดนตรีและหนังสือ แต่มีปัญหาอยู่ข้อหนึ่งที่แสดงให้เห็นวิธีคิดของรัฐบาลมุ่งมั่นจะสร้างฝั่งที่จะขายมากเกินไป อย่างซอฟต์พาวเวอร์เกี่ยวกับหนังสือ โดยการสร้างนักเขียนขึ้นมาหลายๆ คน แล้วนำไปขายโดยหวังว่าจะมีเจเค โรว์ลิ่ง เกิดขึ้นมาอีก 1 คน แต่กลับไม่สร้างวัฒนธรรมการอ่าน หรือสร้างนักอ่านขึ้นมา ซึ่งตรงนี้ตนคิดว่ามันไม่ใช่!

“ไม่ใช่แค่วงการนักเขียนเท่านั้น แต่วงการดนตรีก็มีความคล้ายกัน คือมุ่งมั่นในการปั้นนักดนตรีหน้าใหม่ขึ้นมาหลายคน เพื่อหวังว่าจะมีนักดนตรีแบบ เทย์เลอร์ สวิฟต์ ขึ้นมา สิ่งเหล่านี้จึงทำให้ระบบนิเวศกับความสมดุลในอาชีพเสียไป” โตมรชี้ปัญหา

จากนั้นยกตัวอย่างแนวคิดของ ศาสตราจารย์ ดร.นิธิ เอียวศรีวงศ์ นักวิชาการชื่อดัง ที่เคยกล่าวเกี่ยวกับวิธีอ่านหนังสือของคนไทยว่า เราไม่ใช่สังคมที่ถ่ายทอดความรู้ ความงาม ความจริงผ่านตัวอักษร แต่เราถ่ายทอดสิ่งเหล่านี้จากการเล่า ไม่ว่าจะมาจากเพลงพื้นบ้าน หรือพ่อเพลงแม่เพลง จากแนวคิดของ ดร.นิธิ ที่เขาพูดกันว่าคนไทยเป็นพวกอ่านหนังสือน้อย ผมจึงคิดว่าไม่ใช่ แต่เราอ่านโซเชียลมีเดียมากกว่า ทำให้เรากลับไปใช้วิธีดั้งเดิมคือ ‘มุขปาฐะ’ หรือการเล่า

“ผมว่านักเขียนในประเทศไทยเป็นกลุ่มที่ไม่สนใจเรื่องสิทธิของตนเองเท่าไหร่ มีนักเขียนหลายกลุ่มที่ภูมิใจด้วยว่ายิ่งจนยิ่งดี เพราะจะได้ใช้ความจนมาเป็นแรงขับเคลื่อนในการสร้างแรงบันดาลใจและจินตนาการ ทำให้การต่อสู้เพื่อเรียกร้องสิทธิของนักเขียนเป็นไปได้ยาก ในอุตสาหกรรรมหนังสือมันไม่ได้เป็นอย่างที่พวกเขาคิด สมมุติว่าหนังสือ 1 เล่ม ราคา 100 บาท เวลาจัดจำหน่ายต้องมีส่วนที่หักไปนำไปมอบให้กับผู้จัดจำหน่าย

เมื่อก่อนจะมีการแบ่งส่วนนี้ระหว่างสำนักพิมพ์และผู้จัดจำหน่ายที่ 60 เปอร์เซ็นต์ และ 40 เปอร์เซ็นต์ ยังต้องแบ่งไปให้นักเขียนกับจ่ายค่าพิมพ์ด้วย เมื่อประมาณ 10 กว่าปีที่แล้วมันมีเหตุการณ์หนึ่ง ที่บรรดาสายส่งออกมารวมตัวกันเรียกร้องให้ขึ้นค่าส่งจาก 40 เปอร์เซ็นต์ เป็น 45 เปอร์เซ็นต์ ผมคิดว่ามันไม่ใช่การขอเพิ่มเงิน แต่เป็นการเปลี่ยนสัดส่วนของรายได้ แปลว่าจะทำให้มีคนหนึ่งได้ประโยชน์ในสิ่งที่อีกฝ่ายเสียประโยชน์

