เพื่อสร้างสิ่งใหม่ ศิลปะต้องไร้ขีดจำกัด ฝัน-หวัง ประชาธิปไตย (ยังไงก็) คือทางออก

เพื่อสร้างสิ่งใหม่ ศิลปะต้องไร้ขีดจำกัด ฝัน-หวัง ประชาธิปไตย (ยังไงก็) คือทางออก

จัดวันเดียวจบแบบครบเครื่อง สำหรับ ‘นิทรรศการ ศิลปะการเมือง’ โดย องค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่ห้อง Oasis-House of Wisdom มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต เมื่อไม่นานมานี้

จัดเต็มทั้งงานงานอาร์ตหลากรูปแบบ รับชมสารคดี ‘Hungry For Freedom’ รวมถึงภาพยนตร์สั้น ผลงาน สุชาติ สวัสดิ์ศรี ก่อนล้อมวงสนทนาหัวข้อ ‘การสื่อสารและสร้างสรรค์ผลงานที่เกี่ยวข้องกับประเด็นทาง
การเมืองในสังคมไทย’

เปิดฟุตเทจปี’53 ‘เอาความจริงมาคุยกัน’

เริ่มด้วย กิตติธัช ศรีอำรุง เพื่อนนักกิจกรรมของ บุ้ง เนติพร เสน่ห์สังคม ผู้ล่วงลับ ย้อนเล่าที่มาของความสนใจในการเคลื่อนไหวทางการเมืองของตัวเอง ว่าเริ่มจากเหตุการณ์ในครอบครัวที่น้าของตนกลายเป็น ‘บุคคลสูญหาย’ ในเหตุชุมนุม เมื่อปี 2553 ขณะนั้น ตนยังเป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4

ADVERTISMENT

“จากหนังสั้นที่ถูกนำมาฉาย เราก็ดูฟุตเทจ เผื่อจะมีน้าอยู่ในเฟรม แต่มองผ่านก็ยังไม่มี แต่ก็ขอบคุณที่มีการสื่อเรื่องนี้ออกมา ตอนนี้ปี 2567 กว่าที่สังคมจะเข้าใจความหมาย หรือถอดบทเรียน แต่ ณ ตอนนั้น
มันไม่ได้มีทุกคนที่เข้าถึงว่าผู้มาชุมนุมเขามาด้วยเหตุผลอะไร

 สิ่งที่มากกว่าการมาชุมนุมคือในเรื่องของความจริง กว่าคนเราจะเข้าถึงชุดความจริงตรงนี้ จะต้องใช้เวลา 10 กว่าปี ในฐานะคนที่สูญเสีย อยากจะขอบคุณอย่างใจจริง ที่สามารถสื่อออกมาได้อย่างแท้จริงว่าสุดท้ายแล้วเราควรเอาความจริงมาคุยกัน ผิดถูกเอาไว้ก่อน” กิตติธัชเอ่ย

เหยื่อที่ถูก Empower สู่ ‘พลเมืองตื่นรู้’ สู้ไม่หวั่นเปลืองตัว

ด้าน ทิชา ณ นคร หรือ ‘ป้ามล’ ผู้เชี่ยวชาญด้านเด็กและเยาวชน เล่าว่า ตนเป็นอีกคนหนึ่งที่ผ่านเหตุการณ์ทางการเมือง แต่เราก็ไม่สามารถเข้าถึงความซับซ้อนของการโกหกหลอกลวงได้ จึงควรที่จะต้องมาถกกันใหม่ เพราะเมื่อข้ามยุคสมัยมา อีกยุคสมัยนั้นเหมือนกับเป็นฝุ่นตลบ ที่เราไม่สามารถรู้ได้เลยว่าอะไรคือจริงอะไรคือเท็จ

“เมื่อข้ามอีกหลายปี เราถึงได้กระจ่างขึ้นมาว่ามันคืออะไร จึงคิดว่าจะต้องมีพื้นที่เล็กๆ ให้กับคนรุ่นหลัง
ถ้าไม่อย่างงั้นจะนึกไม่ออก และกลายเป็นว่าเราฟังกลุ่มหนึ่งที่มีอำนาจในการเล่า อำนาจในการสร้างเรื่อง และซึ่งตรงนั้นก็อาจจะกลายเป็นความสูญเสียอีกครั้งหนึ่ง”
ป้ามลเผยมุมมอง

จากนั้น ยังเผยว่า ปัจจุบันมีโอกาสร่วมงานกับกลุ่มผู้ก่ออาชญากรรม ซึ่งมีความเชื่อที่เป็นภาพประทับว่า คนลักษณะแบบนี้ต้องจัดการแบบไหน แต่ตนมองว่า จะเป็นการ ‘กดทับ’ ไปอีก อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวพยายามจะ ‘อยู่ตรงกลาง’ หยิบเอาทุกๆ อย่างที่สามารถเอื้อต่อการสร้างคุณค่าใหม่ให้แก่พวกเขา

