ที่มา | อาทิตย์สุขสรรค์ มติชนรายวัน |
---|---|
ผู้เขียน | จันทร์รอน [email protected] |
มนุษย์เราถูกชี้นำว่าภารกิจของชีวิตคือการแสวงหาสัจธรรม
หากค้นพบ หรือมีชีวิตอยู่กับสัจธรรมได้จะพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง
แต่นั่นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
การสื่อสารกับโลกมีความสำคัญอย่างมากต่อ การเข้าถึง “สัจธรรม”
โลกในความหมายของสิ่งเร้า ไม่ว่าเป็นคน สัตว์ สิ่งของ หรือกระทั่งนามธรรมบางอย่าง เช่น ความเชื่อของคนอื่น ทัศนคติของใครต่อใครที่เราได้สัมผัสรับรู้
ธรรมชาติของการสื่อสารประกอบด้วยกลไกใหญ่ๆ 3 เรื่อง คือ ผู้สื่อสาร วิธีการสื่อสาร และผู้รับสาร
การสื่อสารของคนกับโลกนั้น เป็นการสื่อสารสองทาง คือต่างฝ่ายต่างสื่อสารต่อกันและกัน ไม่ใช่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเป็นผู้สื่อ โดยมีอีกฝ่ายเป็นผู้รับตลอดเวลา
ดังนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างในบนโลกนี้จึงเป็นทั้งผู้สื่อ และผู้รับสื่อด้วยกันทั้งสิ้น
เป็นการสื่อถึงและการรับแบบกลับไปกลับมาเป็นปฏิกิริยาตอบโต้ซึ่งกันและกัน
หากพิจารณาอย่างละเอียดเข้าไปอีก โดยลงถึงความเป็นไปของ 3 องค์ประกอบนั้นทีละตัว จะพบว่ามีความซับซ้อนที่จะต้องทำความเข้าใจอีกมาก
ผู้สื่อ จะสื่อความรู้จากความเข้าใจของตัวเอง อันเป็นส่วนผสมของข้อมูลที่ได้รับมากับทัศนคติอันเกิดจากประสบการณ์สะสมที่รวมหลายๆ อย่างเข้ามาตกผลึกทางความคิด
ดังนั้น แค่เริ่มต้น ผู้สื่อก็ไม่ได้สื่อด้วยข้อมูลดิบๆ แต่มักเติมทรรศนะของตัวเองเข้าไปด้วยไม่ว่าจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม
การสื่อที่ผสมข้อเท็จจริงกับทัศนคติที่เกิดขึ้นเป็นปกตินี้เองทำให้แค่เริ่มต้นสื่อการกัน ก็เบี่ยงเบนจากความเป็นจริงไปแล้วระดับหนึ่ง
มาถึงวิธีการสื่อสาร แม้จะแน่นอนว่าเป้าหมายในการสื่อสารคือทำให้รับรู้และเข้าใจตามความตั้งใจที่จะสื่อ แต่มีความเป็นไปได้ไม่น้อยว่าวิธีการนำเสนอ ที่จะต้องมีทั้งรูปแบบและเนื้อหา อาจจะก่อให้เกิดความเข้าใจผิดในเป้าหมายที่ต้องการสื่อสาร เหมือนกับพูดอย่างแต่เข้าใจไปอีกอย่างซึ่งเกิดขึ้นได้เสมอ
ด้วยเหตุนี้เองวิธีการสื่อสารจึงเป็นขั้นตอนหนึ่งที่ทำให้เรื่องราวเบี่ยงเบนไปจากความเป็นจริงได้มากมาย ซึ่งมีตัวอย่างให้เห็นอยู่เสมอ
เป็นอันว่า 2 องค์ประกอบแล้วที่สามารถทำให้การสื่อสารผิดเพี้ยนไปจากความเป็นจริง หรือจากความตั้งใจที่จะนำเสนอ
มาถึงองค์ประกอบที่ 3 นั่นคือ ผู้รับสาร ดูเหมือนจะยิ่งไปกันใหญ่ เพราะการรับสารที่ถูกต้องครบถ้วนเบื้องต้นต้องใช้สมาธิอันหมายถึงความตั้งใจที่จะฟังอย่างพินิจพิเคราะห์ ซึ่งเป็นเรื่องไม่ง่ายเลยสำหรับปกติของคนเราที่ความคิดมักจะกระโดดไปกระโดดมาจากเรื่องโน้นมารื่องนี้ไปเรื่องโน้นอยู่ตลอดเวลา ก่อให้เกิดการฟังไม่ได้ศัพท์ หรือไม่รับรู้แบบครบถ้วนอยู่เสมอ
ยิ่งไปกว่านั้น ทุกครั้งที่ได้รับการสื่อสาร ไม่ว่าจะเป็นการเห็น การได้ยิน การได้สัมผัส รับรู้ จะถูกทัศนคติ ความเชื่อของแต่ละคนตีความข้อมูลนั้นทันที ก่อนที่จะสรุปเป็นความคิด และประมวลข้อมูลมาเป็นการรับรู้ ซึ่งทำให้ห่างไกลความเป็นจริงดังเดิม หรือความจริงที่บริสุทธิ์ปราศจากการเจอปนมากยิ่งขึ้นไปอีก
เหตุนี้เอง แม้จะมีความพยายามบอกกล่าวชี้แนะกันว่า ภารกิจของมนุษย์คือการแสดงหาสัจธรรม อันคือความเป็นจริงที่ไม่ถูกเคลือบด้วยมายาอันหมายถึงการปรุงแต่ง กลับกลายเป็นภารกิจที่ดูเหมือนจะง่ายดายที่อาศัยแค่ความตรงไปตรงมาก็บรรลุได้นั้นช่างแปรเปลี่ยนเป็นยากเย็นอย่างยิ่งที่จะบรรลุ เพราะแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่องค์ประกอบหลักทั้ง 3 คือ ผู้สื่อ วิธีการสื่อ และผู้รับสื่อจะไม่เป็นตัวการบ่งชี้เรื่องราวออกจากความเป็นจริง
นั่นยังไม่นับปัจจัยอื่นๆ นอกเหนือจากปัจจัยหลักทั้ง 3 ที่จะมาเป็นตัวหนุนให้เรื่องราวบิดเบือนไปอีกไม่น้อย ไม่ว่าเสียงของคนรอบข้างที่ต่างมีทรรศนะที่ต่างไป หรือแรงเร้า แรงผลักอื่นๆ ที่กดดันให้ต้องผู้สื่อ หรือผู้รับสื่อต้องปกป้องตัวเองจากความวิตกกังวลบางอย่าง
ด้วยความเป็นปกติของชีวิตที่ถูกชักจูงให้ห่างไกลจากความเป็นจริงดัวยตัวแปรสารพัดนี้เอง
ชีวิตจึงเป็น “ความไม่แน่นอน”