ผู้เขียน | ชญานินทร์ ภูษาทอง |
---|
พรรณสิรี คุณากรไพบูลย์ศิริ
หัวเรือใหญ่ ‘มูลนิธิรามาธิบดี’
จากหินก้อนแรกถึงโปรเจ็กต์หมื่นล้าน
อาคารใหม่และย่านนวัตกรรมโยธี
นับเป็นเวลาถึง 6 ทศวรรษที่คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี อยู่เคียงข้างสังคมไทย ในการสร้างบุคลากรทางการแพทย์เพื่อดูแลช่วยเหลือ โอบอุ้ม ประคับประคองผู้ป่วยไข้ให้กลับมามีสุขภาพดี เป็นกำลังสำคัญของชาติต่อไป
แน่นอนว่าหนึ่งปัจจัยที่ไม่อาจปฏิเสธได้ว่ามีความสำคัญยิ่ง คือ ‘ทุนทรัพย์’
มูลนิธิรามาธิบดี คือ องค์การที่สานต่อ ‘สะพานแห่งการให้’ ภายใต้วิสัยทัศน์และพันธกิจใน ‘การให้’ ไม่ว่าจะเป็น
‘ให้’ การรักษาสุขภาพที่ดีอย่างยั่งยืนกับผู้เจ็บป่วย
‘ให้’ ทุนทรัพย์ในการสร้างแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์
‘ให้’ การสนับสนุนด้านงานวิจัยเพื่อพัฒนานวัตกรรมทางการแพทย์ และ
‘ให้’ การสร้างเสริมสุขภาพกับชุมชน
ทุกโครงการของมูลนิธิรามาธิบดี ส่งเสริมทั้ง 4 ด้านนี้อย่างต่อเนื่องมากว่า 56 ปี
และนี่คือครั้งแรกของปี 2568 ที่ พรรณสิรี คุณากรไพบูลย์ศิริ ผู้จัดการมูลนิธิรามาธิบดี เผยวิสัยทัศน์และยุทธศาสตร์สานต่อพันธกิจแห่งการให้ที่ไม่มีวันสิ้นสุด
⦁ มูลนิธิรามาธิบดีมีพันธกิจอย่างไรบ้าง?
มูลนิธิเป็นสื่อกลาง ที่จะเป็นสะพานบุญเพื่อสนับสนุนคณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี ซึ่งปี 2568 เป็นปีครบรอบ 60 ปี ที่คณะแพทยศาสตร์ก่อตั้งขึ้นมา และกว่า 56 ปีของมูลนิธิ ยังคงดำเนินงานเป็นสะพานแห่งการให้ พัฒนาวงการสาธารณสุข ผลิตบุคลากรทางการแพทย์ต่อไปเพื่อให้คนไทยมีสุขภาพที่ดีอย่างยั่งยืน ตามปณิธาน คำว่าให้…ไม่สิ้นสุด
⦁ การดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรมมีอะไรบ้าง?
มูลนิธิช่วยเป็นที่พึ่งให้กับประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคที่รักษาได้ยากหรือโรคที่ต้องการโรงเรียนแพทย์โดยเฉพาะ ความรู้ ความเชี่ยวชาญเครื่องมือต่างๆ ที่เสริมสร้างการช่วยเหลือคนไข้ ซึ่งในปัจจุบันก็มีนวัตกรรมใหม่ในการรักษาเข้ามาใหม่เป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นยารักษารักโรค ซึ่งยาที่มีราคาแพงมักได้ผลลัพธ์ที่ดีมาก อาทิ กลุ่มพลาสมา สามารถนำมารักษาโรคที่สมัยก่อนไม่เคยรักษาหาย แต่ตอนนี้ยาสามารถสร้างผลลัพธ์ได้ดี ซึ่งจำพวกนี้ก็ไม่ได้อยู่ในสิทธิ 30 บาทรักษาทุกโรคหรือประกันสังคม
แม้ยาจะช่วยจากความเจ็บปวดได้อย่างมาก แต่การที่คนไข้จะรักษาพยาบาลเสร็จสิ้นไม่ได้จบเพียง 1 ครั้ง ซึ่งต้องรักษาอย่างต่อเนื่องและมีมูลค่าหลายแสนบาท อีกทั้งไม่ได้มีคนไข้เพียงคนเดียว ยังมีอีกเป็นจำนวนมาก และก็มีค่าใช้จ่ายสูงเช่นเดียวกัน ความท้าทาย คือการมียาใหม่ๆ จำนวนมาก ทำให้รักษาโรคที่อาจไม่มีโอกาสหาย ก็สามารถหายได้
⦁ บทบาทด้านการวิจัย และพัฒนาเทคโนโลยีส่งผลอย่างไรต่อการดูแลรักษาผู้ป่วยบ้าง?
