คุ้ยเบื้องหลังไวรัล ‘คุณพี่เจ้าขาดิฉันเป็นห่านมิใช่หงส์’ จากตัวอักษร สู่ ละครจอแก้ว ความสนุกของการผิดที่-ผิดเวลา

คุ้ยเบื้องหลังไวรัล‘คุณพี่เจ้าขาดิฉันเป็นห่านมิใช่หงส์’จากตัวอักษร สู่ ละครจอแก้ว ความสนุกของการผิดที่-ผิดเวลา

ละครไทยแนวพีเรียดย้อนกาลเวลา กลับมาฟีเวอร์อีกครั้ง

หลังจาก “บุพเพสันนิวาส” สร้างปรากฏการณ์ให้แฟนละครหยิบสไบมาห่ม หยิบโจงกระเบนมาใส่กันทั่วบ้านทั่วเมือง กวาดเรตติ้งทั่วประเทศตอนจบสูงลิ่วถึงเลข 18.6 ส่งให้นักแสดงสาวเจ้าบทบาท เบลล่า ราณี แคมเปน กับ โป๊ป ธนวรรธน์ วรรธนะภูติ พระเอกมาดขรึม ขึ้นแท่นตำแหน่งคู่ขวัญแห่งชาติ ณ ขณะนั้นทันที

ล่าสุดมาถึงคิวละคร คุณพี่เจ้าขาดิฉันเป็นห่านมิใช่หงส์ กลับมาตอกย้ำปรากฏการณ์ความปังอีกครั้ง โดยนำเสนอเรื่องราวของ ‘นิทรา’ แสดงโดยโบว์ เมลดา สุศรี นางเอกสาวดาวรุ่ง ที่โชคชะตานำมาให้ย้อนกลับมาในช่วงสมัยรัชกาลที่ 3 ในฐานะนางคณิกาน้องใหม่ประจำโรงแม่แฟงย่านสำเพ็ง บางกอก

ADVERTISMENT

ดัดแปลงจากนวนิยายเล่มโด่งดัง ผลงานเจ้าของนามปากกา ฝันเอ้อระเหย

เดินเส้นเรื่องแบบสับฉบับชาวบ้าน สร้างเสียงหัวเราะ และมีมไวรัลว่อนโซเชียล ด้วยคาแร็กเตอร์ความก๋ากั่นของนางเอก ที่เป็นเลนส์ของคนสมัยใหม่ สอดแทรกด้วยการหยอดมุขวาทะร่วมสมัยสุดจึ้ง ชวนขัน

ADVERTISMENT
‘ป้าแจ๋ว’ ยุทธนา ลอพันธุ์ไพบูลย์

ผ่านฝีมือการกำกับ โดย ‘ป้าแจ๋ว’ ยุทธนา ลอพันธุ์ไพบูลย์ ผู้จัดละครมากฝีมือ ผู้ผ่านการทำงานมากกว่า 30 ปี ที่เรียกว่า ละเอียดยิบทุกองค์ประกอบ

ว่าแล้วต้องขอชวนขุดคุ้ยพูดคุยถึงเบื้องหลังการทำงาน พร้อมมุมมองวิชาการกับโจทย์ที่ว่า เราจะต่อยอดความสำเร็จนี้กันต่อไปได้อย่างไร?

จากตัวอักษร สู่ละครจอแก้ว

ทุ่มทำการบ้าน อ่านประวัติศาสตร์แน่นปึ้ก

ยุทธนา ลอพันธุ์ไพบูลย์ หรือป้าแจ๋ว ผู้จัดละครมือทอง เริ่มเล่าว่า ตอนแรกที่หยิบนิยายเรื่องนี้มา เห็นว่าเป็นเรื่องเบาๆ สนุกสนาน แต่พอเริ่มลงมือทำจริงจึงรู้ว่า มันไม่ได้เบา มันไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด

“เนื้อหามันมีการย้อนเวลากลับมาเหมือนบุพเพสันนิวาส เพียงแต่บุพเพฯ มันเป็นเรื่องราวใหญ่โต เข้าไปถึงในวัง ขณะที่คุณพี่เจ้าขาฯ เป็นเรื่องของชาวบ้านเท่านั้น พระเอกยศสูงสุดเป็นขุนหลวง เป็นแค่ตำรวจเอง

