ประวัติศาสตร์บาดแผล คำสาป ‘เขมร-ไทย’ (ไฟ) ชาตินิยมที่ต้องช่วยกันดับ

ประวัติศาสตร์บาดแผล
คำสาป ‘เขมร-ไทย’
(ไฟ) ชาตินิยมที่ต้องช่วยกันดับ

คลี่คลายลงเบื้องต้นแล้ว สำหรับสถานการณ์ชายแดน ‘ไทย-กัมพูชา’ หลังจากรัฐบาลทั้ง 2 ฝ่ายบรรลุข้อตกลงปรับกำลังทหาร บริเวณช่องบก ตั้งแต่ต้นสัตบรรณถึงสามแยกลาว กลับไปอยู่ในจุดเดิมปี 2557 เพื่อลดการเผชิญหน้า สร้างบรรยากาศเอื้อต่อการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC)

ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ มีการลำดับเหตุ นับสถิติ การถูกรุกล้ำจากกัมพูชา บริเวณ ‘ช่องบก’ ได้จำนวน 651 ครั้ง ตั้งแต่ร้องเพลงชาติบริเวณปราสาทตาเมือนธม เผาศาลาตรีมุข ขุดคูเลต กระทั่งนำไปสู่การปะทะ ก่อนปรับกำลังอยู่จุดเดิมเมื่อปี 2567 และเตรียมขึ้นโต๊ะเจรจา 14 มิถุนายนนี้

ขณะเดียวกัน กัมพูชายังยืนยัน นำเรื่องสู่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (International Court of Justice : ICJ) หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า ‘ศาลโลก’ ทั้งที่ไทยมีมติไม่รับอำนาจขอบเขตของศาลดังกล่าวมานานหลายทศวรรษ

ล่าสุด คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ เขตพระนคร กรุงเทพฯ โครงการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา จัดโครงการ ‘ศิลป์เสวนา’ หัวข้อ ‘ช่องบก-ตาเมือน : ข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา บนกระดานการเมืองและเวทีศาลโลก’ เปิดเวทีถกเหตุและผล วิเคราะห์ที่มาที่ไป คาดการณ์แนวโน้มในอนาคตใกล้-ไกล โดย 2 วิทยากรคุณภาพเข้มข้นปนวาทะแซ่บ ได้แก่ ศ.ดร.ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ จากศูนย์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา มหาวิทยาลัยเกียวโต และ รศ.ดร.ดุลยภาค ปรีชารัชช สาขาวิชาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ดำเนินรายการโดย พงศธัช สุขพงษ์ ผู้ดำเนินรายการทันโลก ช่อง Thai PBS และ สฏฐภูมิ บุญมา อาจารย์พิเศษสาขาวิชาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

ADVERTISMENT

อัดแน่นด้วยประเด็นชวนฟัง แล้วขบคิดต่อไปอย่างรอบคอบ

มองเหตุ ‘กัมพูชา’ ขยับฟ้องศาลโลก
ปลุกกระแสคลั่งชาติ ควบ ‘เคลม’ ดินแดน?

เปิดเวทีด้วยมุมมองของ รศ.ดร.ดุลยภาค ต่อคำถามที่ว่า การขยับโยกของกัมพูชาในการฟ้องศาลโลกครั้งนี้ เป็นแค่เรื่องการเมืองภายใน เพื่อทำให้ ‘ระบอบฮุน มาเนต’ ได้รับกระแสนิยมเพียงอย่างเดียว หรือมีเป้าหมายสูงสุดมากกว่านั้น อาทิ การทำให้รัฐกัมพูชาได้อาณาเขตเพิ่ม ผ่านการผนวกหรือการชิงดินแดน ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม?

“ทั้ง 2 อย่าง นั่นคือ การเมืองภายในกัมพูชา กับการเมืองระหว่างประเทศ โดยใช้ลัทธิชาตินิยม แล้วมองเพื่อนบ้าน เช่น ไทย หรือเวียดนาม เป็นศัตรูในบางจังหวะโอกาส เพราะว่าตลอดวิวัฒนาการทางประวัติศาสตร์สมัยใหม่ ก็เป็นสิ่งที่มีน้ำหนัก เป็นสิ่งที่เห็นได้ แต่การจะเอาดินแดนหรือการเคลมดินแดน ก็เป็นสไตล์การต่อสู้ของผู้นำ รัฐ และสังคมกัมพูชา” รศ.ดร.ดุลยภาคให้คำตอบ

จากนั้น ย้อนเล่าถึง ‘โพสต์’ ของ ฮุน มาเนต เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม ที่ผ่านมาซึ่งเป็นช่วงที่สอดคล้องกับการเกิดเหตุการณ์ระทึก ความตึงเครียด โดยมีถ้อยคำหนึ่งว่า ‘กัมพูชาพร้อมจะปกป้อง territorial identity อัตลักษณ์เชิงอาณาเขต หรืออัตลักษณ์ดินแดน’