 “ก่อนอื่นเราจะต้องเชื่อว่าเขาไม่ได้เกิดมาเพื่อฆาตกรรม ไม่มีใครเกิดมาเพื่อไปเป็นปีศาจ แต่เขาเป็นหนึ่งในเหยื่อ เพียงแต่ไม่มีคนเห็นความเป็นเหยื่อในตัวเขา แต่ถ้าเราใช้เครื่องมือต่างๆ ที่ไม่ได้กดทับ เราก็จะค้นพบว่าเขาจะยกระดับตัวเองให้เป็นผู้อยู่รอด และที่มากกว่านั้น คือ กว่า 90 เปอร์เซ็นต์ หลังจากที่เขาผ่านการเป็นผู้รอดแล้วนั้น เขาก็เป็น Active Citizen เป็นกลุ่มเด็กที่จุดเทียนหน้าโรงพยาบาลธรรมศาสตร์

 บ้านกาญจนาภิเษก (ศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน(ชาย) บ้านกาญจนาภิเษก จังหวัดนครปฐม) มีการพูดคุยประเด็นทางการเมืองเป็นประจำ เนื่องจากทุกๆ ปัญหานั้น บ้านกาญจนาภิเษกจะต้องเอาประเด็นมาเพื่อถกเถียงแลกเปลี่ยน

 หลายคนได้เอางานการเมืองมาวางไว้ที่บ้านกาญจนาภิเษกและหลายคนก็เป็นคนที่เข้าไป Empower ให้เด็กผู้หญิง เช่น เด็กผู้หญิงที่ถูกครูจากจังหวัดมุกดาหารข่มขืน และเด็กเหล่านี้เขาไปอยู่ในการคุ้มครองพยาน และต้องขึ้นศาลเพื่อสืบพยาน

ถ้าเราไม่ทำ Empower เด็กผู้หญิงเหล่านี้ เชื่อว่าสิ่งที่ติดอยู่ในใจก็คือ ฉันเลวเพราะฉันไปนอนกับครู จึงมีความจำเป็นที่ต้องมีกระบวนการเปลี่ยนแปลงความเป็นเหยื่อของเขาให้เป็นพยานผู้ที่กล้าหาญก่อนขึ้นสืบพยานในศาล เพื่อเราจะสละภาพของความเป็นเหยื่อผู้อ่อนแอ” ป้ามลกล่าวอย่างมุ่งมั่น

ไม่เพียงเท่านั้น ยังอธิบายต่อไปว่า ข้อจำกัดคือเราไม่รู้ว่านอกเหนือจากคนในห้องนี้ หรือมวลขนาดใหญ่ของประเทศนี้ จะมีความคิดอย่างไร

“แท้จริงแล้วเรารู้แหละ เรารู้ว่ามันมีความรุนแรงระดับไหน ในวันที่หนุ่มสาวของเรากำลังต่อสู้อย่างไม่สงวนท่าที ไม่เกรงกลัวการเปลืองเนื้อเปลืองตัว”

ผู้เชี่ยวชาญด้านเด็กและเยาวชนยังย้ำว่า ในประเด็นที่อ่อนไหว ต้องมีมาตรฐานชัดเจน ข้อกังวลคือประเทศไทยมีหลายมาตรฐานมาก

“ความกังวลคือถ้าหากเราลุกขึ้นมาพูดแล้วจะโดนอะไรบ้าง เราอยากให้มีมาตรฐานเดียวตามหลักของกฎหมาย ซึ่งไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ และเด็กรุ่นใหม่ก็ไม่อยากจะทน ทำไมเราต้องปล่อยลูกหลานของเราให้เป็นแพะ” ป้ามลทิ้งท้ายด้วยคำถามหนักอึ้ง

เพื่อสร้างสิ่งใหม่ ศิลปะต้องไร้ขีดจำกัดเสรีภาพ

‘การเมืองคือชีวิตทุกแง่มุม’

 ปิดท้ายด้วย สุชาติ สวัสดิ์ศรี หรือ ‘สิงห์ สนามหลวง’ บรรณาธิการระดับตำนาน พ่วงตำแหน่ง ‘อดีต’ ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ ซึ่งมากล่าวในประเด็น ‘ศิลปะการเมือง’

“เวลาผมพูดถึงศิลปะการเมือง มักจะมีนัยที่แตกต่างจากหลายๆ คน ซึ่งเขาอาจจะคิดว่าการเมืองนั้นเป็นเรื่องที่จะต้องเห็นแต่นัย เช่น มีนก มีอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย แต่การเมืองนั้นคือชีวิต ผมมีปัญหากับคำว่าเพื่อชีวิตมานาน ทั้งๆ ที่เคยมีส่วนร่วม ซึ่งศิลปะมันจะต้องมีชีวิต ถึงแม้มีประเด็นอะไรก็ตาม

