บันทึกการปฏิวัติ 2475 ของหลวงศุภชลาศัย ผู้ทูลเชิญ ร.7 กลับพระนคร หลังปฏิวัติ

บันทึกการปฏิวัติ 2475 ของหลวงศุภชลาศัย ผู้ทูลเชิญ ร.7 กลับพระนคร หลังปฏิวัติ

บันทึกการปฏิวัติ 2475 ของหลวงศุภชลาศัย
ผู้ทูลเชิญ ร.7 กลับพระนคร หลังปฏิวัติ

ภาพหมู่คณะราษฎรสายทหารเรือ ถ่ายใต้ฐานพระบรมรูปทรงม้า เมื่อวันปฏิวัติ 24 มิถุนายน 2475

ปี 2475 การปฏิวัติของคณะราษฎร ทำให้ประเทศไทยเปลี่ยนแปลงการปกครองสู่ระบอบประชาธิปไตย ถึงวันนี้เป็นปีที่ 93 ของการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ที่มักมีผู้ถามว่า ประชาธิปไตยของไทยไปถึงไหน หรือประชดว่าไม่ไปถึงไหน 

ขณะที่อีกด้านหนึ่งของเหตุการณ์ 93 ปีดังกล่าว มีการเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับเบื้องหลังเหตุการณ์ครั้งนั้น, สมาชิกคณะราษฎร, บุคคลอื่นๆ ที่เกี่ยวกับเหตุการณ์ ฯลฯ ออกมาให้เห็นเป็นระยะ 

ล่าสุด นริศ จรัสจรรยาวงศ์ ได้ค้นคว้าและเรียบเรียงบทความชื่อ “‘ตาบุง’ หลวงศุภชลาศัย กับบันทึกระทึกปฏิวัติ 2475” เผยแพร่ในนิตยสาร “ศิลปวัฒนธรรม” ฉบับเดือนเมษายน 2568 อาจมีคำถามว่า หลวงศุภชลาศัยท่านนี้สำคัญอย่างไรในการเปลี่ยนแปลงการปกครองของไทย

ADVERTISMENT

คำตอบก็คือ หลวงศุภชลาศัย สมาชิกคณะราษฎรเพียงไม่กี่คนที่อยู่ในเหตุการณ์ “ก่อน-ระหว่าง-หลัง” เปลี่ยนแปลงการปกครอง ที่ได้ยิน ได้เห็น ได้ลงมือเอง

น.ท.หลวงศุภชลาศัย ร.น. อุปนายกสภากรรมการกลางจัดการลูกเสือแห่งสยาม

หลวงศุภชลาศัย (บุง ศุภชลาศัย) (พ.ศ.2438-2508) สมาชิกคณะราษฎรสายทหารเรือที่ร่วมการปฏิวัติ 2475, ปี 2476 หลวงศุภชลาศัย ร่วมกับ พระยาพหลพลพยุหเสนา และหลวงพิบูลสงคราม ทำการรัฐประหารรัฐบาล พระยามโนปกรณ์นิติธาดา (ก้อน หุตะสิงห์) เดือนตุลาคม ปีเดียวกัน เกิดกบฏบวรเดช ซึ่งส่งผลกระทบต่อเนื่องให้กองทัพมีความขัดแย้งขึ้นภายใน 

ADVERTISMENT
ประตูด้านหน้าสนามศุภชลาศัยครั้งเพิ่งก่อสร้างเสร็จราว พ.ศ.2482

ปี 2477 หลวงศุภชลาศัย ถูกย้ายไปเป็น “อธิบดีกรมพลศึกษา” โดยเป็นอธิบดีกรมพลศึกษาคนแรก และดำรงตำแหน่งอยู่ต่อเนื่องยาวนานถึง 8 ปี ช่วงเวลานั้นหลวงศุภชลาศัยลงนามในหนังสือสัญญารื้อตึกวังวินด์เซอร์เพื่อจัดสร้างสนามกีฬาแห่งชาติจนสำเร็จและต่อมาได้รับการขนานนามว่า “สนามศุภชลาศัย”  

สำหรับบทบาทของสมาชิกคณะราษฎร หลวงศุภชลาศัยเป็นสมาชิกเพียงไม่กี่คนที่อยู่ใน 3 สถานที่สำคัญในการปฏิบัติการครั้งสำคัญในวันที่ 24 มิถุนายน นั่นคือ 

1.ลานพระบรมรูปทรงม้า พระที่นั่งอนันตสมาคม ที่พระยาพหลพลพยุเสนา (พจน์ พหลโยธิน) อ่านประกาศคณะราษฎร 2.วังบางขุนพรหม ที่มีการเข้าควบคุมเชิญกรมพระนครสวรรค์วรพินิต 3.วังไกลกังวล หัวหิน พระราชฐานที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวประทับระหว่างเกิดการเปลี่ยนแปลง ที่สมาชิกคณะราษฎรไปเพื่อทูลเชิญกลับพระนคร 

