ผู้เขียน | อธิษฐาน จันทร์กลม |
---|
กรงนก ความทรงจำ
‘ตากใบ’ ตราบาปรัฐไทย
บาดแผลร่วมแห่งยุคสมัยที่ ‘ไม่มีอายุความ’
ปาฏิหาริย์ไม่มีจริง
คำบรรยายในหน้าประวัติศาสตร์ร่วมสมัย ถูกเพิ่มมาอีกบรรทัด และเป็นวรรคสำคัญที่คนในสังคมจะจำไม่ลืม
ต่อไทม์ไลน์ความทรงจำสีดำมืด ในความรู้สึกของผู้คน 3 จังหวัด
ต่อจาก ‘หะยีสุหลง’ ผู้นำทางจิตวิญญาณถูกอุ้มสังหารโหด คือเหตุการณ์กรือเซะ คือตากใบ คือไอร์ปาแย คือกราดยิงที่ร้านน้ำชา คือเหตุยิงเด็ก 3 พี่น้องที่ อ.บาเจาะ
สุดท้าย ชาวตากใบต้องสิ้นหวัง เฝ้านับถอยหลังแต่จับจำเลยไม่ได้สักราย คดีหมดอายุความไม่ต่างไปจากที่คาดการณ์ไว้ ในฝั่งกระบวนการยุติธรรมไทย ก็มั่นใจว่าได้ทำเต็มที่
เงินเยียวยา 7 ล้านไม่อาจถูกเหมารวมเป็นความยุติธรรม หลงเหลือเพียงตัวเลขคอยย้ำเตือน ว่าในระหว่างเดือนถือศีลอด เช้าวันที่ 25 ตุลาคม 2547 มีผู้ชุมนุมนับ 1,370 คน ถูกผูกมือไพล่หลัง บังคับให้นอนคว่ำซ้อนทับกัน 4-5 ชั้นบนรถบรรทุกนานนับ 6 ชั่วโมง กระทั่ง 78 ชีวิตขาดอากาศ สิ้นลมหายใจระหว่างทางไปค่ายทหาร
แต่อย่างน้อยเรื่องที่หวังว่าจะ ‘เงียบ’ ถูกหยิบมาพูดซ้ำ ตอกย้ำใส่หู ผ่านสายตาสาธารณชนจนเป็นที่จดจำ ว่าครั้งหนึ่งเคยมีชาวบ้าน ภรรยา ลูกหลานของผู้เสียชีวิต ลุกขึ้นมาเป็นโจทก์ยื่นฟ้องเจ้าหน้าที่รัฐเพื่อเอาผิดนายทหารระดับบิ๊ก และล่าสุดหารือว่าจะหันไปหวังพึ่งศาลโลก ส่งเรื่องฟ้อง ศาลอาญาระหว่างประเทศ ICC นำคนผิดมารับโทษ
ตลอดเดือนตุลาฯ ‘ตากใบ’ ไม่เคยหายไปจากหน้าสื่อ รายชื่อของผู้เสียชีวิตถูกกล่าวขานดังๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า สารพัดวงพูดคุย นิทรรศการพร้อมใจกันจัดขึ้นเพื่อรื้อฟื้น เปิดการมองเห็นเป็นวงกว้าง บ้างก็ขนย้ายมาฉายภาพให้คนในเมืองหลวงได้รับรู้เรื่องราว
หนึ่งในนั้นคือ ‘20 ปี ตากใบ’ นิทรรศการโดย โฮปสเปซ (Hope Space) ร่วมกับ พิพิธภัณฑ์และหอจดหมายเหตุชายแดนใต้ (DSMA) ที่เพิ่งจบลงไปหมาดๆ วานนี้
นำภาพชุดส่งตรงจาก จ.นราธิวาส มาจัดแสดงย่านสาทร พร้อมฉายหนัง 20 Years Later เปิดวงพูดคุย “20 ปีตากใบ เราไม่ลืม”
เพราะความเจ็บปวด ความทรงจำ ไม่มีอายุความ

⦁มองทะลุ ‘กรงนก’
บาดแผลทางใจ ของสังคมไทย
เสียงอาซาน บทสวดจากมัสยิดกลาง ดังหวนโหย