เหตุการณ์นี้ทำให้ผมมั่นใจว่านักเขียนและสำนักพิมพ์ยังมีปากมีเสียงไม่มากเท่ากับองค์กรอื่นๆ เพราะไม่มีภาครัฐสนใจเรื่องนี้อย่างที่ควรจะเป็น” โตมรทิ้งท้าย

หนังสยองขวัญ ‘ส่งออก’ ง่าย
แต่เป็นชนวน ‘สูญเสียความหลากหลาย’
ระบบนิเวศภาพยนตร์พังทลาย

จากวงการหนังสือ มาฟังฟากฝั่งภาพยนตร์กันบ้าง

นนทวัฒน์ นำเบญจพล ผู้กำกับภาพยนตร์ เจ้าของผลงานดังอย่าง ‘ดอยบอย’ เปิดประเด็นด้วยคำถามที่ว่า วงการภาพยนตร์ไทยในปัจจุบันนี้ ก้าวไปสู่ความเป็นสากลแล้วหรือไม่?

“ผมว่ามันมีส่วนที่สร้างขึ้นมาแล้วประสบความสำเร็จจนพาตัวเองไปสู่ความเป็นสากล คือภาพยนตร์สยองขวัญ มีภาพยนตร์จากประเทศไทยหลายเรื่องไปประสบความสำเร็จยังต่างประเทศ เนื่องจากแนวสยองขวัญเป็นแนวภาพยนตร์ที่ส่งออกได้ง่าย ประกอบกับมีการพัฒนานานหลายปี จนภาพยนตร์สยองขวัญก้าวขึ้นไปจนเป็นที่รู้จักในต่างประเทศ แต่พอเป็นแบบนี้ก็เลยเป็นชนวนทำให้เกิดข้อเสียตรงความหลากหลายและระบบนิเวศของวงการภาพยนตร์พังลง

ผมอยากจะยกตัวอย่างเวลาพอเราจะสร้างภาพยนตร์ขึ้นมาเรื่องหนึ่ง ถ้าเป็นภาพยนตร์สยองขวัญ จะหางบมาลงทุนได้ง่ายมาก ตัดภาพมาที่ตัวผม ที่สร้างภาพยนตร์เกี่ยวกับการเมือง ประเด็นสังคม รวมถึงเหตุการณ์ที่แปลกใหม่ช่วงระหว่าง 10 ปีที่ผ่านมา มันลำบากจนถึงขนาดที่ว่า กว่าผมจะหางบมาสร้างภาพยนตร์ต้องใช้เวลานานถึง 4 ปี พอทำหนังเสร็จ โรงภาพยนตร์ที่จะฉายก็ไม่มีอีก ยังมีปัญหาตรงรอบฉายถูกจัดให้ได้ช่วงเวลาที่ไม่ค่อยมีคนมารับชม หนักกว่านั้นภาพยนตร์ยังออกจากโปรแกรมการฉายเร็วกว่าเรื่องอื่นๆ อีก มันคือผลกระทบที่ผมได้รับจากการที่ระบบนิเวศในวงการภาพยนตร์มันเสียไปจากการที่เราพัฒนาแนวภาพยนตร์ที่ไม่หลากหลาย” ผู้กำกับดังเล่าประสบการณ์

จากนั้นตั้งข้อสังเกตว่า เป็นเรื่องน่าแปลกใจที่ภาพลักษณ์ของภาพยนตร์แปลกใหม่ไม่ค่อยได้รับความสนใจจากผู้ชมมากเท่าไหร่ เพราะพวกเขาสนใจ ‘ความบันเทิง’ เป็นอันดับแรก

“สุดท้ายผมก็ต้องพยายามปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมแบบนี้ ไม่งั้นอาจจะไม่มีทีมสร้างภาพยนตร์ของตัวเองได้ ผมจึงสร้างภาพยนตร์ให้มีมูลค่าทางการตลาดเพิ่มมากขึ้นในช่วงหลังด้วย แต่ยังรักษาความเป็นภาพยนตร์สะท้อนการเมืองและสังคมในแบบที่ผมสร้างไว้”

ผมอยากยกตัวอย่างวงการภาพยนตร์เกาหลี ในระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา เกิดความเปลี่ยนแปลงแบบก้าวกระโดด มีการสนับสนุนภาพยนตร์หลากหลายประเภทแบบจริงจัง พวกเขาไม่ได้ให้ทุนแค่ผู้สร้างภายในประเทศ แต่จะพยายามดึงดูดผู้สร้างภาพยนตร์จากทั่วโลก อย่างในเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติปูซาน ที่มีผู้สร้างจากทั่วโลกเข้ามาพูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้กัน