ทั้ง 3 สถานที่ 3 สถานการณ์ที่น้อยคนนักจะได้อยู่ ได้เห็น และได้มีส่วนร่วม ทั้งยังมีการบันทึกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น 

บทสัมภาษณ์ของหลวงศุภชลาศัย พ.ศ.2498 ภายในหอจดหมายเหตุแห่งชาติ

บันทึกการสัมภาษณ์หลวงศุภชลาศัย มีทั้งหมด 3 เวอร์ชั่น คือ 1.บันทึกโดยผู้ใช้นามปากกาว่า “แหลมสน” เมื่อ พ.ศ.2492 2.บันทึกที่ศิลปวัฒนธรรมนำมาเผยแพร่เมื่อ พ.ศ.2544 ที่สันนิษฐานว่าจัดทำช่วงต้นปี พ.ศ.2490 3.บันทึกที่ค้นพบจากหอจดหมายเหตุแห่งชาติ หัวเอกสารระบุรหัส ศธ.0701.34/16 เนื้อความประมวลชุดคำสัมภาษณ์ของหลวงศุภชลาศัยช่วงกลางเดือนกรกฎาคม พ.ศ.2498 

ในบันทึกทั้ง 3 เวอร์ชั่น มีเพียง “บันทึกฉบับหอจดหมายเหตุ” ที่กล่าวถึงเหตุการณ์ที่หลวงศุภชลาศัยเข้าร่วมการควบคุมตัวกรมพระนครสวรรค์ฯ ที่วังบางขุนพรหม ว่า

“ท่านผู้ให้สัมภาษณ์ก็ได้รับคำสั่งให้ร่วมไปกับขบวนทหารที่จะออกไปเชิญเสด็จกรมพระนครสวรรค์วรพินิตผู้ที่ร่วมไปกับท่านเท่าที่จำได้มี พ.ท.พระประศาสตร์ฯ ร.อ.หลวงนิเทศฯ ร.อ.จิบ ศิริไพบูลย์ ร.อ.หลวงสวัสดิ์ สวัสดิ์รณรงค์ ท่านผู้ให้สัมภาษณ์นั่งตอนท้ายรถรบ ข้างนอก มี ร.อ.หลวงนิเทศฯ… 

เมื่อเข้าเขตวังบางขุนพรหมแล้ว ได้แยกออกเป็นสองสาย สายแรกเลี้ยวซ้ายอ้อมวงเวียนสู่ตำหนัก อีกสายหนึ่งเลี้ยวขวาอ้อมวงเวียนเดียวกันสู่พระตำหนักเหมือนกัน พอขบวนทั้งสองไปบรรจบกันที่เรือนต้นไม้หน้าตำหนัก ก็ได้ยินเสียงปืนดังขึ้น 1 นัด ดังมาจากทางไหนก็ไม่ทราบ… 

พ.ท.พระประศาสตร์ฯ ได้สั่งให้ขยายแถวเป็นรูปเกือกม้าล้อมด้านหน้าตำหนักอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้น ปืนกลประจำรถเกราะก็ยิงออกไปประมาณ 30 นัด ส่วนมากถูกผนังด้านหน้า เบื้องซ้ายของตำหนักพรุนไปหมด…ต่อมาประมาณสัก 5 นาทีเห็นจะได้ ปรากฏว่ากรมพระนครสวรรค์ฯ ได้เสด็จลงมาข้างล่างด้วยฉลองพระองค์ลำลองสีขาวแบบอยู่ในตำหนัก ทรงทำพระกิริยาอย่างสงบ 

เมื่อทอดพระเนตรเห็น พ.ท.พระประศาสตร์ฯ พระองค์ตรัสออกมาอย่างเรียบๆ ว่า ‘เอ๊ะ อ้ายวันเอากับเขาด้วยหรือนี่?’ พระประศาสตร์ฯ ได้ทำความเคารพด้วยการวันทยหัตถ์ ไม่ตอบว่าอย่างไร แต่อาการที่วันทยหัตถ์ต่อหน้าพระองค์เช่นนี้ เต็มไปด้วยความเคารพ และมีอาการสั่นทั้งตัว ท่านผู้ให้สัมภาษณ์ก็ชักจะสั่นๆ ไปด้วยเหมือนกัน จึงหลบไปทางท้ายรถเสีย…”

หลวงศุภชลาศัยยังเป็นสมาชิกคณะราษฎรคนแรกหลังปฏิวัติที่ได้เข้าเฝ้าฯ พระบาสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ที่วังไกลกังวล ด้วยได้รับมอบหมายให้เป็นผู้นำเรือรบหลวงสุโขทัยออกจากพระนคร เพื่อนำสาส์นของคณะราษฎรไปทูลเกล้าฯ ถวายพร้อมทูลเชิญพระองค์เสด็จฯ กลับพระนครเพื่อทรงลงพระปรมาภิไธยพระธรรมนูญการปกครองแผ่นดิน

