มูฯ ไทย ไสยฯ อินเดีย

มูฯ ไทย
ไสยฯ อินเดีย

ปรับปรุงใหม่ จากคำนำของ

คมกฤช อุ่ยเต็กเค่ง ขณะบำเพ็ญธรรมที่อารามพุทธรังษีบรรพต (โฝว กวงซาน) ประเทศไทย (เผยแพร่ใน เฟซบุ๊ก 30 ธันวาคม 2567)

ภารตะสยาม มูฯ ไทย ไสยฯ อินเดีย เป็นหนังสือรวมข้อเขียนจำนวน 28 ชิ้น ที่ ผศ. คมกฤช อุ่ยเต็กเค่ง (.. 2524-2568) แห่งภาควิชาปรัชญา คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร (หรือที่ใครหลายคนรู้จักกันในชื่อของ ฟหมี หรือไม่ก็ . ตุล)

ADVERTISMENT

ข้อเขียนทั้งหมดคัดเลือกมาจากคอลัมน์ ผีพราหมณ์ทธ ซึ่งตีพิมพ์ลงในนิยสารมติชนสุดสัปดาห์ เป็นเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับศาสนา หรือศรัทธาความเชื่อต่างๆ ที่มีอยู่ในสังคมไทย ไม่ว่าจะเป็นศาสนาพุทธ พราหมณ์ฮินดู ศาสนาผี (ในที่นี้หมายถึง ศาสนา หรือความเชื่อพื้นเมืองเดิมในอุษาคเนย์) และรวมไปถึงศาสนาความเชื่ออื่นๆ ที่มีอยู่ในสังคมวัฒนธรรมของไทย

ดังนั้นจึงไม่แปลกอะไรนัก ที่การผสมผสานกันระหว่างศาสนา จึงเรียกรวมๆ ว่า ศาสนาไทย เพราะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นใน สังคมวัฒนธรรมไทย

แน่นอนว่า ในสังคมวัฒนธรรมอื่นๆ ก็มีการผสมผสานของศาสนาความเชื่อในทำนองนี้ ไม่ต่างจากที่เกิดในสังคมไทยด้วยเช่นกัน ซึ่งนั่นก็ทำให้มีคำศัพท์อย่างศาสนาพม่า (หรือ เมียนมา) ที่ก็ผสมผสานระหว่างศาสนาที่เชื่อเรื่องผีนัต (อันมีผีนัตตนหนึ่งที่คนไทยรู้จักกันในชื่อเทพทันใจเป็นตัวอย่าง) กับศาสนาพุทธและพราหมณ์ฮินดู ที่รับมาจากอินเดียเป็นสำคัญ ศาสนาอินโดนีเซีย ที่ผสมผสานความเป็นผีพื้นเมืองมลายูเข้า กับศาสนาอิสลามกับพุทธศาสนา (โดยเฉพาะแบบมหายาน รวมไปถึงตันตระยาน) และศาสนาพราหมณ์ฮินดู ฯลฯ ไม่ต่างไปจากคำว่าศาสนาไทย เพราะเป็นการผสมผสานของหลักคิด พิธีกรรม ความเชื่อ และอะไรอื่นอีกมาก ที่พ่วงมากับความเป็นศาสนาต่างๆ ในแต่ละสังคมวัฒนธรรม

ผีพราหมณ์พุทธ” หรือ “พุทธพราหมณ์ผี”

ตามปกติทั่วไปมักจะมีการเรียงลำดับความสำคัญของศาสนาต่างๆ ที่ผสมผสานกันเป็นศาสนาไทยว่า พุทธพราหมณ์ผี โดยถือว่าศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่สำคัญและ มีอิทธิพลต่อสังคมไทยมากที่สุด ในขณะเดียวกันก็ลำดับเอาศาสนาผีไว้ในตำแหน่งท้ายสุด เนื่องจากมองว่าเป็นศาสนาที่มีบทบาทน้อยที่สุดในสังคมไทย หลังการเข้ามาของศาสนาใหญ่อย่างพุทธและพราหมณ์ฮินดู