เราก็คิดว่า เออ! อย่างน้อยเรื่องนี้ก็น่าจะง่ายกว่าบุพเพฯ แต่พอทำจริงๆ มันก็มีดีเทลเยอะแยะมากที่เป็นแบ๊กกราวด์ฉากหลัง ก็ต้องรีเสิร์ชกันเยอะ” ป้าแจ๋วเผยเบื้องลึก ก่อนลงดีเทลเบื้องหลังต่อไปว่าตอนทำบทละคร ก็ต้องนั่งประชุมกับทีมงานว่า เราจะเลือกอะไรจากนิยายมาใช้บ้าง ซึ่งมันก็เป็นเรื่องยากพอสมควร แต่ก็ผ่านไปด้วยดี ขัดเกลากันเยอะ กว่าจะพอใจ

“เราชอบอ่านหนังสือ ชอบซื้อหนังสือ เวลามีงานสัปดาห์หนังสือฯจะพุ่งไปอยู่ 2 บูธ คือ บูธศูนย์หนังสือกรมศิลปากร กับ บูธสำนักพิมพ์มติชน เพราะมีหนังสือเกี่ยวกับประวัติศาสตร์เยอะมาก ชอบอ่านอยู่แล้ว เลยซื้อสะสมไว้แล้วส่วนตัวชอบประวัติศาสตร์ช่วงสมัยรัชกาลที่ 3-5 เป็นพิเศษด้วย เลยมีหนังสือแบบนี้เก็บไว้เยอะ อ่านแล้วก็พอจะมีความรู้อยู่บ้าง ตอนจะทำละครก็ชวนคนเขียนบทไปเดินงานหนังสือ 2 ปีซ้อนเลยนะ ปีแรกไปซื้อหนังสือเล่มคุณพี่เจ้าขาฯ พอรู้ว่าเกี่ยวกับช่วงรัชสมัยไหน ก็ไปหาซื้อหนังสือเหล่านั้นมาดูก่อน

พอถึงเวลาเริ่มเขียนบทจริงๆ ก็ใช้เวลานานเหมือนกัน ถึงขั้นไปงานหนังสือฯ ครั้งที่ 2 ของปีในช่วงเดือนตุลาคม เราก็จูงมือกันไปซื้ออีกครั้ง ซื้อมาเป็นปึกเลย เพราะอยากให้เรากับคนเขียนบท รู้เท่าๆ กันว่าในสมัยนั้นมันมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง

เราต้องเทียบทั้งเรื่องเสื้อผ้าอะไรต่างๆ นานา มันก็เลยใช้เวลาเขียน รีเสิร์ชกันนานพอสมควร” ป้าแจ๋วเล่าถึงการทุ่มทำการบ้านอย่างหนัก

จาก ‘บุพเพฯ’ ถึง ‘คุณพี่เจ้าขา’ ผิดที่ผิดทาง

สร้างเรื่องเบ๊อะๆ บ๊ะๆ แฟนตาซีที่ผู้ชมติดใจ

เมื่อชวนให้เจาะลึกถึงปัจจัยความสำเร็จของละคร ‘ย้อนกาลเวลา’ ป้าแจ๋ว ยุทธนา เผยว่า มันไม่ใช่เพิ่งเกิดจากละครเรื่อง “บุพเพสันนิวาส” แต่ซีรีส์จีน ซีรีส์เกาหลี ก็ย้อนยุคกันให้ควั่ก

“เราว่าที่คนดูชอบตัวพวกพระเอก นางเอกย้อนยุค ก็เพราะว่ามันมีเรื่องอะไรให้ดูขำๆ ตลกๆ เยอะ คือ คนมันอยู่ผิดที่ผิดทาง เช่น คนปัจจุบันไปอยู่ในอดีต มันก็จะต้องใช้ชีวิตไม่ถูก รวมทั้งพวกที่มาจากอดีตมาอยู่ในยุคปัจจุบันด้วย มันก็จะเบ๊อะๆ บ๊ะๆ ซึ่งเราก็เห็นในหนังฝรั่งเยอะแยะ

เราเลยคิดว่า พล็อตนี้คนดูชอบ

“หนึ่งมันแฟนตาซีหน่อยๆ ตัวคนดูก็อาจจะแทนตัวเองเป็นตัวละคร แล้วได้ร่วมย้อนกลับไปในอดีตด้วย ซึ่งเขาก็จะได้เห็นอดีตที่เขาไม่เคยเห็น ผ่านทางโปรดักชั่นที่เราทำขึ้นมา เขาก็จะได้รับความรู้และอะไรต่างๆ ไปพร้อมกับตัวละคร ตรงนี้มันเลยสนุก แล้วการทำอะไรเปิ่นๆ เฉิ่มๆ ตามนิสัยคนในสมัยนี้ แล้วไปทำในสมัยนั้น มันก็ทำให้คนดูสนุกดี” ผู้จัดละครมือทองมองอย่างทะลุ