ไม่ใช่แค่นั้น ยังมีภาพยนตร์หลายแนวถูกนำมาฉายเพื่อให้ผู้ชมได้เปิดหูเปิดตา มีเวิร์กช็อปที่แบ่งออกเป็นส่วนต่างๆ ให้ผู้คนที่สนใจงานเกี่ยวกับภาพยนตร์เข้าไปสมัครได้

ซึ่งผมคิดว่าประเทศไทยน่าจะทำแบบนั้นบ้าง เพื่อไม่ให้ความหลากหลายในวงการภาพยนตร์ไทยเสียไป” นนทวัฒน์แนะทางออก

กองเซนเซอร์ ‘พ่อแม่รู้ดี’
ฉุดรั้งหนังไทยไม่พัฒนา แนะปรับใช้โมเดลสากล

ปิดท้ายด้วยมุมมองของ ประกิต กอบกิจวัฒนา ศิลปินและครีเอทีฟโฆษณา ผู้สร้างแคมเปญหาเสียงผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ที่กล่าวเสริมว่า ไทยควรนำโมเดลของประเทศอเมริกา หรือประเทศในแถบทวีปยุโรป เกาหลีและญี่ปุ่นมาวิเคราะห์ ว่าโมเดลภาพยนตร์ของประเทศไหนที่เหมาะกับระบบนิเวศของวงการภาพยนตร์ในบ้านเรา หลังจากนั้นค่อยนำมาปรับปรุงให้โมเดลเหล่านี้เหมาะสมกับประเทศไทย

“เราน่าจะลองนำความสำเร็จของประเทศอื่นๆ เป็นแบบอย่าง อีกอุปสรรคหนึ่งของวงการภาพยนตร์ไทยผมมองว่าเป็นปัญหาของกองเซนเซอร์ที่ชอบทำเป็นพ่อแม่รู้ดี อันนี้ควรดู อันนี้ไม่ควรดู คืนหนึ่งผมทำงานอยู่บ้านแล้วเปิดช่องทีวีที่กำลังฉายภาพยนตร์เรื่อง Avatar ของเจมส์ คาเมรอน ปรากฏว่ากองเซนเซอร์เบลอร่างกายตัวละครทั้งตัว ซึ่งมันเป็นเรื่องประหลาดมาก ไม่เข้าใจว่าทำไปเพื่ออะไร ผมเลยคิดว่าควรจะยกเครื่องสิ่งเหล่านี้ใหม่ทั้งหมด เพราะเราจะไปไกลในระดับสากลไม่ได้เลยถ้าเกิดเราไม่ได้มีวิธีคิดร่วมสมัยที่สอดคล้องกับโลกในยุคปัจจุบัน” ประกิตแนะ ก่อนที่นนทวัฒน์จะร่วมคอมเมนต์ว่า

ถ้าเปรียบเทียบแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งอย่าง ‘เน็ตฟลิกซ์’ พวกเขาไม่อยู่ในกฎระเบียบกองเซนเซอร์เหมือนประเทศไทย ทำให้มีอิสระในการนำเสนอคอนเทนต์ได้หลากหลายกว่าช่องโทรทัศน์ในบ้านเรามาก

“ผมคิดว่านี่คือสาเหตุที่ทำให้ผู้คนไปสนับสนุนเน็ตฟลิกซ์มากกว่าช่องโทรทัศน์ของบ้านเรา จนทำให้คอนเทนต์ข้างในนั้นก้าวไปสู่ระดับสากลได้” นนทวัฒน์เสริม

ทั้งหมดนี้เป็นส่วนหนึ่งของมุมมองหลากหลายที่มีต่อวงการหนังสือและภาพยนตร์ไทยที่ยังไปไหนได้ไม่ไกลเท่าที่หลายฝ่ายวาดหวัง เพราะมีสิ่งฉุดรั้งชนิดที่ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ยังแก้ไม่ได้ หรือไม่ใส่ใจคลายเงื่อนปม?

ภูมิดนัย สารพันธ์

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image