 เมื่อขึ้นไปชมนิทรรศการ จึงรู้สึกเข้าใจว่าทำไมเด็กพม่าเขาเขียนรูปวิว ทั้งๆ ที่มาจากประเทศที่กำลังฆ่ากัน เป็นรูปวิวที่สดใสมาก มีทั้งต้นไม้ ซึ่งมันเป็นความฝัน ความหวัง ผมคิดว่าพอเราพูดคำว่าการเมือง เราไปคิดถึงสิ่งที่ เรียกว่าอำนาจ

การเมืองคือชีวิตในทุกแง่มุม เรื่องส่วนตัวด้วยเช่นกัน ที่ไม่จำเป็นต้องชูกำปั้น ด้วยเหตุผลประเด็นนี้ คำว่าศิลปะการเมืองสำหรับผมจึงคิดว่า ควรที่จะมาให้คำแถลงคำว่าการเมืองมันมีนัยในรูปแบบไหน การเมืองของใคร เพราะถ้าหากเราผูกกับคำว่าศิลปะ คิดว่ามันจะเป็นมุมมองที่ชัดเจนอย่างเห็นได้ชัด เช่น การเขียนจดหมายของขนุน สิรภพ พุ่มพึ่งพุทธ ที่สื่อความหมายที่โดนใจผมเป็นอย่างมาก โดยได้คำนัยของคำว่าขมขื่นเจ็บปวดและเป็นการฟ้องต่อสังคมด้วย” สุชาติอธิบายความในใจ

จากนั้นเผยต่อไปว่า ในขณะเดียวกันคำว่าการเมืองสำหรับตนถือเป็นการเปิดกว้าง เป็นการแลกเปลี่ยนทางความคิด เพราะช่วงเวลาหนึ่ง ที่มีการต่อสู้กันทางความคิด ในเรื่องศิลปะเพื่อชีวิตก็มักจะตีความกันว่า คำว่าเพื่อชีวิตนั้นหมายถึง การทำงานศิลปะเพื่อสนองนัยเชิงอุดมการณ์คือจะต้องทำงานศิลปะเพื่อ ‘Ideology’ (อุดมคติ) ซึ่งก็ถือว่าไม่ได้ผิด แต่หากคนที่ทำงานศิลปะมุ่ง ‘Ideology’ ของตัวเอง ก็จะลืมว่าสิ่งที่อยู่ข้างในของคนทำงานศิลปะนั้นคือ จินตนาการ ความฝัน ความหวัง

จาก ‘สังคมศาสตร์ปริทัศน์’ ถึง ‘ช่อการะเกด’

เปิดพื้นที่ฝัน-หวัง ‘ประชาธิปไตยคือทางออก’

อดีตศิลปินแห่งชาติกล่าวด้วยว่า ในฐานะที่ตนทำสื่อ รู้สึกกังวล หากสังเกต จะเห็นว่าสื่อที่ตนเข้าไปเกี่ยวข้องคือ ‘หนังสือ’

“การผลิตหนังสือ ที่เป็นที่รู้จักก็คือประเภทสังคม การเมือง อย่างสังคมศาสตร์ปริทัศน์ ซึ่งเกิดขึ้นในสมัยของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ จอมพลถนอม กิตติขจร จอมพลประภาส จารุเสถียร

 การทำหนังสือท่ามกลางสังคมที่ไม่ใช่สังคมประชาธิปไตย แต่เป็นสังคมที่จะต้องระมัดระวังพอสมควร ผมก็ใช้ความพยายาม เนื้อหาค่อยๆ สอดแทรกเข้าไป

สังคมศาสตร์ปริทัศน์ มีลักษณะของการสร้างคนที่จะให้ข้อมูลเกี่ยวกับความคิด ช่วงที่ผมเป็นบรรณาธิการไม่ปฏิเสธว่า คิดถึงเรื่องสังคมนิยม ที่เข้ามามีบทบาทไม่มากก็น้อย ลักษณะของการนำเสนอจึงเข้าไปเกี่ยวข้องสิ่งที่จะต้องให้ ข้อมูลแจ่มชัดในระดับหนึ่ง เพราะเป็นหนังสือกึ่งวิชาการ เป็นนิตยสารรายเดือน