‘ภาพชายวัยฉกรรจ์หลายร้อยชีวิต’ เอามือไพล่หลังนอนพะเนินเป็นกอง มีรอยยับจากการกระทำ คล้ายถูกขยำแล้วโยนทิ้ง แต่ถูกรื้อค้นจากถังขยะมาเปิดโปง
‘กรงนก’ ถูกจัดวางให้ตั้งตรงกับทิศทักษิณ จับพิกัดให้ตรงกับ อ.ตากใบ จ.นราธิวาส
20 ปีผ่านไป สิ่งนี้ยังแขวนบนคาน คาชานบ้าน
เงาของกรงไม้ ทอดทับบทกวี ‘หากอากาศมีความทรงจำ’ กวีที่ตอกย้ำว่า ‘ความทรงจำ กับ ความหลงลืม’ บางทีก็ถูกทำให้เดินสวนทาง
‘หากอากาศมีความทรงจำ อากาศจะจดจำสิ่งต่างๆ เหล่านี้ทั้งหมดทั้งมวลได้หรือเปล่า
ผ้าโสร่ง รองเท้าแตะ หมวกกะปิเยาะห์ เสื้อยืดห่านคู่
ดวงตาที่กลอกกลิ้งดิ้นรน กระเสือกกระสนเงยมองไปยังฟ้ากว้างไกล
อย่างมีความหวัง หรืออย่างสิ้นหวัง หดหู่…..’
‘เพื่อให้การจดจำ กลายเป็นความทรงจำ เราต้องนับจำนวนนับกี่จำนวน’
ในสายตาของคนในเมืองใหญ่ ปพิชญานันท์ จารุอริยานนท์ หรือนก จากคณะรณรงค์เพื่อรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน (ครช.) บัณฑิตรั้วธรรมศาสตร์ หนึ่งในทีมงานนำชม เล่าว่า

“มันเป็นความพยายามที่จะช่วยเหลือผู้ที่ถูกผลกระทบ จากความรุนแรงโดยรัฐ ต่อมาก็มีผู้จัดทำเป็น พิพิธภัณฑ์หอจดหมายเหตุของภาคใต้ ชื่อว่า The Deep South Museum & Archives ร่วมจัดกับเครือข่ายอื่นๆ มีการไปสัมภาษณ์ผู้ได้รับผลกระทบ และนำสิ่งของที่เกี่ยวข้องมาจัดแสดงด้วย ซึ่งก่อนหน้านี้เคยจัดที่ ม.ศิลปากร และศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร”
เป็นงานเซตเดียวกันกับ ‘ลบไม่เลือน 20 ปี ตากใบ’ ที่จัดคู่ขนานกันไปใน อุทยานการเรียนรู้นราธิวาส TK Park จังหวัดซึ่งเป็นพื้นที่เกิดเหตุ รวบรวมหลักฐานทางความทรงจำทั้ง ‘ธนบัตรเปื้อนเลือด’ ภาพศพของผู้เสียชีวิตถูกกองรวมกัน ไปจนถึง ‘เสื้อรายอของน้องชาย’ ‘ชุดของผู้นำศาสนาอิสลาม’ ที่ต้องประกอบพิธีกรรมให้แก่ผู้เสียชีวิตทันที ภายใน 24 ชั่วโมง ตามหลักศาสนา
“เขาสวมชุดแล้วเล่าให้ฟัง แล้วก็ร้องไห้ มันไม่ควรจะเกิดขึ้นเลย เขาเลยรู้สึกว่า เพื่อศักดิ์ศรีของผู้เสียชีวิต ก็รีบดำเนินการอย่างเร็วที่สุด ชุดนั้นก็ถูกนำไปจัดแสดงด้วย”
ส่วนนิทรรศการในกรุงเทพฯ นำเสนอบาดแผล ผ่าน ‘กรงนก’ สัญลักษณ์แทนผู้เสียชีวิตที่เป็นเพศชาย เพราะในภาคใต้ผู้ชายส่วนใหญ่นิยมเลี้ยงนก