นอกจากการช่วยเหลือด้านทุนทรัพย์ผู้ป่วยแล้ว เรายังต่อยอดไปถึงการศึกษา วิจัย และสร้างเสริมสุขภาพกับชุมชน เราจะทำอย่างไรที่จะพัฒนายาต่างๆ วิธีการรักษาใหม่ๆ เพื่อให้คนไทยมียาต้นทุนที่ถูกลง
และมีการช่วยเหลือเรื่องการผ่าตัด ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่สามารถย่นระยะเวลาการช่วยเหลือคนไข้ได้เยอะ การใช้หุ่นยนต์ผ่าตัดก็มีโครงการระดมทุนจัดซื้อเครื่องหุ่นยนต์ช่วยผ่าตัดเพื่อนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการรักษาให้ทันสมัยมากขึ้น
การรักษาคนไข้ที่มีเครื่องไม้เครื่องมือที่ทันสมัย ทำให้แพทย์มีความชำนาญมากขึ้นด้วย ยกตัวอย่าง เมื่อก่อนการที่แพทย์จะผ่าตัดเปิดหน้าท้องก็ต้องผ่าตัดเอง แต่ปัจจุบันมีเทคโนโลยีเข้ามา จากการผ่าตัด 6 ชั่วโมง ก็อาจจะเหลือ 1 ชั่วโมง หรือการที่ต้องแอดมิตนอนอยู่โรงพยาบาล 2-3 สัปดาห์ ตอนนี้อาจเหลือแค่ 2-3 วัน ทำให้โรงพยาบาลรามาธิบดีมีผู้ป่วยเข้าถึงการรักษามากยิ่งขึ้น ระยะเวลาการพักฟื้นน้อยลง ความแม่นยำมากขึ้น
⦁ ความคืบหน้าของโครงการอาคารโรงพยาบาลรามาธิบดี และย่านนวัตกรรมโยธี คาดว่าจะแล้วเสร็จเมื่อไหร่?
ไม่นานเกินรอแน่นอน คือ 7 ปีข้างหน้า ตั้งอยู่บนพื้นที่ส่วนหนึ่งด้านหน้าองค์การเภสัชกรรม ถ้าเปิดแล้วจะเป็นศูนย์การแพทย์ที่มีขนาด 15 ไร่ 2 งาน 24 ตารางวา มีพื้นที่ใช้สอยกว่า 278,000 ตารางเมตร อาคารแห่งนี้จะครอบคลุมการเป็นโรงเรียนแพทย์ โรงพยาบาลให้การรักษาประชาชน และการให้ความรู้ส่งเสริมด้านสุขภาพ
มูลนิธิเป็นเจ้าของอาคารนวัตกรรมโยธีจากการระดมทุน เราหวังว่าระยะยาวจะมีรายได้ขึ้นมาเพื่อดูแลมูลนิธิ และกลับคืนสู่ประชาชน โดยใช้ชื่อโครงการรับบริจาคว่า โครงการอาคารโรงพยาบาลรามาธิบดีและย่านนวัตกรรมโยธี
⦁ ต้องใช้ทุนทรัพย์เท่าไหร่สำหรับโครงการใหญ่ขนาดนี้?