แผนผังบุคคลขณะเข้าเฝ้าฯ ณ ท้องพระโรงพระตำหนักเปี่ยมสุข ภาพประกอบบทสัมภาษณ์หลวงศุภชลาศัย พ.ศ.2498
ภายในพระตำหนักเปี่ยมสุข หลวงศุภชลาศัยสัมภาษณ์ไว้ว่า “เมื่อขึ้นไปบนพระที่นั่งเปี่ยมสุข ก็เห็นพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ประทับคอยอยู่ในท้องพระโรง หันพระพักตร์ออกมาทางด้านศาลาเริง”

บันทึกฉบับหอจดหมายเหตุ แจกแจงรายละเอียดประกอบแผนผังบนพระที่นั่งเปี่ยมสุข วังไกลกังวลว่า 

รัชกาลที่ 7 ประทับคอยอยู่ในท้องพระโรง หันพระพักตร์ออกมาทางด้านศาลาเริง พระองค์ประทับอยู่หัวโต๊ะ ด้านขวาของพระองค์ กรมหลวงสิงหวิกรมเกรียงไกร, พระยาวิชิตวงศ์วุฒิไกร (หม่อมราชวงศ์สิทธิ์ สุทัศน์) ตามลำดับ ด้านซ้าย คือ พระยาพิไชยสงคราม (แก๊ป สรโยธิน), พระยาสุรวงศ์วิวัฒน์ (เตี้ยม บุนนาค) ส่วนที่นั่งหัวโต๊ะตรงกันข้ามกับรัชกาลที่ 7 เป็นเก้าอี้ว่าง เตรียมไว้สำหรับหลวงศุภชลาศัย 

เหตุการณ์ในตอนบันทึกทั้ง 3 เวอร์ชั่น บันทึกไว้ดังนี้

บันทึกฉบับแหลมสนบันทึกว่า “ข้าพเจ้าได้ปฏิเสธคำเชื้อเชิญอันนี้ เพราะดูเป็นการบังอาจเอื้อมที่จะหยิ่งผยองเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทเจ้าชีวิตของคนไทยด้วยกันนั่งบนเก้าอี้ ข้าพเจ้าคงยืนระวังตรงต่อไป” 

บันทึกฉบับศิลปวัฒนธรรมว่า “ข้าฯ ไม่นั่งคงยืนอยู่อย่างนั้น ไม่กล้าจะนั่งร่วม และประหม่าจนพูดแทบไม่ออก” 

และฉบับหอจดหมายเหตุบรรยายอย่างลงลึกถึงความรู้สึกว่า แรกที่ท่านผู้ให้สัมภาษณ์ย่างเท้าเข้าสู่ท้องพระโรง ท่านได้บอกถึงความรู้สึกในส่วนลึกของหัวใจว่า 

“พอมองเห็นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเท่านั้น รู้สึกว่าขาเริ่มสั่น และประหม่าเป็นอันมาก พอท่านเดินเข้าไปใกล้ พระองค์จึงรับสั่งวา ‘นั่งลงซี ตาบุง’ อาการที่สั่นอยู่แล้วจึงเริ่มสั่นหนักขึ้นไปอีก กราบบังคมทูลด้วยเสียงอันสั่นเครือว่า ‘นั่งไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ’ 

เมื่อท่านผู้ให้สัมภาษณ์ไม่นั่ง พระองค์จึงทรงหยิบหนังสือที่มีมาจากผู้รักษาพระนครที่ท่านผู้ให้สัมภาษณ์ถือมาส่งให้ท่านผู้ให้สัมภาษณ์รับสั่งว่า ‘อ่านไป’ ท่านผู้ให้สัมภาษณ์จึงรับหนังสือจากพระหัตถ์ของพระองค์ท่านมา เตรียมจะอ่านเหมือนกัน 

แต่รู้สึกว่าตาลาย มองเห็นตัวหนังสือพร่าไปหมด กับทั้งมือและขาสั่นเทิ้มไปหมด ในที่สุดก็อ่านไม่ได้ ท่าทางของท่านผู้ให้สัมภาษณ์คงจะเป็นท่าน่าขบขันสำหรับพระองค์ ถึงกับพระองค์ทรงยิ้มออกมาแล้วรับสั่งว่า ‘เอาละ ไม่ต้องอ่านละตาบุง’”

ประสบการณ์ของหลวงศุภชลาศัยเอง และบันทึกการสัมภาษณ์หลวงศุลชลาศัยทั้ง 3 เวอร์ชั่น ที่กล่าวไปข้างต้นนี้เป็นเนื้อหาเพียงบางส่วนเท่านั้น ส่วนที่เหลือขอท่านผู้อ่านได้โปรดติดตามจาก “ศิลปวัฒนธรรม” ฉบับเดือนเมษายนนี้ ที่ร้อนแรงไม่แพ้อากาศ

วิภา จิรภาไพศาล
[email protected]

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image