. นิธิ เอียวศรีวงศ์ เคยอธิบายถึงเรื่องนี้เอาไว้ชัดๆ ในข้อเขียนที่ชื่อ พุทธพราหมณ์ผี หรือ ผีพราหมณ์พุทธ (1) ฉบับประจำวันที่ 15-21 พฤศจิกายน 2562 (ข้อเขียนชิ้นนี้มีความยาวขนาด 2 ตอนจบ โดยตอนที่ 2 ตีพิมพ์ลงในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับประจำวันที่ 22-28 พฤศจิกายน 2562) เอาไว้ว่า

ศาสนาผี และปฏิสัมพันธ์ระหว่างศาสนาผีกับพุทธในเมืองไทย โดยเฉพาะเมื่อพุทธก็ไม่ได้หยุดนิ่งอยู่กับที่ แต่เผชิญความเปลี่ยนแปลงอย่างมโหฬารในช่วง 200 ปีที่ผ่านมา ทั้งนี้เพราะผมมีความเห็นตรงกันข้ามกับนักวิชาการทั่วไป ที่ถือเอาพุทธศาสนาเป็นแกนกลางของศาสนาไทย โดยมีผีและพราหมณ์เป็นเปลือกห่อหุ้มอยู่บ้าง ผมกลับ คิดว่า จะเข้าใจศาสนาไทยได้ดีกว่า หากถือเอาศาสนาผีเป็นแกนกลาง โดยมีพุทธและพราหมณ์ เป็นเปลือกห่อหุ้มอยู่ภายนอก

แทนที่จะพูดถึงผีสางนางไม้และการเซ่นวักตั๊กแตนที่ปฏิบัติกันในท้องถิ่นต่างๆ จนทำให้ความเชื่อเรื่องผีไม่มีความเป็นเอกภาพที่พอจะบรรยายถึงอย่างเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ ผมคิดว่าเราควรพยายามมองหา ‘หลักการ’ ร่วมกันบางอย่างในศาสนาผี ที่ในทางพิธีกรรมอาจแตกต่างกันในท้องถิ่นต่างๆ เพราะ ‘หลักการ’ เหล่านี้ต่างหากที่ ต้องเผชิญกับ ‘หลักการ’ ของศาสนาจากภายนอก และศาสนาผีหรือศาสนาภายนอกจะต้องปรับเปลี่ยนตัวเองเข้าหากันอย่างไร

การที่ อ. ตุล ตั้งชื่อคอลัมน์ของตนเองว่า ผีพราหมณ์พุทธไม่ใช่ พุทธพราหมณ์ผี ก็ย่อมสะท้อนถึงความคิดที่คล้อยตามสิ่งที่ อ. นิธิ เสนอเอาไว้อย่างชัดเจน ดังที่ อ. ตุล ได้เคยระบุเอาไว้ในข้อเขียนชิ้นหนึ่ง ซึ่งเป็นเสมือนบทนำของชุดข้อเขียนของตนเอง ที่ชื่อ งานเชิงอรถของอาจารย์นิธิ ซึ่งรวมเล่มอยู่ในหนังสือชื่อผีพราหมณ์พุทธ ในศาสนาไทย (ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อ พ.. 2564 โดยสำนักพิมพ์นาตาแฮก) ดังข้อความที่ว่า

ทฤษฎีความสัมพันธ์ของศาสนาผี พราหมณ์ พุทธในสังคมไทย ซึ่งอาจารย์นิธิได้ อธิบายว่า ศาสนาผีเป็นศาสนาหลักโดยมีพุทธและพราหมณ์ประดับอยู่ข้างหน้า และผีเลือกเฉพาะพุทธกับพราหมณ์ในส่วนที่ไม่ขัดกัน ผมรับทฤษฎีนี้อย่างเต็มที่ งานเขียนของผมจึงคล้ายทำหน้าที่ในการให้ภาพหรือตัวอย่างของความสัมพันธ์ดังกล่าวในแง่มุม ต่างๆ