อาคารนวัตกรรมโยธีใช้ทุนในการสร้างตามงบประมาณ 9,000 ล้านบาท มูลนิธิระดมทุน 100% แต่ยังไม่รวมที่รัฐบาลสนับสนุนเงินเข้ามาอีก ซึ่งการสร้างโรงพยาบาลต้องใช้ทุนหลายหมื่นล้าน อีกทั้งยังมีอุปกรณ์การแพทย์ที่ต้องสั่งซื้อที่เป็นรุ่นใหม่ ตอนนี้ยังตีราคาได้แค่กลมๆ
ซึ่งการเปิดใช้งานจะแบ่งการเปิดเป็น 2 เฟส และต้องย้ายบุคลากรจากที่เก่าไปที่ใหม่ ก็ต้องใช้เวลา พร้อมเครื่องไม้เครื่องมือด้วย
⦁ โครงการผู้ป่วยยากไร้ที่เคยดำเนินการก่อนหน้านี้ ยังคงทำต่อควบคู่การสร้างโรงพยาบาลหรือไม่?
โครงการผู้ป่วยยากไร้เป็นโครงการหลักของมูลนิธิรามาธิบดี เพื่อให้ผู้ป่วยทุกคนเข้าถึงการบริการด้านสุขภาพอย่างที่เราสามารถทำได้ เพื่อให้ผู้ป่วยทุกคนมีสิทธิเท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องฐานะหรือสังคม และอีกทั้งโครงการผู้ป่วยยากไร้ เป็นโครงการแรกที่ทำให้เกิดมูลนิธิขึ้นมา เราจะทำโครงการนี้ไปอีกนานเท่านาน
แต่ต้องยอมรับว่าในปีที่ผ่านมายอดผู้บริจาคผู้ป่วยยากไร้ลดน้อยลง เพราะว่าเรามีโครงการบริจาคสร้างอาคาร ซึ่งใครๆ ก็มีจิตกุศลที่อยากจะสร้างโรงพยาบาลใหม่
ต้องบอกว่ารากฐานแรกและหินก้อนแรกของการระดมทุนคือ การช่วยเหลือผู้ป่วย ซึ่งเป็นสิ่งที่เราต้องทำอยู่ และทำต่อในทุกๆ ปี ด้านอาคารนวัตกรรมโยธีก็เป็นโครงการใหญ่ ก็เป็นเรื่องที่จะทำควบคู่กันไป เพราะอาคารเก่าก็ใช้มากว่า 60 ปีแล้ว และมีอีกหลากหลายโครงการที่ยังทำกันอย่างต่อเนื่อง
สำหรับงบประมาณใน 1 ปีของโครงการผู้ป่วยยากไร้ ต้องใช้เงินในการใช้จ่ายกว่า 300 ล้านบาท แต่ผู้ป่วยบางคนก็ยังมีสิทธิ 30 บาทรักษาทุกโรค ประกันสังคมอยู่ด้วย บางครั้งหมอก็เต็มที่ แต่บางครั้งก็เกินสิทธิ หมอก็พยายามให้ยาอย่างเต็มที่ ตรงนี้ก็มีติดลบหรือเกินงบไปบ้าง
ต้องบอกว่ามูลนิธิมีการบริหารจัดการเงินในแต่ละส่วน เพื่อใช้จ่ายในการบริหารจัดการให้ทุกโครงการอย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถออกดอกออกผลได้ในอนาคต
⦁ ด้านงานวิจัย ไปในทิศทางใดแล้วบ้าง?