“เราจะเคยได้ยินแต่คำว่า บูรณภาพแห่งดินแดน หรือการปกป้องอธิปไตยดินแดนแห่งรัฐ แต่คำว่า ‘territorial identity’ ไม่ค่อยจะได้ยินกันสักเท่าไหร่ แปลเป็นภาษาไทย คือ กัมพูชาจะต้องให้ความสำคัญกับประเทศตน ทำให้ได้ดินแดนเพิ่ม มีพลังเพิ่ม ประชากรมีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันมากขึ้น

แต่ข้อเสีย คือ ทำให้มองเพื่อนบ้านเป็น ‘ศัตรู’ ทำให้เกิดสงคราม และความตึงเครียดระหว่างประเทศ รวมถึงเรื่องลัทธิหวาดระแวงชาวต่างชาติด้วย ซึ่งฮุน มาเนต ใช้คำนี้บนเฟซบุ๊ก

แล้วถ้าเราประมวลเหตุการณ์ประกอบ เราก็จะเห็นว่าในสมัยรัฐบาลฮุน มาเนต ดำเนินกิจกรรมการเคลมทางวัฒนธรรมกัมพูชา มันเข้มข้นมาก ในเรื่องของปราสาทหิน ชุมชนเขมร การใช้ภาษาเขมร ซึ่งถ้าอยู่ในดินแดนประเทศไทย กัมพูชาก็เคลม

รวมถึงมีการปฏิบัติการทางวัฒนธรรม แม้กระทั่งกฎหมายระหว่างประเทศ การตรึงกำลังทางการทหาร หรืออื่นๆ ผสมผสานกันไป เพื่อให้ได้พลังอำนาจอัตลักษณ์เชิงอาณาเขต

ผมคิดว่าประเทศไทยต้องจับคอนเซ็ปต์ตรงนี้ให้ได้ เพื่อนำไปตอบโต้ หรือศึกษาเพิ่มเติม เพราะมันเป็นผลดีต่อชาตินิยมกัมพูชา แต่มันเป็นผลเสียต่อสันติภาพในอาเซียน หรือความสัมพันธ์ในทวิภาคี” รศ.ดร.ดุลยภาควิเคราะห์

แนะ ‘ชุมชนระหว่างประเทศ’ สะกิด ฮุน มาเนต
ยัน ไทยยืนพื้น ‘เจรจา’ แก้ปัญหาแบบทวิภาคี

จากประเด็นข้างต้น ถามว่า การที่อ้างแบบนี้บนสื่อออนไลน์ มันจะนำไปสู่อะไรได้บ้าง?

รศ.ดร.ดุลยภาคมองว่า ถ้าเราดูประชาชาติกัมพูชา ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร เพราะว่ามันเข้าไปทัช (Touch) ไปแมตช์กับชาตินิยมกัมพูชาอยู่แล้ว ความรู้สึกเป็นเจ้าข้าวเจ้าของปราสาทหิน ศิลปวัฒนธรรมต่างๆ คือ เคลมตั้งแต่ในระดับพื้นที่ จนไปถึงศึกชิงมรดกทางวัฒนธรรม

“เราจะเห็นกองเชียร์ทางกัมพูชาอยู่แล้ว จริงๆ แล้วอย่าว่าแต่ช่วงฮุน มาเนตเลย แต่ว่าตั้งแต่ช่วง ฮุน เซน หรือก่อนหน้านั้นมันก็มีกระแสแบบนี้เป็นระลอก แต่ในมุมกลับถ้าประเทศใช้คอนเซ็ปต์นี้ไปบรรยายเพิ่มเติมว่า มันไม่น่าจะโอเคในด้านการรักษาสันติภาพ หรือการใช้ความอดทนอดกลั้น ในการเคารพเขา-เคารพเรา ในการอยู่ร่วมกันโดยสันติต่อเพื่อนบ้าน คอนเซ็ปต์นี้ไม่น่าจะโอเค

ถ้าแบบนั้นก็น่าจะมีแรงกระเพื่อมอยู่บ้างในการให้ชุมชนระหว่างประเทศ ตักเตือนฮุน มาเนต ตักเตือนผู้นำกัมพูชา หรือประชาชนกัมพูชา ในการลดทอนหรือการเคลมดินแดนที่มากจนเกินไป ผมว่าเรื่องนี้สำคัญถ้าเราจะ Turn Back ไปสู่การพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ ระบบแบบนี้ของฮุน มาเนต ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพียงแต่สังคมในทุกวันนี้ก็ไม่ค่อยมีใครเขาทำกันมาก ในการดำเนินความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในลักษณะนี้” รศ.ดร.ดุลยภาคกล่าว

เมื่อถามต่อไปว่า แล้วกลไกอะไรบ้างที่จะช่วยยับยั้งความเคลื่อนไหวเหล่านี้ของกัมพูชาได้?