“เป็นพ่อ พี่ชาย เป็นเสาหลักครอบครัว การเลี้ยงนกก็เป็นหนึ่งในกิจกรรมที่เขาทำ แต่พอเกิดเหตุการณ์ที่ตากใบ เสียชีวิตในวันนั้น นกก็ถูกปล่อยออกไปโดยคนที่บ้าน เพราะไม่สามารถที่จะดูแลได้แล้ว”
“แต่กรงนี้มันยังอยู่ มันเป็นเหมือนบาดแผลทางใจของคนที่ยังอยู่ ที่ยังไม่รับความยุติธรรม” ทีมงานเล่าที่มาที่ชวนให้น้ำตาซึม
มองเห็นความตั้งใจของ DSMA อยากที่จะเก็บรวบรวมความทรงจำเหล่านี้ เพราะไม่ใช่ความทรงจำในฐานะปัจเจก หรือครอบครัวเดียว แต่มันคือความทรงจำของรัฐไทย ที่กระทำขึ้นจนเกิดบาดแผล แต่ไม่ได้รับการรักษา ในขณะที่อายุความสิ้นไปแล้ว
ในฐานะคนกรุงเทพฯ ปพิชญานันท์ เชื่ออย่างยิ่งว่าการจัดนิทรรศการในเมืองใหญ่ จะสร้างความรับรู้ในหมู่คนทั่วไปมากขึ้น จากที่ปกติแล้วเหตุการณ์ในลักษณะนี้ มักถูกมองเป็นความขัดแย้งทางการเมือง ว่าเกิดในรัฐบาลไหน มีคนสั่งการ มีเหตุการณ์เกิดขึ้นแล้วมันก็จะจบไป
“แต่ความจริงแล้วมันเกี่ยวข้องกับความทรงจำร่วมของสังคมด้วย การที่มี 2 มาตรฐาน พื้นที่หนึ่งๆ โดนควบคุมพิเศษ มันก่อให้เกิดความเข้าใจผิด พอเกิดเหตุการณ์ที่มันร้ายๆ ขึ้น รัฐก็พยายามจะทำให้มันหายไป ทำให้ลืมเลือนไป ไม่ถูกพูดถึง”
“เราเลยมองว่านิทรรศการนี้ บอกเล่าเรื่องราวที่ไม่ใช่ในทางราชการ หรือกระแสหลัก เล่าปากคำของคนที่อยู่ในเหตุการณ์ ของผู้สูญเสีย ให้คนทั่วไปได้รับรู้ว่า สิ่งนี้มันไม่ใช่แค่บาดแผลของคนๆ เดียว ครอบครัวเดียว แต่มันคือ บาดแผลของสังคมไทย”

ไม่ต่างจากโศกนาฏกรรม สังหารหมู่ 6 ตุลาคม 2519 ที่นักศึกษาถูกจับมากองรวมกัน กลางสนามฟุตบอล ม.ธรรมศาสตร์
“เขาคือผู้ที่ยังไม่ได้ทำอะไรผิด ถูกกล่าวหาว่ากระทำความรุนแรง ใช้วิธีการแบบเดียวกันเลยคือ ให้ถอดเสื้อ ก้มหน้าลง ยิ่งเคสตากใบยิ่งหนัก มีการซ้อนกัน บางคนพิการ เสียชีวิตตอนนั้น มันเป็นความรุนแรงอย่างมาก”
“เราจะเห็นเจ้าหน้าที่ถือปืน ถืออาวุธ คือ ถ้ามองในมุมชาตินิยม เขาทำเหมือนไม่ได้มองว่าเป็นเพื่อนร่วมชาติเลยด้วยซ้ำ ด้วยลักษณะการกระทำ เอาคนมาซ้อนกันแบบนั้น” ในมุมของคนรุ่นใหม่ มองภาพแล้วจินตนาการถึงความรู้สึกในวินาทีนั้น
การที่ต้องเห็นเพื่อนบ้านหายใจรวยริน ค่อยๆ ทยอยหมดลมไปต่อหน้าต่อตา จะรู้สึกอย่างไรกัน?