ด้วยความที่โรงพยาบาลรามาธิบดีเป็นโรงเรียนแพทย์และเป็นโรงพยาบาล ทุกเคสการแพทย์ที่เราช่วยเหลือไป สามารถต่อยอดในเรื่องของงานวิจัยได้ หรือแม้กระทั่งเรื่องสังคมสังเคราะห์ เราก็เก็บข้อมูลเพื่อพัฒนางานวิจัย นอกจากโรงพยาบาลรามาธิบดีเองแล้ว เราก็ยังลงพื้นที่ไปดูแลชุมชนต่างๆ ก่อเกิดงานวิจัยในระดับชุมชนต่อไปเช่นเดียวกัน
และเราไม่ได้ผลิตแพทย์เพื่อประจำที่กรุงเทพฯอย่างเดียว แต่เราส่งนักศึกษาแพทย์ของเราไปยังทุกที่ อย่างเช่นที่โรงพยาบาลอุ้มผาง จ.ตาก ซึ่งใช้ระยะเวลาในการเดินนานและไกลมาก เพื่อได้เห็นวิถีชีวิตของชุมชน ไม่งั้นจะกลายเป็นว่า น้องๆ จะติดอยู่กับในเมืองที่มีแต่เทคโนโลยี หรืออุปกรณ์ทุกอย่างพร้อม
⦁ ทุนการศึกษา เป็นอีกเรื่องสำคัญ ปัจจุบันเป็นอย่างไร?
มูลนิธิสนับสนุนการศึกษาในทุกๆ ปี ซึ่งมีด้วยกัน 5 หลักสูตร คือ 1.หลักสูตรแพทยศาสตรบัณฑิต 2.หลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต 3.หลักสูตรศึกษาศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาหูหนวกศึกษาและการศึกษาของคนหูหนวก 4.หลักสูตรฉุกเฉินการแพทยศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาฉุกเฉินการแพทย์ และ 5.สถาบันราชสุดาฯ
ส่วนเรื่องการสนับสนุนจำนวนเท่าใด น้องที่เขาพอจะมี เขาก็จะขอแค่ในส่วนที่เขาคิดว่าลำบาก ทุนมีให้ตั้งแต่หลักพันขึ้นไป ซึ่งด้านอาจารย์ก็เป็นคนประเมินในส่วนตรงนี้
น้องๆ ดีใจมากๆ ที่ได้รับทุนการศึกษาจากสังคม นักศึกษาแพทย์ที่จบไปส่วนใหญ่ก็ประจำอยู่ที่โรงพยาบาลรามาธิบดี มีน้อยมากๆ ที่ออกไปเป็นแพทย์ที่โรงพยาบาลเอกชน ส่วนมากทุกคนจะช่วยทำงานดูแลประชาชนในช่วงแรกก่อน
⦁ ‘แพทย์รามาฯ’ มีการปลูกฝังเรื่องการตอบแทนสังคมเป็นสำคัญ?
ทางคณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มีการปลูกฝังกับน้องๆ นักศึกษาแพทย์ให้เห็นถึงความสำคัญของทุกชีวิต รับรู้ความลำบากของชาวบ้านในพื้นที่ห่างไกล และเพื่อให้รับรู้ถึงการใช้ชีวิตของชาวบ้านจริงๆ
⦁ แผนกิจกรรมการระดมทุน 2568 มีอะไรบ้าง?