ผมใช้วิธีประเภทสร้างประเด็นต่างๆ ขึ้นมาว่าฉบับหนึ่งเป็นฉบับต่อต้านฐานทัพอเมริกา ฉบับหนึ่งเป็นเรื่องชาวนา อีกฉบับหนึ่งเป็นเรื่องกรรมกร ซึ่งมันจะครอบคลุมทั้งสังคมศาสตร์ทั้งหมด บรรณาธิการจะต้องทำหน้าที่หาบทความหรือการแสดงออกในลักษณะที่พูดถึงว่า ในขณะนั้นเรื่องสังคมการเมืองของเรา กำลังเผชิญกับอะไร เผชิญกับปัญหาในรูปแบบไหน” สุชาติย้อนเล่า ก่อนขยายความต่อไปว่า ในเวลาต่อมา มีการยุติดำเนินการไป โดยหลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ตนทำหนังสืออีกรูปแบบหนึ่งที่เปลี่ยนแนวของวรรณกรรม โดยเป็นเรื่องของการสร้างความรู้ ความคิด และการวิจารณ์วรรณกรรม ให้ความสำคัญกับเรื่องงานสร้างสรรค์ คือบทกวี เรื่องสั้น อย่าง ‘ช่อการะเกด’ ให้คนส่งเรื่องมาชิงรางวัล

“ผมทำหนังสือเพื่อให้คนสร้างในสิ่งที่ดีที่สุดของเขาขึ้นมา เพื่อสร้างเขาในฐานะที่จะเป็นนักเขียนต่อไป
ในอนาคต บางคนเป็นได้ บางคนก็ไม่สามารถเป็นได้ และบางคนก็หายเงียบไปหลังจากที่เรื่องได้ตีพิมพ์”
สุชาติเล่า

นั่นคือเส้นทางจากสังคมศาสตร์ปริทัศน์ ซึ่งเป็นแนวกึ่งวิชาการ ถึง ‘ช่อการะเกด’ ซึ่งเป็นแนววรรณกรรมสร้างสรรค์

“สำหรับช่อการะเกด มุ่งไปในเรื่องของการทำงานศิลปะ การทำงานศิลปะ ผมบอกคนที่ส่งเรื่องมาเลยว่า สิ่งที่จะให้คือ เสรีภาพ คุณจะใช้เสรีภาพอย่างไรก็ได้ ยกเว้นการเขียนเรื่องผิดศีลธรรม แต่ถ้าหากว่าการเขียนเรื่องผิดศีลธรรมนั้นในแง่ของการนำเสนอสื่อในทางเรื่องสั้น ศิลปะ เรื่องสั้นมันจะสามารถทำให้คนมีส่วนร่วมได้ มีส่วนที่จะเข้าใจ และมีส่วนที่จะเกิดข้อโต้แย้งก็ให้เสรีภาพ

 ผมเคยได้รับโอกาสไปสอนในหลักการเขียนสร้างสรรค์ก็จะต้องมีขั้นตอน ผมได้สร้างพื้นที่ให้เขา และให้เขาก้าวเข้ามา โดยบอกว่าให้เสรีภาพ และคุณต้องบริหารเสรีภาพที่ให้ในการส่งเรื่องของคุณที่คิดว่าเขียนได้ดีที่สุดมาให้” สุชาติเผย พร้อมทิ้งท้ายว่า มีความฝัน ความหวังที่เรียกว่า ‘ประชาธิปไตย’ ไม่ว่าจะมีคำขยายแบบไหนก็ตาม

“ประชาธิปไตยควรที่จะได้รับโอกาสพัฒนาตัวเอง หมายความว่าถ้าเราเห็นถึงความสำคัญของอธิปไตยคืออำนาจของประชาชน ประชาธิปไตยเท่านั้นที่เป็นทางออก หมายความว่าคุณจะต้องให้พื้นที่นี้ได้เติบโต ซึ่งก็จะต้องจำกัดบทบาทของทหารในแง่ของเข้ามายึดอำนาจที่ผ่านรัฐสภา และจะต้องมีเสรีภาพ

ถ้าหากมีประชาธิปไตย มันจะสร้างสิ่งที่เรียกว่าความเท่าเทียม ความเป็นธรรม และเสรีภาพได้ อย่างน้อยมีโอกาสที่จะให้สิ่งนี้ได้รับการถกเถียงบนพื้นที่ปลอดภัยโดยรัฐสภา และสันติวิธี ผมเห็นด้วยกับ ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ในเรื่องสันติประชาธรรม

 ผมชื่นชมคนรุ่นใหม่หลังปี 2557 ที่มีความอดทนในการใช้สันติวิธีในการเคลื่อนไหว สิ่งที่ผมต้องการอยากที่จะเห็นในอนาคตคือ เป็นไปได้ไหมที่จะมีพื้นที่ปลอดภัย ในรัฐสภาไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม” สุชาติ
ฝากคำถาม

นับเป็นกิจกรรมดีๆ ขององค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่เปิดพื้นที่สนทนาหลากมุมศิลปะการเมืองเรื่องสังคมไทยในวันที่ประชาธิปไตยยังไม่ตั้งมั่นอย่างที่ควรเป็น