ชวนอ่าน ความคิดอันน่าทึ่ง ‘โซเมีย,ไท-ไตในนิธิ เอียวศรีวงศ์’

โซเมีย – รวมข้อมูลวรรณกรรมวิชาการโซเมีย, ไทไต ในนิธิ เอียวศรีวงศ์”, สุจิตต์ วงษ์เทศ, (กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มติชน, 2568) เป็นการรวบรวมต้นฉบับเบ็ดเตล็ด”(ตามคำของบรรณาธิการ) ข้อมูลดิบ และบทความวิชาการบางชิ้นของ นิธิ เอียวศรีวงศ์ งานเขียนแต่ละชิ้นสั้นยาวไม่เท่ากัน ชิ้นที่สั้นที่สุด (เนื่องจากเป็นร่างงานเขียนหรือบันทึกในบางประเด็น) ยาวเพียง 2-3 หน้า แต่มีสาระสำคัญที่เกี่ยวข้องกับบริเวณที่สูงชันที่นักวิชาการบางคนเรียกว่าโซเมียและคนไทไต ซึ่งนิธิคิดว่าจะช่วยให้เราเข้าใจที่มาและพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ของคนไทยได้กระจ่างยิ่งขึ้น

โซเมียคืออะไร? สำคัญอย่างไร? 

โซเมียคืออะไร? สำคัญอย่างไร? นิธิให้คำอธิบายสั้นๆ ว่าโซเมียหมายถึงบริเวณพื้นที่สูงนับจากทิวเขาหิมาลัยรวมเอาทิเบต, มณฑลเสฉวนและยูนนานในประเทศจีน, นาคะประเทศ, มณีปุระ, คั่นด้วยพื้นที่ราบอันเกิดจากแม่น้ำอิรวดี, พม่าเหนือไล่ลงมาทางใต้ตลอดแนวชายฝั่งอันดามัน ดังนั้นจึงกินเอาภาคตะวันตกของประเทศไทยภาคเหนือตอนบนและอีสานสปป.ลาวทั้งประเทศ รวมทั้งภาคตะวันออกเฉียงเหนือของกัมพูชา ส่วนเวียดนามนั้น พื้นที่สูงของโซเมียกินดินแดนเกือบทั้งประเทศ ยกเว้นที่ราบปากแม่น้ำแดงทางเหนือ และที่ราบปากแม่น้ำโขงทางตอนใต้” (.59-60)

โซเมียเป็นพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาล นอกจากมีสภาพภูมิอากาศ ภูมิประเทศ พืชพรรณ พันธุ์สัตว์ ที่แตกต่างกันแล้ว ผู้คนที่อาศัยอยู่ในบริเวณนี้ก็มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์ ภาษาพูด ขนบธรรมเนียม ความคิด และความเชื่อทางศาสนา เป็นพื้นที่ที่มีทรัพยากรธรรมชาตินานาชนิด บางชนิดเป็นของหายากและหลายชนิด เช่น สัตว์ป่าและส่วนต่างๆ ของสัตว์ป่า ฝิ่น กัญชา สมุนไพร แร่เงิน หินมีค่า ก็มีความต้องการสูง ทรัพยากรเหล่านี้จึงเป็นสินค้าที่มีมูลค่าสูง ทำกำไรได้มาก นอกจากนี้ บางส่วนของเส้นทางสายไหมได้ตัดผ่านพื้นที่ของโซเมีย สินค้าจำนวนไม่น้อยจึงเป็นทรัพยากรอันมีค่าของดินแดนแห่งนี้ที่ถูกส่งต่อไปยังส่วนอื่นๆ ในโลก

ADVERTISMENT

แม้แต่รัฐสุโขทัยก็ตั้งอยู่ชายขอบของโซเมีย 

ในความคิดของคนไทย โซเมียอาจดูเป็นที่ห่างไกลจากความเจริญ เป็นที่พำนักของผู้คนนิรนามในเขาป่า ทว่า ในความเป็นจริง ที่นี่เป็นดินแดนสำคัญในทางการค้าระหว่างประเทศ อีกทั้งยังเป็นบริเวณชายแดนที่มาบรรจบกันของหลายประเทศ เช่น อินเดีย ปากีสถาน จีน เวียดนาม พม่า ไทย จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในทางการเมืองและความมั่นคงระหว่างประเทศอีกด้วย