เพื่อส่งไปโปรยในพื้นที่ 3 จังหวัด เมื่อ 5 ธ.ค.2547 ต่อมาทาง จ.นราธิวาส ร่วมกับ วิทยาลัย
สารพัดช่างฯ จึงดำเนินการก่อสร้างขึ้น เพื่อเป็นการรำลึก (ภาพจาก พิพิธภัณฑ์สามัญชน)
⦁‘พับนก’ จำได้ไหม?
รีรัน ความทรงจำร่วม
ในวงเสวนา “20 ปีตากใบ เราไม่ลืม”
รอมฎอน ปันจอว์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ล้อมวงเล่าในฐานะคนในพื้นที่และเฝ้าจับตาคดีนี้มาตลอด โดยยกผลชี้วัดจากคลิปของพรรค ที่ลองเอาฟุตเทจเก่ามาตัด อธิบายคดีความก่อนหมดอายุ เมื่อแชร์ไปในเฟซบุ๊ก-ทวิตเตอร์ ยอดก็ปกติ
“แต่ปรากฏว่าในไอจี นี่เยอะมาก คุณช่อ (พรรณิการ์ วานิช) ก็ตั้งข้อสังเกตว่าทำไมป๊อปขนาดนั้น ทั้งที่เป็นพื้นที่ของเจนใหม่ ไม่ค่อยมีฮาร์ดสตอรี่ เราเพิ่งค้นพบว่าบางคนอายุ 20 ไม่มีความทรงจำร่วมอะไรแบบนี้เลย เป็นเรื่องใหม่และช็อกมาก บางคอมเมนต์บอกว่า เขาอายุเยอะแล้ว ประเทศเรามีแบบนี้ด้วยเหรอ?
ผมรู้สึกว่าคนนอกพื้นที่จำนวนนึง เขาตกใจ แล้วทำให้พวกเขาเข้าเรียนรู้ ระยะหลังมีความเชื่อมโยงกับเหตุการณ์ทางการเมืองอื่นๆ ด้วย มันทำให้รู้สึกว่า เรื่องตากใบไม่ไกลตัวขนาดนั้นแล้ว” รอมฎอน พยายามอธิบายเรื่องนี้ให้กับญาติพี่น้องที่ฟ้องคดีตากใบเห็นภาพ ถึงสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป บรรยากาศต่างจากอดีต
ความกลัว ‘อิสลามโมโฟเบีย’ ที่เคยเกิดขึ้น ก็ต่างออกไปด้วยเจเนอเรชั่นใหม่
มองเหตุการณ์ตากใบ เกิดขึ้นและมาพร้อมกับความโกรธที่มาจากทุกฝ่าย ฝั่งพี่น้องในปาตานี เป็นอีกแบบ ในขณะที่ความหดหู่ตกใจเกิดขึ้นอยู่ช่วงหนึ่ง
“นายกฯ ในตอนนั้นประเมินออกว่าต้องทำบางอย่าง นอกจากตั้ง คณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง ซึ่งเป็นการริเริ่มที่ดีมาก ก็มีการให้เด็ก พับนก ทุกคนจำได้ไหม? เด็กประถมจะถูกครูประจำชั้นให้พับนก ส่งไปโปรยที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ในเวลานั้น”
“แล้วคุณเชื่อไหม คนในพื้นที่เขาจะเก็บนกเพื่อเอาไปแลกไข่ 10 ตัวแลกได้ 1 ใบ” รอมฎอนแชร์ความทรงจำ ที่เป็นประสบการณ์ร่วมของคนทั้งประเทศ ยังไม่นับ ‘อนุสาวรีย์นก’ ตั้งอยู่ 3 แยกใหญ่กลางเมืองนราธิวาส หน้าบ้านนายอำเภอ
“มีป้ายเขียนบอกว่าสร้างเพื่อสันติภาพ แต่จงใจไม่พูดถึงตากใบ ทั้งๆ ที่มวลสารที่หล่อเป็นอนุสาวรีย์ มันมาจากนกกระดาษพวกนี้จำนวนหนึ่ง” ส.ส.พรรคประชาชน ชวนมองภาพแฟลชแบ๊ก

⦁กระสุนสาด ภาพติดตา
ออนแอร์ผ่านโทรทัศน์