การระดมทุนของมูลนิธิรามาธิบดีมีภารกิจที่หลากหลาย จากปีที่ผ่านมาเราได้การตอบรับจากกิจกรรมการระดมทุนที่ดีมาก เราอยากให้คนทุกรุ่นทุกกลุ่มเข้าถึงได้ มูลนิธิอยากจะสร้างความยั่งยืนในการแบ่งปันให้เป็น ‘สังคมแห่งการให้’ ไม่ได้จำเป็นว่าต้องมาให้ที่มูลนิธิรามาธิบดีเท่านั้น เราอยากให้การทำบุญ การช่วยคนในสังคม มันง่ายขึ้น สามารถเข้าถึงได้
มูลนิธิจึงมีโครงการที่หลากหลาย อาทิ ของที่ระลึก Hello Kitty ครบรอบ 50 ปี ที่มีความร่วมสมัยมากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นสินค้าเอ็กซ์คลูซีฟที่จัดทำขึ้นมาเจ้าเดียว อีกทั้งยังมีการเช่าบูชาพระพุทธรูปทองคำ พระพุทธมหาสุวรรณปฏิมากร วัดไตรมิตรวิทยารามวรวิหาร
เราไม่อยากให้สินค้าที่ทำการกุศลเข้าถึงยากหรือใช้งานไม่ได้ แต่ต้องการออกสินค้ามาเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มลูกค้า และราคาที่เข้าถึง สามารถเข้าถึงการกุศลได้ง่าย ซึ่งเป็นมิติใหม่ของการทำการกุศล
อีกทั้งเรายังสนับสนุนน้องๆ สถาบันราชสุดาฯ ที่มีความสามารถได้เข้ามาทำงานและมีรายได้คืนสู่สังคม ซึ่งตัวน้องเองรู้สึกแฮปปี้มาก เพราะได้เป็นสื่อกลางในการทำการกุศล
⦁ รายได้หลักส่วนมากมาจากการบริจาค หรือการจำหน่ายสินค้า?
รายได้หลักของมูลนิธิส่วนมากมาจากเงินบริจาค ที่ไม่ได้เป็นเงินผู้บริจาครายใหญ่มาก ส่วนมากจะมาจากผู้บริจาคที่มีฐานะกลางทางสังคม อย่างที่ทราบกันดีว่าเราเป็นสังคมแห่งการให้ ฉะนั้นก็จะมีหลายคนบอกต่อกันไป หากเราไปที่โรงพยาบาลรามาธิบดี ที่อาคารกลางจะเห็นผู้ป่วยร่วมบริจาคด้วยกันเอง หรือประชาชนทั่วไปก็เข้ามาช่วยบริจาคที่มูลนิธิเป็นจำนวนมาก เป็นเรื่องราวที่ดีมากๆ
นี่เป็นสิ่งที่ทรงพลังมาก การบอกต่อยังมีค่อนข้างมาก เมื่อมีผู้บริจาครายใหญ่เข้ามา ส่วนมากจะเป็นการบอกต่อ จากการเข้ามารักษาที่โรงพยาบาล พอเราได้เห็น ได้สัมผัส ได้รับรู้วัฒนธรรมการบอกต่อ กลายเป็นเรื่องหลักที่ทำให้คนกลับมาบริจาคกับเราและช่วยเหลือเรา
คนที่มาบริจาค ส่วนมากก็เป็นคนที่ชอบการกุศลและบริจาคอย่างต่อเนื่อง เมื่อเขามาพบแพทย์ เขาก็จะแวะซื้อของการกุศลนิดหน่อยก็ถือได้ร่วมทำบุญแล้ว หากต้องเทียบเรื่องการขายของกับเงินทำบุญ เงินทำบุญเยอะกว่ามาก
แต่สิ่งของที่ต้องมีเพราะเราอยากมี Engagement อยากเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตทุกคน อยากให้ทุกคนมีของติดตัวกลับบ้าน ซึ่งเป็นสิ่งที่มูลนิธิภูมิใจมาก
ด้านวงการบันเทิงมีหลายๆ คนก็มีจิตอาสาอยากจะทำ เมื่อครบรอบ 60 ปีคณะแพทยศาสตร์ฯ มี ไบรท์ พิชญทัฬห์ จันทร์พุฒ ผู้ประกาศข่าวชื่อดัง ที่มีคุณแม่มารักษาที่โรงพยาบาล เขาก็บอกว่าประทับใจมาก ถึงแม้คุณแม่จะเสียชีวิตไปแล้ว แต่เวลาเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล เขารู้ว่าเต็มที่กันทุกคน
⦁ สถานการณ์ด้านบริหารจัดการของมูลนิธิเป็นอย่างไรบ้าง?