ADVERTISMENT

ยิ่งกว่านั้น ยังมีความน่าสนใจอีกประการหนึ่ง นิธิเขียนไว้ว่า ถ้าไม่นับไทยสยามในภาคกลางและคาบสมุทรมลายูแล้ว กลุ่มคนที่ภายหลังเรียกตนเองว่า ไทหรือไต ล้วนอยู่บนโซเมีย ซึ่งก็คือ ผืนที่สูง …” แล้วพาดพิงถึงคนไท/ไตกลุ่มต่างๆ ในเวียดนาม จีนใต้  อีกทั้งยังระบุว่าแม้แต่รัฐสุโขทัยก็ตั้งอยู่ชายขอบของโซเมีย รัฐที่ใช้ภาษาไทในที่ราบสูงอีสานล้วนตั้งอยู่บนส่วนหนึ่งของโซเมียดังนั้นจึงเป็นการสมควรที่จะเริ่มเรื่องราวของของไทไตด้วยการบรรยายถึงโซเมียก่อน” (.3-4) 

ด้วยเหตุนี้ ดินแดนของประเทศไทยและประวัติศาสตร์ของราชอาณาจักรของคนไทยที่เคยรุ่งเรืองในอดีตจึงเกี่ยวข้องกับโซเมียอย่างหลีกเลี่ยงมิได้ นิธิให้ความสนใจต่อโซเมียด้วยจุดมุ่งหมายในการทำความเข้าใจเกี่ยวกับดินแดนแห่งนี้ และปฏิสัมพันธ์ระหว่างโซเมียกับประวัติศาสตร์ไทยและคนไทย ซึ่งเป็นคนกลุ่มหนึ่งในกลุ่มคนที่ใหญ่กว่าที่เรียกว่าคนไทไต

นิธิอธิบายไว้อย่างชัดเจนว่าเมื่อจะพูดถึงเรื่องของพวกไท/ไต จึงพึงเข้าใจว่าไม่ได้พูดถึงกลุ่มคนที่มีเลือดไท/ไตแต่พูดถึงคนที่มีสำนึกร่วมกับคนอื่นว่า ตนคือไท/ไต กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือมีอัตลักษณ์ร่วมกัน” (.68) และอัตลักษณ์ที่ว่านี้ก็ไม่ใช่เชื้อชาติ หรือเผ่าพันธุ์ที่ถูกสมมติให้เป็นสิ่งหยุดนิ่งตายตัวแต่หมายถึงชาติพันธุ์ที่เป็นเรื่องของวัฒนธรรมด้านที่เป็นสาระสำคัญ เช่น ภาษา, ความเชื่อทางศาสนา, การนับญาติ, ระบบการเมือง (หรือใครมีอำนาจและสิทธิเหนือใคร เพราะอะไร) ฯลฯ” (.67)

เรื่องราวของไท/ไต หมายถึงเรื่องราวของใครกันแน่?

หลังจากนั้น นิธิก็ตั้งคำถามว่าเรื่องราวของไท/ไตหมายถึงเรื่องราวของใครกันแน่?” (.70) โดยเริ่มให้คำอธิบายว่าไทไตเป็นแต่กลุ่มชาติพันธุ์ ซึ่งมีวัฒนธรรมบางด้านตรงกัน แต่ที่ตรงกันนี้อาจไม่ใช่มาจากชาติพันธุ์เฉพาะของตนเอง หากเป็นเพราะวัฒนธรรมดังกล่าว เช่น กินหมาก, เรือนเสาสูง, ลายสัก, การทำนาดำ, การใช้ควาย, แต่งงานเข้าเรือนฝ่ายหญิง, บทบาทที่สูงและมากของผู้หญิงในสังคม ฯลฯ เป็นวัฒนธรรมร่วมที่คนหลากหลายชาติพันธุ์บน โซเมีย’ … ต่างมีร่วมกัน วัฒนธรรมเพียงอย่างเดียวที่พวกไทไตอาจมีร่วมกันคือภาษา ต่างใช้ภาษาที่อยู่ในตระกูลไทกะได แต่ไม่จำเป็นว่าจะพูดกันรู้เรื่องทุกกลุ่ม” (.73)

