“ไข”ธรรมเนียมพระบรมศพ จากหลักฐานโบราณคดี

ในห้วงเวลาอันเศร้าโศกของผู้คนทั้งประเทศ เรื่องราวเกี่ยวกับพระราชพิธีพระบรมศพตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เป็นสิ่งที่คนไทยควรได้ศึกษาเรียนรู้

คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง จึงจัดการบรรยายเชิงวิชาการเพื่อเผยแพร่ข้อมูลอันเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา

ไขปมปัญหาต่างๆ ที่เคยค้างคาผ่านบทวิเคราะห์ที่ละเอียดลออ

เปิดคำให้การ ขุนหลวงวัดประดู่ทรงธรรม

เริ่มด้วย ธนโชติ เกียรติณภัทร จากภาควิชาภาษาไทยและภาษาตะวันออกของคณะดังกล่าว แม้เป็นอาจารย์ใหม่ป้ายแดง แต่ความรู้แน่นปึ้ก ด้วยเพราะเป็นหนอนหนังสือ รักการค้นคว้าเป็นชีวิตจิตใจ

ADVERTISMENT

ธนโชติ มาในหัวข้อ “ธรรมเนียมการสรงน้ำพระบรมศพ” โดยเล่าว่า ขั้นตอนเกี่ยวกับการสรงน้ำและการประดิษฐานพระบรมศพของไทยในอดีตยังไม่ปรากฏหลักฐานที่เรียบเรียงไว้เป็นตำราหรือแบบแผนอย่างชัดเจน อย่างไรก็ตาม คำให้การของชาวกรุงเก่าระบุว่ามีการชำระและถวายพระสุคนธ์พระบรมศพพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ แล้วเอาผ้าคลุมบรรทมลายริมเงินคลุมพระบรมศพ รอจนพระเจ้าแผ่นดินพระองค์ใหม่มาถวายน้ำสรง แล้วจึงถวายพระภูษาพร้อมเครื่องทรงต่างๆ ก่อนที่จะประดิษฐานไว้บนพระมหาปราสาท สำหรับน้ำที่ใช้สรงนั้นปรากฏในคำให้การขุนหลวงวัดประดู่ทรงธรรมว่าประกอบด้วย “…น้ำหอมแลน้ำดอกไม้เทศแลน้ำกุหลาบหอมต่างๆ…” แสดงให้เห็นถึงการใช้เครื่องหอมที่ได้อิทธิพลจากวัฒนธรรมเปอร์เซีย ซึ่งมีสินค้าสำคัญที่มีชื่อเสียงคือน้ำกุหลาบกลั่น เรียกอีกชื่อว่าน้ำดอกไม้เทศ

 

ธนโชติ เกียรติณภัทร เปิดเผยข้อมูลเรื่องธรรมเนียมการสรงน้ำพระบรมศพ
ธนโชติ เกียรติณภัทร เปิดเผยข้อมูลเรื่องธรรมเนียมการสรงน้ำพระบรมศพ

 

พัฒนาการ”ถวายน้ำสรงพระบรมศพ”ยุคกรุงรัตนโกสินทร์

สำหรับในยุคกรุงรัตนโกสินทร์ มีหลักฐานว่า รัชกาลที่ 1-3 ซึ่งเสด็จสวรรคตในเขตพระบรมมหาราชวัง การถวายน้ำสรงพระบรมศพจะมีขึ้น ณ พระที่นั่งที่เสด็จสวรรคต ต่อมาเมื่อรัชกาลที่ 5 เสด็จสวรรคต ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต อันเป็นสถานที่เสด็จสวรรคต การถวายน้ำสรงพระบรมศพจึงต้องจัดขึ้นนอกพระบรมมหาราชวัง โดยแบ่งเป็นช่วงเช้าสำหรับฝ่ายใน และช่วงบ่ายสำหรับฝ่ายหน้า

ครั้นปลายรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จมาประทับ ณ พระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน และเสด็จสวรรคต ณ พระที่นั่งองค์นี้ การสรงน้ำพระบรมศพเริ่มขึ้นในวันที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ.2468 เวลา 13.00 น. มีการยิงปืนใหญ่นาทีละ 1 นัด จนกว่าจะเสร็จสิ้นการประดิษฐานพระบรมศพ เมื่อสรงพระบรมศพแล้วจึงอัญเชิญลงสู่พระลองเงิน เชิญจากพระที่นั่งจักรพรรดิพิมานขึ้นประดิษฐานเหนือพระเสลี่ยงแว่นฟ้าออกทางประตูสนามราชกิจ

“หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.2475 ธรรมเนียมการสรงน้ำพระบรมศพเปลี่ยนแปลงจากเดิม เนื่องจากปัจจัยทางการเมืองและสังคม รวมถึงพระราชประสงค์ที่เกี่ยวข้องกับการจัดพระราชพิธี ดังจะเห็นได้จากการถวายน้ำสรงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เนื่องจากทรงสละราชสมบัติและเสด็จไปประทับ ณ พระตำหนักคอมพ์ตัน ประเทศอังกฤษ จึงทรงมีพระราชปรารภให้จัดงานพระบรมศพอย่างเรียบง่ายที่สุด

ส่วนงานพระบรมศพรัชกาลที่ 8 และรัชกาลที่ 9 มีการลดทอนขั้นตอนในการเชิญพระบรมศพขึ้นพระยานมาศเข้ากระบวนแห่มายังพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท แต่เปลี่ยนเป็นการอัญเชิญพระบรมศพโดยรถยนต์มายังพระที่นั่งพิมานรัตยาเพื่อถวายน้ำสรงพระบรมศพ ก่อนที่จะประดิษฐานพระบรมศพ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ระหว่างการสรงน้ำพระบรมศพมีการประโคมดนตรี ประกอบไปด้วย มโหระทึก สังข์ แตรงอน แตรฝรั่ง ปี่ และกลองชนะลายทอง ซึ่งเครื่องมโหระทึกนี้จะใช้สำหรับพระมหากษัตริย์เท่านั้น” ธนโชติกล่าว

หน้ากากทองคำ
แผ่นทองจำหลักปิดพระพักตร์ พร้อมด้วยพระสางและซองพระศรี (ภาพจาก จดหมายเหตุงานพระบรมศพสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี โดยกรมศิลปากร พิมพ์เผยแพร่เมื่อ พ.ศ.2541)

 

โกศ กับ”ลำดับศักดิ์”

จบเรื่องธรรมเนียมการสรงน้ำพระบรมศพ มาเปิดสมองรับข้อมูลต่อกันที่ประเด็น “ลำดับศักดิ์ของโกศ” ซึ่งอาจมีมากมายหลากหลายกว่าที่เคยรับรู้ ภคพล เส้นขาว อาจารย์ภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง รับหน้าที่อธิบาย

เริ่มต้นจากรูปแบบทางกายภาพของโกศ

“พระโกศมี 2 ชั้น ชั้นในเรียกว่าโกศ ชั้นนอกเรียกว่าลอง หมายถึงส่วนประกอบของตัวโกศที่หุ้มโกศไว้ข้างใน โดยพระโกศนั้นเป็นภาชนะตัวจริงที่ใช้ในการบรรจุพระศพ ประกอบด้วยตัวถังเป็นโลหะที่ถูกม้วน มีตะแกรงเหล็กสำหรับใช้ในการเผาศพ ลักษณะการบรรจุศพในท่านั่งนั้น มาจากความเชื่อว่าที่ว่า ท่านั่งตายเป็นท่านั่งของผู้มีบุญ

สำหรับพระลองหรือในปัจจุบันเรียกว่าพระโกศทองนั้น ลำดับสูงสุดคือ พระลองทองใหญ่หรือพระโกศทองใหญ่มีทั้งสิ้นสามพระโกศ การใช้พระโกศทองใหญ่นั้น มีมาตั้งแต่สมัยอยุธยา คำว่าทองใหญ่ก็น่าจะมาจากปริมาณทองคำที่ใช้ห่อหุ้มพระบรมโกศ”

ภคพลยังให้เล่าว่า แต่เดิมนั้นพระโกศทองใหญ่ใช้สำหรับพระบรมศพเท่านั้น จนกระทั่งในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ในช่วงปลายรัชกาลที่ 1 โปรดให้รื้อทองคำที่หุ้มพระโกศกุดั่นของสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอทั้งสองพระองค์มาสร้างพระโกศทองใหญ่ แล้วนำมาประดิษฐานเพื่อใช้ทอดพระเนตร ณ พระที่นั่งไพศาลทักษิณ

ภคพล เส้นขาว บรรยายเรื่อง "ลำดับศักดิ์ของโกศ"
อาจรณ เชษฐสุมน คณบดีคณะมนุษยศาสตร์ ม.รามคำแหงกล่าวเปิดงาน

 

หลังจากนั้นไม่นาน สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าฯกรมขุนศรีสุนทรเทพ สิ้นพระชนม์ จึงพระราชทานพระโกศทองใหญ่ไว้ทรงพระศพ กลายเป็นธรรมเนียมที่ว่า พระมหากษัตริย์สามารถพระราชทานพระโกศทองใหญ่ให้ใช้ทรงพระศพเจ้านายก็ได้ ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 5 โปรดให้ สร้างพระโกศทองใหญ่ ซึ่งก็ได้ใช้เรื่อยมา จนถึงในรัชกาลปัจจุบันในการพระศพ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี

จากนั้น เป็นการให้ข้อมูลเกี่ยวกับพระโกศตามลำดับศักดิ์ต่างๆ อาทิ พระโกศทองเล็ก สำหรับพระราชทานเจ้าฟ้าชั้นเอก และผู้ทรงโปรดเกล้าพระราชทานเป็นพิเศษ จัดสร้างในสมัยรัชกาลที่ 5 เพื่อทรงพระศพสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าศิริราชกกุธภัณฑ์

ส่วน พระโกศทองน้อย สร้างมาก่อนในสมัยรัชกาลที่ 4 ใช้ในการทรงพระบรมศพรัชกาลที่ 3 เป็นปฐม ลักษณะพิเศษคือ สามารถรื้อเข้าและรื้อออกได้ตามแต่พระสกุลยศและพระอิสริยยศ

พระโกศไม้สิบสอง สร้างในสมัยรัชกาลที่ 1 สำหรับทรงพระศพ สมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท และใช้สำหรับทรงพระศพพระองค์เจ้าฝ่ายกรมพระราชวังบวร เจ้าพระยา รัฐมนตรีขณะดำรงตำแหน่ง และสมเด็จพระราชาคณะ

โกศราชนิกุล สร้างสมัยรัชกาลที่ 4 พระราชทานให้ประกอบศพ พระยามนตรีสุริยวงศ์เป็นปฐม

โกศเกราะ สำหรับผู้มีรูปร่างใหญ่ ที่ไม่สามารถลงลองสามัญได้ สร้างในสมัยรัชกาลที่ 4 สร้างพระราชทานให้ประกอบศพเจ้าพระยานิกรบดินทร เป็นต้น

 

เปิดประวัติศาสตร์การ”ไว้ทุกข์”

การไว้ทุกข์ เป็นอีกประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจ ว่าในสยามประเทศไทยและภูมิภาคอุษาคเนย์ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีธรรมเนียมดังกล่าวตั้งแต่เมื่อไหร่

รุ่งโรจน์ ภิรมย์อนุกูล อาจารย์ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์ ม.รามคำแหง จะมาช่วยไขข้อข้องใจนี้ผ่านหลักฐานมากมายที่เจ้าตัวทุ่มเทค้นคว้ามาเปิดเผย

รุ่งโรจน์เปิดประเด็นด้วยการตั้งคำถามว่า ธรรมเนียมการไว้ทุกข์ที่ปฏิบัติกันอยู่เช่น การนุ่งขาวห่มขาว การใส่ชุดดำ หรือแม้แต่การโกนผม เป็นธรรมเนียมแต่ดั้งเดิมหรือไม่? โดยย้อนกลับไปอ่านพระวินิจฉัยของ สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ซึ่งระบุว่า

“ธรรมเนียมการไว้ทุกข์เราเอาอย่างต่างประเทศมาทั้งนั้น ของเราเองไม่มี”

ทว่า อาจารย์ท่านนี้ยังไม่สิ้นสงสัย จึงลองค้นข้อมูลแบบภาพกว้างไปยังดินแดนต่างๆ ในอุษาคเนย์ พบหลักฐานว่ามีการไว้ทุกข์ในรูปแบบต่างๆ อาทิ จดหมายเหตุของ ม้าตวนลิน ซึ่งมีอายุในราวกลางพุทธศตวรรษที่ 12 หรือกว่าพันปีมาแล้ว ระบุว่า ชาวเมือง จิถู ซึ่งตั้งอยู่คาบสมุทรมลายู เมื่อบิดา มารดา หรือพี่ชายถึงแก่กรรม เขาผู้นั้นจะโกนศีรษะและนุ่งห่มขาว และยังกล่าวว่าในอาณาจักรจามปา สำหรับผู้ตายที่ไม่มีบรรดาศักดิ์จะมีการเก็บกระดูกไว้ภาชนะดินเผาและทิ้งลงไปในแม่น้ำ ส่วนญาติหญิงชายของผู้ตายจะเดินตามขบวนศพและตัดผมของตนก่อนที่จะออกมาจากฝั่งแม่น้ำ สิ่งนี้เป็นสิ่งเดียวที่แสดงถึงการไว้ทุกข์อย่างสั้นๆ