ทั้งนี้ อ. ตุล ยังได้เคยจัดจำแนกถึงข้อเขียนต่างๆ ที่อยู่ในคอลัมน์ ผีพราหมณ์พุทธเอาไว้ในข้อเขียนชิ้นเดียวกันนี้เองอีกด้วยว่า

งานเขียนของผมโดยมากแบ่งออกเป็นสามแบบใหญ่ๆ

อย่างแรก คือ พูดถึงเรื่องศาสนาและความเชื่อในมิติทางโบราณคดีหรือวัฒนธรรม

อย่างที่สอง คือ พูดเรื่องจิตวิญญาณหรือเล่าประสบการณ์ส่วนตัว

อย่างที่สาม พูดถึงสถานการณ์ทางสังคม การเมืองที่เกี่ยวข้องกับศาสนา และความเชื่อ โดยโฟกัสที่ผี พราหมณ์ และพุทธ (จัดย่อหน้าใหม่ เพื่อให้อ่านง่าย สบายตามากขึ้นโดยผู้เขียน)

ข้อเขียนทั้งหลายในคอลัมน์ ผีพราหมณ์พุทธ ก็ว่ากันด้วยเรื่องราวอย่างที่ . ตุล จำแนกเอาไว้นี้เอง ซึ่งก็ย่อมรวมไปถึงข้อเขียนทุกชิ้นที่ถูกรวบรวมอยู่ในภารตะสยาม มูฯ ไทย ไสยฯ อินเดีย เล่มนี้ด้วย

ภารตะ, มูฯ, ไสยฯ

ภารตะ ในโลกภาษาไทย มาจากคำในภาษาสันสกฤตว่า ภารต (อ่านว่า พาระตะ) ซึ่งชนชาวอินเดียใช้เป็นชื่อเรียกประเทศของตนเอง โดยมีความหมายว่า ลูกหลานของท้าวภรต (อ่านว่า พะระตะ) วีรบุรุษในตำนาน ผู้เป็นโอรสของท้าว ทุษยันต์ (อ่านว่า ทุดสะยัน) กับนางศกุนตลา

ชาวอินเดียยึดถือกันว่าท้าวภรตเป็นจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ และภาคภูมิใจจนอ้างว่า ลูกหลานชาวอินเดียทั้งหลายสืบเชื้อสายมาจากท้าวภรตนั่นเอง และก็แน่นอนว่า สยาม ในที่นี้ ย่อมหมายถึง ไทย หรือความเป็นไทยต่างๆ

ภารตะสยาม จึงเป็นชื่อที่หมายถึงความสัมพันธ์ถึงกันระหว่างศาสนาหรือความเชื่อที่มีที่มาจากอินเดีย (ไม่ว่าจะเป็นศาสนาพุทธ พราหมณ์ฮินดู หรือศาสนาผีพื้นเมืองในอินเดียเองก็ด้วย) อันเกี่ยวข้องกับไทย

มูฯ เป็นคำเรียกภาษาปากอย่างย่นย่อ ของคำศัพท์ร่วมสมัยที่นิยมใช้กันในปัจจุบันว่า มูเตลู ที่มีความหมายโดยรวมเกี่ยวกับเรื่องของความเชื่อ ไสยศาสตร์ โหราศาสตร์ ดวง และโชคชะตาราศี รวมไปถึงเครื่องรางของขลัง การบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ ที่หลอมรวมสิ่งเร้นลับในความเชื่อแบบศาสนาผีกับศาสนาพุทธ ศาสนาพราหมณ์ฮินดู รวมไปถึงศาสนาอื่นเข้ามาเป็นที่ยึดเหนียวจิตใจของผู้คน

อ้างกันว่า คำ มูเตลู นี้ มีที่มาจากชื่อภาพยนตร์สัญชาติอินโดนีเซีย ที่ออกฉายเมื่อ พ.. 2522 โดยมีเนื้อหาเล่าถึงการที่ผู้หญิง 2 คนใช้มนตร์ดำต่อสู้กัน เพื่อแย่งชิงผู้ชายที่ตนเองหลงรัก ซึ่งมีชื่อเรื่องว่า Penangkal limu Teluh (ชื่อภาษาอังกฤษคือ Antidote for witchcraft) และเข้าฉายในประเทศไทย ภายใต้ชื่อเรื่องมูเตลู ศึกไสยศาสตร์