ส่วนคาแร็กเตอร์ตัวนางเอกนั้น ป้าแจ๋วเล่าว่า ตามจริงแล้วตอนเขียนบทก็เขียนไว้ประมาณหนึ่ง พอตอนกำกับการแสดง บางที โบว์ เมลดา ที่เล่นเป็นนางเอกก็เสนอขายด้วย

“ฉากที่ถามหาไอคอนสยาม ในบทเขียนว่า ไหนโอเรียนเต็ล เพนนินซูลา อยู่ไหน โบว์เติมอีกอันหนึ่งเข้าไป เพราะเลยไปอีกนิดหนึ่งก็ไอคอนสยามแล้ว

ในเรื่องนี้มันมีหลายอย่างที่โบว์นำเสนอเรา เอามาขายเรา แล้วเราเห็นว่ามันตลก ก็ซื้อ แต่ถ้าอันไหนมันตลกเกินไป เราก็ไม่ซื้อ เราเอาแค่ตรงที่คิดว่ามันเหมาะสมกับเนื้อเรื่อง ไม่ใช่ว่าปล่อยให้มันตลกไปตามเบี้ยบ้ายรายทางไปเรื่อย มันต้องตลกอย่างเหมาะสมกับเหตุการณ์ในเนื้อเรื่องด้วย” ป้าแจ๋วเล่าอย่างออกรส สะท้อนความใส่ใจในทุกดีเทล

คอสตูม-เครื่องหัว มาอย่างไว!

อีกเทรนด์ชุดไทย เที่ยวตามรอยความปัง

พอพูดถึงความกระแสความปัง ที่แฟนละคนตอบรับอย่างล้นหลาม ป้าแจ๋วยอมรับว่า เราไม่ได้คาดหวังว่าจะประสบความสำเร็จอะไรเท่าไหร่ เพราะอย่างที่เรารู้กันว่า ละครที่ย้อนไปอยู่ในยุคโบราณ มีให้เห็นหลายเรื่องแล้ว ไม่รู้ว่าคนจะเบื่อไหม คนจะชอบไหม

“พอออกอากาศไป 2 ตอนแรก ตกใจมาก จู่ๆ มันออกมาเป็นไวรัลทั่วไปหมดทุกอย่าง ตอนนี้เปิดเข้าไปในโทรศัพท์ หรืออินเตอร์เน็ต คือ ตอนนี้ทุกอย่างมันมาอิงกับคุณพี่เจ้าขาฯหลายอย่าง หรือในด้านประวัติศาสตร์ที่บางมุมยังไม่ค่อยมีคนรู้จัก พอคุณพี่เจ้าขาออนไป เขาก็เอามาเขียน เอามาขยายให้อ่านได้ความรู้

แต่ที่ตลก คือ ชุดของบุญตา ถูกร้านเช่าชุดประดิษฐ์ออกมาอย่างรวดเร็ว แล้วทำออกมาให้เช่าที่อยุธยากันแล้ว ทั้งพวกเครื่องหัว ประดับดอกไม้อะไรต่างๆ ทำกันเร็วมาก จนเราตกใจว่า เฮ้ย! เขาดูยังไงทำไมเอาไปทำได้เร็วขนาดนี้ (หัวเราะ)

เราไม่รู้หรอกว่าเราจะไปผลักดันต่อยอดมันต่ออย่างไร เพียงแต่คิดว่าละครมันคงจะไปผลักดันอะไรบางอย่างให้เกิดขึ้นตามธรรมชาติ สิ่งที่คนอาจจะตามไปดูได้ ก็คือ โลเกชั่นที่ถ่ายตามวัดต่างๆ

ตอนนี้มีกระแสการทำเครื่องดอกไม้ หรือเครื่องประดับศีรษะคนก็เริ่มสนใจ ซึ่งมันไม่จำเป็นต้องทำมาจากเครื่องโลหะ หรือทองอย่างเดียว ดอกไม้มันก็ทำได้” ป้าแจ๋วร่วมแชร์ไอเดีย