เมื่อมูลนิธิระดมเงินทุนได้ เรานำเงินมาบริหารจัดการให้ได้อย่างดีที่สุด อย่างแรกต้องตรงกับวัตถุประสงค์กับผู้ให้ เขาให้เราด้านไหน เขาอยากทำเรื่องใด เราต้องเคารพเขา เมื่อเขาอยากให้เราทำเรื่องนี้แต่เรื่องนี้เรายังมีเงินทุนน้อย เราก็เก็บเอาไว้ออกดอกออกผลก่อน ปีหน้าหรือปีต่อๆ ก็เกิดขึ้นอย่างแน่นอน
การรักษาผู้ป่วยเป็นพื้นฐานที่เราต้องทำอย่างต่อเนื่อง แต่เรื่องเครื่องมืออุปกรณ์ ทุนการศึกษา มันเป็นวงล้อ เราไม่สามารถข้ามสิ่งไหนได้เลย ถ้าเราไม่มีอาคารใหม่ เครื่องมือใหม่ เราก็รักษาคนไข้ไม่ได้
คนไข้ของอาคารนวัตกรรมโยธี ไม่ว่าจะยากไร้ หรือไม่ยากไร้ หรือจะเป็น 30 บาทรักษาทุกโรค เราก็จะรักษาผู้ป่วยที่นั่น เป็นเรื่องที่เราต้องสร้างระยะยาว การสร้างบุคลากรทางการแพทย์ หรือการกระจายความช่วยเหลือกับชุมชน การสอนนักศึกษาให้รู้จักชุมชนต่างจังหวัด เป็นเหมือนสภาวะกับสิ่งแวดล้อมที่ทุกอย่างจะต้องกลมกลืนไปด้วยกันเป็นวงจร เป็นการให้สุขภาพที่ดีกับคนไทยทุกคน
⦁ มูลนิธิรามาธิบดีมีบัญชีติ๊กต็อกด้วย คอนเทนต์ออนไลน์มีผลมากแค่ไหน?
มูลนิธิเปรียบเสมือนเป็นเอเยนซี่ เป็นโมเดลลิ่งให้บุคลากรในโรงพยาบาล ใครที่มีความสามารถ กล้าแสดงออก ให้มาเชิญชวนร่วมรณรงค์การกุศลผ่านการซื้อของช่องทางออนไลน์ ซึ่งแพลตฟอร์มติ๊กต็อกได้รับการตอบรับดีในปีที่ผ่านมา
ทางเว็บไซต์เราพัฒนาให้เข้าถึงได้ง่ายขึ้น ปัจจัยหลักของคนที่ต้องการมาบริจาค เขาต้องการรับความรู้สึกที่ประทับใจ และบริจาคอย่างง่ายๆ เมื่อเขาทำความดี ฉะนั้นเขาก็ควรได้รับความรู้สึกดีๆ ตอบกลับไป
และเว็บไซต์ช่องทางออนไลน์ คือช่องทางที่ขายดีที่สุด ในปีที่ผ่านมาทำ Ramathibodi x Crybaby Collection เราถูกตำหนิเยอะมากเพราะขายดีจนเว็บล่ม ทางหน้าร้านก็มีมาต่อแถวยาวตั้งแต่ตี 4 ถือว่าเป็นปรากฏการณ์ที่ประทับใจ
การมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับผู้บริจาค ถือเป็นสิ่งสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการบริจาคทางออฟไลน์หรือออนไลน์ สื่อโซเชียล ถือว่าเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญมาก เมื่ออุปกรณ์สื่ออิเล็กทรอนิกส์อยู่ในมือ เราจะทำอย่างไรให้เขามาเจอเราแล้วรู้สึกง่าย ไม่ยาก เพราะบางคนบอกว่า กว่าจะบริจาคออนไลน์ได้ ทำไมยากจัง? เราก็ต้องทำให้มันเข้าถึงง่าย
สมัยก่อนเราใช้ SMS ในการรับบริจาค แต่ปัจจุบันความเชื่อถือในการส่งข้อความทางโทรศัพท์ค่อนข้างลดลงอย่างมาก เพราะคนกลัวการหลอกลวง คนบริจาคไม่มีความเชื่อมั่นในจุดนี้ ไม่รู้ว่าจริงหรือไม่จริง เราต้องออกแบบการให้ว่าทำอย่างไรจึงจะตอบโจทย์ผู้บริจาคมากที่สุด
⦁ ทำไมมูลนิธิสามารถออกคอลเล็กชั่นสินค้าได้เยอะขนาดนี้ มีกลยุทธ์อะไร?