อัญชนา หีมมิหน๊ะ นักปกป้องสิทธิ ผู้ก่อตั้งกลุ่มด้วยใจ หนึ่งในเหยื่อปฏิบัติการ IO แม้ไม่เคยผ่านเหตุการณ์โดยตรง แต่ได้ฟังจากคำบอกเล่าของมารดา ที่เห็นทุกแอ๊กชั่นของทหาร เพราะฉายผ่านโทรทัศน์ช่องหลักในเวลานั้น
“แม่ดูทีวี เห็นทุกเหตุการณ์ มีส่องปืน ยิงในระดับแนวราบต่ำลงไปที่ผู้คนที่กำลังนอนคว่ำริมท่าน้ำ บางคนลอยคอในน้ำ หลบกระสุนที่มันสาดมาเรื่อยๆ จากเรือหนึ่ง ลอยไปอีกเรือเพื่อรอดชีวิต เห็นเพื่อนถูกยิง
ภาพที่สอง คนต้องถอดเสื้อ นอนนาบไปกับพื้นเอาเชือกร้อยกัน ในอากาศร้อนระอุ ในภาวะที่ไม่ได้รับน้ำและอาหารมาตั้งแต่ตี 4-5 เพราะเป็นช่วงเดือนรอมฎอน ถูกซ้ำด้วยการเหยียบหลัง เตะหัว โยนขึ้นรถ เป็นภาพจำไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์จะกระทำต่อกัน แม่เป็นข้าราชการ นึกไม่ถึงว่าคนที่เป็นข้าราชการจะทำแบบนั้นให้แม่เห็นในทีวี” อัญชนา ย้อนคำบอกเล่าที่สุดสะเทือนใจ
อีกภาพคือ การเดินทาง ที่เต็มไปด้วยเสียงโหยหวน ร้องเรียกขอชีวิต
“ถึงแม้จะมีคนเฝ้าท้ายรถ เขาได้ยิน ไม่เห็นเลยหรอว่ามีคนตาย ทำไมเขาเห็นคนตายต่อหน้าได้ ผ้าสีขาวที่ห่อศพเรียงราย เป็นภาพจำสุดท้ายของตากใบ ในมโนสำนึกของทุกคนที่คนดูทีวีในเวลานั้น” อัญชนาเผย
⦁‘ตากใบ’ ไม่ไกลตัว
ความเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่
ในมุมของ ผศ.ดร.อัมพร หมาดเด็น อาจารย์คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา ม.ธรรมศาสตร์ มองว่า ภารกิจของคนในส่วนกลาง ในกรุงเทพฯ ที่อาจจะมองได้เหมือนกันคือเรื่องของ ‘การสร้างความยุติธรรม’ ท่ามกลาง ‘สภาวะยกเว้นบางประการ’ ที่กลุ่มคนหนึ่งได้รับการเลือกปฏิบัติ
แชร์ประสบการณ์ ขณะที่สอนประเด็น Gender (เพศภาวะ หรือ เพศสภาพ) เจอนักศึกษาตั้งคำถามเรื่อง ‘ตากใบ’ จุดนี้สะท้อนว่า คนรุ่นใหม่มองเห็นจุดเชื่อมต่อของความสัมพันธ์เชิงอำนาจที่เป็นพลวัตกัน ในขณะที่รัฐพยายามเยียวยา โดยมีแรงกระเพื่อมภายนอก นั่นคือ ‘กติกาสากล’ ที่ผลักดันอยู่
“การจับตามองของผู้คน มันคือความเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ แม้ว่าเป็นเคสตากใบ แต่ส่งผลต่อการเรียกร้องความยุติธรรมในเหตุการณ์อื่น ที่อยู่ในภูมิภาคอื่นๆ เช่น อีสาน เหนือ กลุ่มชาติพันธุ์
แม้ตากใบจะมีการพูดคุยอย่างมากในช่วง 2-3 สัปดาห์นี้ แต่ขณะเดียวกัน การมีส่วนร่วมของภาคประชาชน มันส่งผลถึงคนรุ่นใหม่และคนที่สนใจในความยุติธรรมด้วย” นักสังคมวิทยาฯ วิเคราะห์ทิ้งท้าย