จากนั้น ป้าแจ๋วชี้ชวนให้มองต่อไปว่า ทุกวันนี้คนยังเข้าใจคำว่า ‘ซอฟต์พาวเวอร์’ ผิด เพราะซอฟต์พาวเวอร์ไม่ใช่สิ่งของ ไม่ใช่สถานที่ มันไม่ใช่สิ่งที่จับต้องได้ แต่มันมาจากสิ่งที่เราเห็น สัมผัส รับรสต่างๆ นานา เมื่อเราได้ดู ได้รับรสแล้วเราจึงรำลึกถึง

“ซอฟต์พาวเวอร์ ไม่ใช่พระปรางค์วัดอรุณ ผัดไทย ผัดกะเพรา หรือโจงกระเบน แต่มันคือสิ่งที่ทำให้คนเหล่านั้นระลึกว่า สิ่งที่เขาสัมผัส เห็น รับรส รับรู้ต่างๆ นั้น มันมาจากไหน มันก็มาจากไทยนี่เอง แล้วละครไทยต่อให้ไปเอาไปฉายที่ไหน แพลตฟอร์มใด แค่คนเขาเห็บปั๊บ ก็จะรู้เลยว่ามาจากประเทศไทย”

เทียบชัดๆ การะเกด-บุญตา

ความป๊อปปูลาร์ต่างชนชั้น

จากนั้น มาเสริมด้วยการวิเคราะห์ของ ดร.อรจิรา อัจฉริยไพบูลย์ อาจารย์ประจำภาควิชาภาษาไทย คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร ที่มองว่า ละครเรื่องคุณพี่เจ้าขาฯ ได้รับกระแสตอบรับเป็นอย่างดี เพราะเป็นเรื่องราวเบาสมอง สร้างอารมณ์ขัน รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ เป็นอย่างดี

“ปัจจุบันสังคมเราคนมันเครียด ถ้าดูจากตามข่าวหรือสถานการณ์ต่างๆ ละครเรื่องนี้มันเลยเหมือนมาตอบโจทย์สังคมในยุคนี้พอดี คนเขารอดูว่า เอ๊ะ! เรื่องนี้จะเหมือนหรือแตกต่างจากเรื่องบุพเพฯ ที่คนเคยรับรู้สัมผัสอย่างไร

ตอนนั้น โอ้โห! อะไรที่มีความเป็นไทย อาหารไทย หนังสือ ป๊อปปูลาร์มาก คนก็อาจจะรอดูว่าละครคุณพี่เจ้าขาฯ มันจะมีอะไรที่แฝงอยู่ในนั้นบ้าง ในช่วงรัตนโกสินทร์ตอนต้น หรือช่วงรัชกาลที่ 3” ดร.อรจิราจับจุดความปัง

ไม่เพียงเท่านั้น ยังลงดีเทลถึงตัวละครว่า เรื่องนี้ตัวนางเอกที่ย้อนเวลาไป มีความแตกต่างจากตัวละครหญิงย้อนเวลาเรื่องอื่นๆ เช่น “เกศสุรางค์” เรื่องบุพเพสันนิวาส ย้อนมิติข้ามกาลเวลาไปเป็น “การะเกด” ก็ไปอยู่ในชนชั้นมูลนาย หรือชนชั้นสูงของสังคม

“แต่ผู้หญิงคนนี้ยัยจี๊ด นิทรา จากคุณพี่เจ้าขาฯ ดาราชื่อดังย้อนไปอยู่ในยุครัตนโกสินทร์ตอนต้น ซึ่งเป็นคนที่ไปอยู่ในสถานภาพทางสังคมที่ค่อนข้างต่ำ เป็นนางคณิกา ก็ทำให้คนเขาอยากติดตามเรียนรู้ว่า ผู้หญิงคนนี้จะอยู่ในสังคมแบบนั้นได้อย่างไร ก็เหมือนร่วมลุ้นร่วมไปกับพฤติกรรมแปลกๆ ก๋ากั่น แล้วติดตามให้กำลังใจเธอ” ดร.อรจิราชูจุดมัดใจแฟนละคร

ดูกระแส ดูละคร แล้วย้อนดูตัว

ในวันที่สังคมไทยเปิดกว้าง

ไม่เพียงเท่านั้น ยังวิเคราะห์ต่อไปอีกว่า กระแสของเรื่องนี้เกิดขึ้นมาใน พ.ศ.2568 ซึ่งจะเห็นได้ว่า สังคมไทยเปิดกว้างแล้วในหลายมิติ เช่น ความเท่าเทียมทางเพศ มีกฎหมาย ‘สมรสเท่าเทียม’ หรือกระทั่งบางอาชีพที่คนไทยเคยมองว่าน่ารังเกียจ แต่คนชั้นสูงก็เข้าไปใช้บริการ