ถึงแม้ว่าภาพยนตร์เรื่องดังกล่าวจะเก่าแก่เนิ่นนานถึงเพียงนั้น แต่ก็เชื่อกันว่าเป็นรากเหง้าที่มาของศัพท์คำว่า มูเตลู” ในปัจจุบันนี้ อย่างที่มีความนิยมเรียกกันอย่างย่นย่อว่า มู นั่นแหละ

ไสยฯ ย่นย่อมาจากคำว่า ไสยศาสตร์ ซึ่งในปัจจุบันนี้มีความหมายถึงวิชาทางไสย อันเป็นลัทธิที่เกี่ยวข้องกับเวทมนตร์คาถาต่างๆ ซ้ำยังมีหลายท่านอธิบายด้วยว่า เป็นลัทธิอันมีที่มาจากศาสนาพราหมณ์ฮินดู โดยเฉพาะจากคัมภีร์อถรรพเวท

ไม่ว่าคำอธิบายว่าไสยศาสตร์นั้นมีที่มาจากคัมภีร์อถรรพเวทในศาสนาพราหมณ์ฮินดูจะถูกต้องหรือไม่ก็ตาม แต่คำดังกล่าวในสมัยโบราณ (อย่างน้อยก็ในช่วงครึ่งแรกของกรุงศรีอยุธยา) ไม่ได้มีความหมายอย่างในปัจจุบันนี้ ดังมีประจักษ์พยานอยู่ในข้อความบางตอนของจารึกฐานพระอิศวรสำริด จากจังหวัดกำแพงเพชร ที่มีอายุอยู่ในช่วงกลางสมัยอยุธยา (จารึกระบุศักราชตรงกับ พ.. 2054) ดังข้อความว่า

จึงเจ้าพระญาศรีธรรมาโสกราชประดิษฐานพระอิศวรเป็นเจ้านี่ไว้ให้ครองสัตว์ สี่ตีนสองตีนในเมืองกำแพงเพชร และช่วยเลิกศาสนาพุทธศาสตร์และไสยศาสตร์และพระเทพกรรมมิให้หม่นให้หมอง ให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปในหมู่นักอ่านจารึกว่า คำว่า ไสยศาสตร์ ในจารึกฐานพระอิศวรสำริดข้างต้นนี้ หมายถึง ศาสนาพราหมณ์ฮินดู ซึ่งก็ไม่อาจทราบได้ว่าเป็นความบังเอิญหรือเปล่าที่ผู้คนในยุคหลังมีความเข้าใจผิดว่า วิชาทางไสยในไทยนั้นสืบทอดมาจากศาสนาของพวกพราหมณ์ที่นับถือคัมภีร์อถรรพเวท เป็นหนึ่งในพระเวททั้งสี่ ซึ่งถือเป็นชุดคัมภีร์ที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด ตามความเชื่อในศาสนาพราหมณ์ฮินดู

คำว่า ไสยฯ ในชื่อภารตะสยาม มูฯ ไทย ไสยฯ อินเดีย มีความหมายเป็นอย่างที่ใช้กันในปัจจุบัน คือวิชาทางไสย มากกว่าที่จะหมายถึงศาสนาพราหณ์ฮินดู เพราะฉะนั้นคำว่า ไสยฯ ในที่นี้ จึงมีความหมายล้อกันอยู่กับคำว่า มูฯ อย่างแยกขาดออกจากกันได้ค่อนข้างจะลำบากลำบน