เราอยากก้าวข้ามกำแพงของความที่คิดว่า ทำไม่ได้ ในเมื่อเราทำความดี เราก็ต้องทำคอลเล็กชั่นได้ในหลายรูปแบบ
ยกตัวอย่าง ทำไมทำ Crybaby Collection ได้ เราแค่ Inbox อีเมล์ไปแบบธรรมดาๆ เลย พอเขาอีเมล์ตอบกลับมา เราดีใจมาก แตกตื่นกันทั้งมูลนิธิ นี่คือที่มาว่าทำไมเราถึงทำสิ่งของการกุศลที่หลากหลายได้
⦁ อยากบอกอะไรกับผู้บริจาคที่ผ่านมา และผู้บริจาครายใหม่ๆ ในอนาคต?
หัวใจสำคัญของมูลนิธิ คือการเป็นสื่อกลางของผู้ให้และผู้รับ ให้กับประชาชนไทยเข้าถึงบริการด้านสุขภาพที่ดีอย่างยั่งยืนในระยะยาว การบูรณาการให้ทั้ง 4 อย่างที่กล่าวมาอย่างต้น เพื่อให้สุขภาพที่ดีต่อประชาชน ผ่านการระดมทุนที่หลากหลาย ผ่านผู้ป่วยยากไร้ที่เป็นหัวใจหลัก เพื่อให้ประชาชนทุกคนเข้าถึงการรักษาที่ได้เป็นมาตรฐาน และเป็นที่พึ่งในยามเจ็บป่วย การสร้างอาคารนวัตกรรมโยธี เราระดมทุนอย่างต่อเนื่อง อยากให้ทุกคนมีส่วนร่วมในการบริจาค และสามารถเป็นผู้ให้ในหลากหลายช่องทาง หลากหลายรูปแบบ หลากหลายกิจกรรม
นอกจากนี้ ในปีที่ผ่านมา มูลนิธิยังให้การสนับสนุนโครงการทุนสถาบันราชสุดา คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้พิการได้รับการศึกษาและสามารถพัฒนาศักยภาพของตนเองได้อย่างเต็มที่ รวมถึงการให้บริการฟื้นฟูสมรรถภาพและพัฒนาศักยภาพของคนพิการ เพราะการมอบการศึกษาช่วยลดความเหลื่อมล้ำและสร้างความเท่าเทียมกันในสังคม นำไปสู่การยกระดับคุณภาพชีวิตและความสามารถในการพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน
มูลนิธิรามาธิบดีเชื่อมั่นว่าการมอบสุขภาพที่ดีอย่างยั่งยืนคือการให้อันยิ่งใหญ่และไม่สิ้นสุด และมุ่งมั่นเป็นสื่อกลางให้ผู้มีจิตศรัทธาได้มอบการให้อันยิ่งใหญ่และไม่สิ้นสุดนี้แก่สังคมไทยตลอดไป
ชญานินทร์ ภูษาทอง