ในทางวิชาการ คนไทไตจึงเป็นคำนิยามที่นักวิชาการใช้เรียกผู้คนหลากหลายกลุ่มที่มีภาษาพูดในตระกูลภาษาไทกะได และมีอัตลักษณ์ชาติพันธุ์ร่วมกันบางประการ เช่น ภาษาและการแต่งกาย (.81-82) อย่างไรก็ตาม มีความเป็นไปได้ว่าคนไทไตบางกลุ่มมีสำนึกเกี่ยวกับคนที่พูดภาษาไทไตกลุ่มอื่น เช่น นิธิพาดพิงถึงบันทึกของลาลูแบร์ที่ระบุว่าคนอยุธยาในศตวรรษที่ 17 “เรียกตนเองว่าคนไทยและยังรู้ด้วยว่า กลุ่มคนไทยนั้นยังมีอีกกลุ่มหนึ่งอยู่ทางเหนือเรียกว่า 

ไทยใหญ่ส่วนตนเองนั้นเป็นไทยน้อย’ ” นอกจากนี้ ผู้คนในล้านนาในสมัยอยุธยาก็มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับคนไตโหลงหรือไทยใหญ่ในรัฐชานโดยเฉพาะด้านการค้าและการส่งผ่านวัฒนธรรมความรู้ระหว่างกัน” (.83 เชิงอรรถ 4)

แรงบันดาลใจเขียนหนังสือ (กึ่ง) วิชาการ 

ประวัติศาสตร์ล้านนานอกขนบ

ผมอยากสันนิษฐานว่าความสัมพันธ์อันใกล้ชิดในอดีตระหว่างคนไทไตต่างกลุ่มภาษา เช่น ระหว่างคนล้านนากับคนไทยใหญ่ในรัฐชาน อาจเป็นหนึ่งในแรงบันดาลใจที่กระตุ้นให้นิธิเริ่มค้นคว้าเกี่ยวกับคนไทไตอย่างจริงจัง และมีความคิดที่จะเขียนหนังสือวิชาการหรือกึ่งวิชาการขึ้นเล่มหนึ่ง เนื้อหาประมาณประวัติศาสตร์ล้านนานอกขนบดังที่ สุชาดา จักรพิสุทธิ์ ผู้เป็นภรรยาได้เปิดเผยในคำทรงจำ’ ” (.7) ยิ่งกว่านั้น ยังอาจเป็นจุดเริ่มต้นของการเขียนประวัติศาสตร์ชาติไทยที่มีขอบเขตความรู้กว้างเกินกว่าอาณาเขตประเทศไทย และไม่เน้นเพียง คนไทยกลุ่มเดียวเท่านั้น หากครอบคลุมผู้คนหลากหลายชาติพันธุ์ ทั้งที่พูดภาษาไทไตและภาษาอื่น ดังจะเห็นได้จากเนื้อหาที่นิธิเขียนอภิปรายไว้ค่อนข้างยาวในข้อเสนอสังเขปประวัติศาสตร์แห่งชาติ” (.94-145) และประวัติศาสตร์ไทยโดยสังเขป” (.198-230) ที่นอกจากกล่าวถึงเรื่องความหลากหลายของผู้คนแล้ว ยังพาดพิงถึงเรื่องเศรษฐกิจและการค้า การขยายตัวทางการค้าและวัฒนธรรมที่หลั่งไหลตามกระแสการค้าจากแดนไกล” (.208) ซึ่งไม่มากก็น้อยได้ส่งผลให้บริเวณนี้หลากหลายด้วยวัฒนธรรมอื่นจากดินแดนอันห่างไกล หลอมรวมเข้าจนกลายเป็นวิถีชีวิตร่วมกันของผู้คนทั้งหลาย