นอกจากนี้ บันทึกของ จิวตากวน ชาวจีนที่เข้ามายังเมืองยโศธรปุระ (กัมพูชา) ในปี พ.ศ.1839 ก็จดไว้ว่า “ในการตายของบิดามารดาไม่มีเครื่องแต่งกายไว้ทุกข์ แต่บุตรชายนั้นจะโกนผมศีรษะ บุตรหญิงจะตัดผมที่เหนือหน้าผากให้เป็นวงขนาดเท่าอีแปะเป็นการไว้ทุกข์ให้”

 

ชาวบ้านแต่งขาวขึ้นขวายสักการะพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวบนพระเมรุมาศ
ชาวบ้านแต่งขาวขึ้นขวายสักการะพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวบนพระเมรุมาศ

 

โกนผม ห่มขาว นุ่งสี หลากวิธีสะท้อนอาลัย

ย้อนกลับมายังประเทศไทย สมัยกรุงศรีอยุธยา รุ่งโรจน์ยืนยันว่า มีการ “นุ่งขาว” เพื่อไว้ทุกข์ และเชื่อว่า อาจมีการนุ่งห่มสีอื่นเพื่อไว้ทุกข์ด้วย เนื่องจากในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ก็มีการแต่งกายไว้ทุกข์ถึง 4 แบบ ปรากฏใน “ประกาศนุ่งผ้าขาว” เมื่อ จุลศักราช 1249 (พ.ศ.2430) ตรงกับสมัยรัชกาลที่ 5 ข้อความว่า

“แต่งขาวล้วนอย่างหนึ่ง แต่งดำล้วนแลห่มขาวอย่างหนึ่ง นุ่งผ้าขาวลายเสื้อขาวห่มขาวอย่างหนึ่ง นุ่งม่วงสีน้ำเงิน เสื้อขาวห่มขาวอย่างหนึ่ง”

รุ่งโรจน์ยังมีข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับธรรมเนียมการนุ่งห่ม เพื่อไว้ทุกข์ในราชสำนักโดยศึกษาจากเอกสารโบราณได้ดังนี้

1.เจ้านายที่ทรงไว้ทุกข์ทรงร่วมพระชนกนาถ ถ้ามีพระชนมายุอ่อนกว่าเจ้านายที่สิ้นพระชนม์จะทรงนุ่งขาวฉลองพระองค์ขาว แต่ถ้ามีพระชนมายุแก่กว่าจะทรงนุ่งดำฉลองพระองค์ดำ

2.เจ้านายทรงไว้ทุกข์มีลำดับพระญาติชั้นเดียวกันแต่ไม่ได้ร่วมพระชนกนาถ ถ้ามีพระชนมายุอ่อนกว่าเจ้านายที่สิ้นพระชนม์จะทรงนุ่งขาวลายฉลองพระองค์ขาว

3.เจ้านายที่มีพระชนมายุมากกว่าแต่โดยลำดับพระญาติวงศ์อ่อนชั้นกว่าเจ้านายที่สิ้นพระชนม์จะทรงนุ่งน้ำเงินฉลองพระองค์ขาว

4.ช่วงวันงานพระศพที่เน้นความสำคัญการนุ่งผ้าไว้ทุกข์คือ วันชักพระศพ และวันพระราชทานเพลิง

ส่วนวันกลางคือวันสมโภชพระศพจะลดหย่อนในระดับหนึ่ง

บรรยากาศการบรรยายที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร เมื่อ 19 ก.พ.60
บรรยากาศการบรรยายที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร เมื่อ 19 ก.พ.60

 

ปิดท้ายเรื่องการโกนผม ซึ่งเป็นการไว้ทุกข์สมัยโบราณ ซึ่งนักประวัติศาสตร์ท่านนี้ระบุว่า รายละเอียดเกี่ยวกับการโกนผมทั้งแผ่นดินครั้งกรุงเก่าไม่เหลือถึงปัจจุบัน แต่อย่างไรก็ตาม ราชสำนักในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นก็คงจะไม่แตกต่างจากครั้งกรุงเก่ามากนัก ดังนั้นจึงเชื่อว่าเมื่อพระมหากษัตริย์ครั้งกรุงเก่าเสด็จสวรรคตก็น่าจะมีการประกาศให้โกนผมทั้งแผ่นดิน โดยธรรมเนียมนี้ถูกยกเลิกไปในสมัยรัชกาลที่ 6 ตามพระราชปรารภของพระพุทธเจ้าหลวงผู้เป็นพระราชบิดา

เหล่านี้คือข้อมูลอันมีค่าที่รามคำแหงตั้งใจเผยแพร่เพื่อประโยชน์ต่อสังคมโดยแท้

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image