“มันเป็นเรื่องราวของผู้หญิงที่ไม่ถูกยอมรับ แต่พยายามสร้างพื้นที่ให้ตัวเอง เพื่อความเท่าเทียมทางเพศ ตรงนี้มันก็เป็นเหมือนการร่วมเปิดกว้างทางความคิด ให้คนสมัยใหม่มองเห็นมากขึ้น” ดร.อรจิรากะเทาะประเด็น

ก่อนจะขยายความต่อว่า มันจะสร้างการต่อยอดไปมากกว่าละคร เช่น ตอนที่กระแสละครบุพเพฯฟีเวอร์ เราจะเห็นคนไปอ่านหนังสือเก่าๆ มากขึ้น อาหารและการแต่งกายชุดไทยก็ได้รับความนิยม

“เรื่องนี้การแต่งกายชุดไทยในคุณพี่เจ้าขาฯมีลักษณะพิเศษ มันไม่ใช่ชุดไทยสไบเฉียงของชนชั้นสูง แบบในบุพเพฯ เรื่องนี้นางเอกเป็นคณิกา แต่มันก็ถูกเอามาปรับให้มีสีสัน ซึ่งต่อไปนางเอกก็อาจจะขายผ้า มันอาจจะทำให้บูมขึ้นมาก็ได้ หรือสถานที่ที่มันเกี่ยวของกับในเรื่อง ก็อาจจะมีคนตามไปเที่ยว” ดร.อรจิราฉายภาพช็อตต่อไป

ดันละคร-วรรณกรรม โกอินเตอร์!

โชว์ซอฟต์พาวเวอร์ ทัชใจต่างชาติ

เมื่อเจาะถึงประเด็นฮอตพูดถึงอย่างหนาหูถึง ‘ซอฟต์พาวเวอร์’ ดร.อรจิรามองว่า ถ้ารัฐบาลหันมาให้ความสนใจกับวรรณกรรมไทย ละครไทย หนังไทย ได้มันจะเป็นเรื่องที่ดีมาก

จากปรากฏการณ์ความนิยม ที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วจากความนิยมของวรรณกรรมชิ้นดังๆ เช่น นิยายเรื่องข้างหลังภาพ ก็ถูกเอาไปแปลเป็นหลายภาษา แล้วเดี๋ยวตอนนี้ภาษาก็ได้รับความนิยมในการเรียนการสอนมากขึ้นในต่างประเทศ

“พอถามนักเรียน นักศึกษาชาวต่างชาติว่า ได้อ่านวรรณกรรมไทยเรื่องอะไรมาบ้าง เขาตอบว่า ข้างหลังภาพ ลิลิตพระลอ ที่น่าเซอร์ไพรส์ คือ บางคนตอบว่ารามเกียรติ์ด้วย ก็ตกใจเหมือนกัน” ดร.อรจิราเผย

ก่อนจะชวนคิดต่อยอดไปอีกว่า ถ้ามีการสนับสนุนให้แปลวรรณกรรมไทยไปเป็นภาษาต่างๆ แล้วโด่งดัง มันก็มีโอกาสโกอินเตอร์ เพราะนักท่องเที่ยวอยากรู้จักเมืองไทย โดยทำความรู้จักความคิดของคนไทยได้ผ่านวรรณกรรม

“มันจะสะท้อนความคิดต่างๆ ได้ มันไม่ได้อ่านยาก สาระแน่นแบบหนังสือประวัติศาสตร์ พอมาอ่านวรรณกรรม ดูละครไทย มันจะเห็นความคิด ความรู้สึก วิถีชีวิต มุมมอง โลกทัศน์ของคนผ่านตัวละคร

ถ้าเราสามารถทำให้ต้นทุนการผลิตหนังสือถูกลง และร่วมกันผลิตสื่อดีๆ ออกมา ทำให้คนได้ฝึกคิดได้อย่างมีวิจารณญาณ คิดว่าสังคมไทยก็น่าจะเปลี่ยนไปในทางที่ดี” ดร.อรจิราฝากประเด็นให้ต่อยอด ก่อนทิ้งท้ายว่า

มันเป็นซอฟต์พาวเวอร์ ที่ดูเหมือนเรื่องเล็กน้อย แต่ถ้าเราร่วมมือกัน สังคมไทยจะน่าอยู่มากยิ่งขึ้น

ภูษิต ภูมีคำ

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image