มีการประมาณกันว่าผู้คนที่พูดภาษาตระกูลไทไตทั้งหมดราว 93 ล้านคน แต่ผมเดาว่าอาจมีมากกว่าหนึ่งร้อยล้านคนก็ได้หากเรานับรวมคนที่พูดมากกว่าหนึ่งภาษา ซึ่งเป็นเรื่องปรกติในดินแดนแถบนี้ เช่น สมมติว่าพ่อพูดภาษาไทดำ แม่พูดภาษาเวียด ลูกๆ พูดได้ทั้งสองภาษา เราจะจัดว่าลูกๆ พูดภาษาอะไร? ไทดำหรือเวียด? จะจัดให้เป็นคนเวียดหรือคนไทไต? หรือตัวอย่างใกล้ตัว พ่อพูดภาษาไทยกลาง แม่พูดภาษาเขมร ลูกๆ พูดได้ทั้งสองภาษา เราจะจัดว่าลูกๆ พูดภาษาอะไร? ไทยกลางหรือเขมร? และจัดเป็นคนกลุ่มใด? ดังที่นิธิได้อธิบายไว้แล้วว่าคนไทไตเป็นกลุ่มคนที่มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์แต่มีบางสิ่งบางอย่างร่วมกัน เช่น ภาษา ในความเห็นของผม คนไทไตจึงมิได้เป็นกลุ่มก้อนเดียวกันหรือเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน นอกจากมีภาษาพูดต่างกันแล้ว (แต่ใช้ภาษาไทไตร่วมกันได้) ยังมีประสบการณ์และพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ที่แตกต่างกันด้วย ความรู้สึกนึกคิด ความเชื่อทางศาสนาก็ต่างกัน

‘lingual franca’ ภาษากลางของกลุ่มชาติพันธุ์ สื่อสาร สังสรรค์ 

คุยการค้าแม้แต่เกี้ยวพาราสี

ความน่าสนใจประการหนึ่งของภาษาไทไตคือเป็น “lingual franca” หรือภาษากลางที่ชนชาติพันธุ์กลุ่มต่างๆ ใช้สื่อสารติดต่อกันในชีวิตประจำวัน เจรจาต่อรองกันในการค้าขาย ในวงสนทนาของคนต่างชาติพันธุ์เพื่อสังสรรค์ สร้างมิตรไมตรี หรือแม้แต่การเกี้ยวพาราสี ที่อาจนำไปสู่การแต่งงานสร้างครอบครัวร่วมกันระหว่างคู่สมรสต่างชาติพันธุ์ (อันเป็นเรื่องปกติในดินแดนนี้) ตัวอย่างที่ชัดเจนคือภาษาไตในรัฐชาน หรือคำเมืองในภาคเหนือของประเทศไทยก็อาจเรียกได้ว่าเป็น “lingual franca” ได้เช่นกัน เพราะคนบนที่สูงหลายกลุ่มพูดคำเมืองได้ ใช้ติดต่อสื่อสารกับคนกลุ่มอื่นๆ รวมทั้งคนเมืองได้

มีรายงานว่าในศตวรรษที่ 19 ในรัฐชานมีชนชาติพันธุ์กลุ่มที่แสดงตนว่าเป็นคนไทยใหญ่ ด้วยเหตุผลทางเศรษฐกิจการค้า เช่น คนพาโอ ซึ่งพูดภาษาในตระกูลภาษากะเหรี่ยง (นักวิชาการบางคนจัดว่าอยู่ในตระกูลภาษาจีนทิเบต) และเป็นที่รู้จักในนามตองซู่อันเป็นภาษาพม่า หมายถึงคนดอยว่ากันว่าผู้ชายตองซู่แต่งกายแบบชายไทยใหญ่และมีอาชีพค้าขาย เป็นพ่อค้าวัวต่างไม่ต่างจากพ่อค้าวัวต่างชาวไทยใหญ่ทั่วไป แต่คนพาโอเหล่านี้ก็มิได้ละทิ้งวัฒนธรรมเดิมของตนและยังคงพูดภาษาเดิมของตน นอกเหนือจากภาษาไทยใหญ่ที่ใช้เป็นปรกติในการค้าขาย