มูฯ ไทยไสยฯ อินเดีย

ในหนังสือเล่มนี้ อ. ตุล ได้จัดกลุ่มของข้อเขียนทั้ง 28 ชิ้น ออกเป็น 2 ภาค

ภาคแรก มีชื่อว่า ทะลวงมูฯ ทะลุไสยฯ เข้าใจหลากมุม ประกอบไปด้วยข้อเขียนทั้งหมด 10 ชิ้น โดยอาจจะเรียกได้ว่าเป็นกลุ่มข้อเขียนที่เน้นทำความเข้าใจเกี่ยวกับ เรื่องมฯ และไสยฯ ทั้งของไทยและอินเดีย (รวมไปถึงพื้นที่ทางตอนเหนือของอนุทวีป ซึ่งอยู่นอกขอบเขตของรัฐชาติอินเดียในปัจจุบันอย่างทิเบตด้วย) โดยข้อเขียนแต่ละตอน มีเนื้อหาเป็นเอกเทศ ไม่ได้ต่อเนื่องถึงกันโดยตรง

ภาคที่ 2 ตั้งชื่อว่า ชวนส่องปรากฏการณ์ มูฯ ไทย ไสยฯ อินเดีย ประกอบไปด้วยข้อเขียน 18 ชิ้น โดยเป็นกลุ่มข้อเขียนที่เน้นตัวปรากฏการณ์ความเชื่อ และเน้นการชวนทำความเข้าใจปรากฏการณ์ดังกล่าวที่เกิดขึ้นทั้งในไทยและอินเดีย ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วจะมีรายละเอียดและเนื้อหาที่เป็นอิสระระหว่างกัน ดังนั้นผู้อ่านจึงสามารถอ่านแยกขาดจากกันได้โดยสะดวก

ในภาคที่ 2 นี้ก็จะมีข้อเขียนบางเรื่องที่มีเนื้อหา หรือรายละเอียดบางประการต่อเนื่องถึงกันด้วย คือเรื่องของพระแม่ลักษมี และพระตรีมูรติ

แต่ความต่อเนื่องถึงกันที่ว่านี้ ก็ไม่ได้หมายความว่าเป็นข้อเขียนที่ต้องอ่านต่อเนื่องกันจึงจะรู้เรื่องไปเสียหมด เพราะบางครั้งก็เป็นข้อเขียนที่ อ. ตุล เขียนต่อกันเป็นตอน เช่น ข้อเขียนเรื่อง ต้อนรับที่ปาวลี: เรียนรู้พระแม่ลักษมีในวิถีพุทธ (1)และ ต้อนรับทีปาวลี: เรียนรู้พระแม่ลักษมีในวิถีพุทธ (จบ) แต่บางข้อเขียนก็ถูกเขียนขึ้นต่างกรรมต่างวาระ เพียงแค่มีเนื้อหาเชื่อมโยงถึงกันมากเป็นพิเศษ เช่น ฉลองทีปาวลี: ทำความเข้าใจ ‘พระแม่ลักษมี’ กันเถิด กับ พระแม่ลักษมี กำลัง ‘มา’ ซึ่งเกี่ยวโยงกับข้อเขียน 2 ชิ้นแรก เพราะกล่าวถึงเรื่องของเทศกาลทีปาวลีและพระแม่ลักษมีเป็นสำคัญ


ซีรีส์ ภารตะสยาม ผลงานรวมความคิดของคมกฤช อุ่ยเต็กเค่ง
สำนักพิมพ์มติชนจัดพิมพ์มาอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่การจัดพิมพ์เล่มแรกเมื่อปี 2560 ปัจจุบันนี้ซีรีส์นี้ก็มีอายุ 8 ขวบแล้ว
เกือบ 1 ทศวรรษของ “ภารตะสยาม” มีหนังสือออกมาเติมชั้นหนังสือให้นักอ่านอยู่เรื่อยๆ ตั้งแต่
ภารตะสยาม? ผี พราหมณ์ พุทธ? (ปี 2560) ราคา 240 บาท
ภารตะสยาม ศาสนาต้อง (ไม่) ห้ามเรื่องการเมือง (ปี 2564) ราคา 280 บาท
และผลงานชิ้นล่าสุดและเป็นชิ้นสุดท้ายที่จัดทำโดยคมกฤช อุ่ยเต็กเค่ง คือ
ภารตะสยาม มูฯ ไทย ไสยฯ อินเดีย (ปี 2568) ราคา 300 บาท
สั่งซื้อได้ที่ https://www.matichonbook.com