จากรัฐเจ้าฟ้าสู่รัฐมหานคร 

นอกจากนี้ คนไทไตยังมีความเด่นอีกประการหนึ่งคือการมีเมืองอันเป็นที่พำนักอาศัยของผู้ปกครองที่เรียกว่าเจ้าเมือง(หรือเจ้าฟ้าในรัฐชาน) เมืองจึงเป็นศูนย์กลางของการบริหารปกครองโดยปริยาย อีกทั้งเมืองส่วนใหญ่มักตั้งอยู่บนเส้นทางการค้า จึงเป็นจุดรวมสินค้าที่มาจากที่ต่างๆ และพ่อค้าลูกค้าที่เป็นชนต่างชาติพันธุ์มากมายที่เดินทางมาจากที่ต่างๆ เพื่อค้าขายสินค้าสารพัดชนิด

ในทางการเมือง เมืองของคนไทไตก่อให้เกิดสิ่งที่นิธิเรียกว่ารัฐเจ้าฟ้าที่มีลักษณะสำคัญคือ “ ‘เจ้าฟ้ามีอำนาจอยู่เฉพาะในเมืองซึ่งคือที่ราบหุบเขาหนึ่งเท่านั้น แต่อาจสร้างเครือข่ายความสัมพันธ์ข้ามจากเมืองหนึ่งไปยังเมืองอื่น โดยอาศัยความสัมพันธ์เชิงเครือญาติ” (.166-167) อย่างไรก็ตาม นิธิเสนอว่ารัฐเจ้าฟ้าอาจพัฒนาและขยายอำนาจทางการเมืองของตนให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น กลายเป็นรัฐมหานครเฉกเช่นล้านนาได้ ดังปรากฏในจากรัฐเจ้าฟ้าสู่รัฐมหานคร” (.163-192) ที่นิธิพยายามสร้างคำอธิบายเกี่ยวกับพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ของการขึ้นมามีอำนาจทางการเมืองของรัฐคนไทย เช่น สุโขทัยและอยุธยา โดยอภิปรายถึงรัฐเจ้าฟ้าและรัฐมหานครของคนไทไตที่มีข้อจำกัดในการขยายอำนาจ ไม่อาจกลายเป็นรัฐราชอาณาจักรอย่างสุโขทัยและอยุธยาได้

ความคิดและความรู้อันน่าทึ่ง

ไม่เพียงคุณูปการทางวิชาการ คนทั่วไปก็ควรอ่าน 

ยังมีประเด็นสำคัญและรายละเอียดที่น่าสนใจในรวมข้อมูลวรรณกรรมวิชาการ โซเมีย, ไทไต ในนิธิ เอียวศรีวงศ์’ ” ที่ผมไม่สามารถกล่าวถึงได้หมดในที่นี้ แต่อยากย้ำว่าหนังสือเล่มนี้เผยถึงความคิดและความรู้อันน่าทึ่งของนิธิ เอียวศรีวงศ์ ในเรื่องคนไทไตและอาณาบริเวณของผู้คนเหล่านี้ ซึ่งอยู่นอกอาณาจักรไทยแต่มีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับคนไทยอย่างยาวนาน ที่จะช่วยให้ท่านผู้อ่านเข้าใจเกี่ยวกับตัวเองและผู้คนกลุ่มอื่นๆ ทั้งที่อยู่รอบๆ และห่างไกลออกไป 

หนังสือเล่มนี้จึงไม่เพียงมีคุณูปการทางวิชาการเท่านั้น สำหรับคนทั่วไปผู้สนใจเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ของคนไทไตก็ควรอ่าน

.กิตติคุณ ดร.นิติ ภวัครพันธุ์

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image