รศ.ดร.ดุลยภาคกล่าวว่า สิ่งที่ฝ่ายประเทศไทยกำลังยืนพื้น คือ ใช้กลไกในการปรึกษาหารือแบบทวิภาคีที่มีอยู่ คือ คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (Joint Boundary Commission-JBC) ซึ่งจะมีการประชุมในวันที่ 14 มิถุนายนนี้ และยังมีคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (Regional Border Committee-RBC) และความร่วมมือภายใต้กรอบคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee: GBC) ซึ่งจะเป็นกลไกในการแก้ไขปัญหาเขตแดน หรือชายแดนทั้ง 2 ประเทศ

“การประชุมนี้ ก็จะมีตัวของหน่วยงานภาครัฐ ฝ่ายความมั่นคงของทั้ง 2 ประเทศ ที่เข้าไปร่วมพูดคุย ประชุมกัน ส่วนเรื่องรายละเอียดต่างๆ ก็จะเป็นเรื่องทางเทคนิคบ้าง ซึ่งฝ่ายไทยก็ยืนพื้นในการแก้ไขปัญหาแบบทวิภาคี โดยใช้กลไกเหล่านี้

แต่ฝั่งกัมพูชาก็เล่นเกมเร็วด้วยการ Bypass กลไกเหล่านี้ ซึ่งเขาก็พร้อมจะคุย แต่คุยในประเด็นที่กัมพูชาสบายใจเท่านั้น แล้วประเด็นที่ฝ่ายไทยไม่สบายใจ เขาก็ไม่อยากจะมาถกเถียง เขาจับประเด็นมัดสู่ศาลโลกไปเลย นั่นคือเรื่องของการที่กัมพูชาอยากจะปรับแนวเขตแดน เพื่อจะชิงขยายอาณาเขต ในเรื่องปราสาทตาเมือนกับช่องบก หรือสามเหลี่ยมมรกต” รศ.ดร.ดุลยภาคระบุ

ขุดอดีต 20 ปีแห่งความขัดแย้ง
‘ไฟชาตินิยม’ ไทย-เขมร พอกัน!

จากนั้นถึงคิว ศ.ดร.ปวิน ที่วาร์ปมาผ่านช่องทางออนไลน์ โดยย้อนเล่าถึงความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชาที่เกิดขึ้นมานานกว่า 20 ปี และไม่เคยหายไปจากความทรงจำ

“เราหนีกัมพูชาไม่พ้น ไม่ได้บอกว่าไม่ชอบ ผมเองก็ทำปริญญาเอกเรื่องพม่า แต่เมื่อกลับไปทำงานที่กระทรวงการต่างประเทศแล้ว แล้วโต๊ะพม่าเต็ม เขาก็เลยให้ไปทำงานที่โต๊ะกัมพูชา ปี ค.ศ.1994 ตอนนั้นกระทรวงการต่างประเทศมีโปรเจ็กต์หนึ่งที่อยากจะให้ข้าราชการศึกษาประเทศเพื่อนบ้าน ด้วยเหตุผลต่างๆ ผมเลือกเรียนภาษากัมพูชา ทำอยู่ได้ไม่นานก็เกิดเรื่อง

ปีที่ผมถูกส่งไปกรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา เพื่อไปร่วมคณะกับกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งเรากำลังทำ MOU ไทย-กัมพูชา ในเรื่องการค้า ณ ขณะนั้น ซึ่งผมไปก่อนคณะกระทรวงพาณิชย์จะมา เราเริ่มเห็นอะไรแปลกๆ ผู้ชุมนุมคนกัมพูชาเริ่มออกมาประท้วง ตอนนั้นเริ่มมีเรื่องเกี่ยวกับนครวัดว่าเป็นของไทยมาก่อนและกลายเป็นประเด็นใหญ่มากในกัมพูชาตอนนั้น

เมื่อเราอยู่ไปเรื่อยๆ เริ่มมีคนออกมาประท้วงคนไทยมากขึ้น กลุ่มคนคลั่งชาติกัมพูชาขี่มอเตอร์ไซค์รอบเมือง จนมีการเผาสถานทูตเกิดขึ้น แต่ผู้ชุมนุมไม่ใช่แค่ทลายอาคารก่อสร้างที่เป็นอธิปไตยของไทย ผู้ชุมนุมยังทำลายธุรกิจอื่นๆ ในกรุงพนมเปญของคนไทยด้วย เราอพยพกันออกมาจากพนมเปญกันเช้ามืด มีรถถังนำขบวนรถบัสไปที่ค่ายทหารแล้วก็นั่งเครื่องบินกลับมาไทย”

เหตุการณ์วันนั้นมันสอนเราเยอะมาก เรื่องไฟของชาตินิยม ผมคิดว่าทั้ง 2 ประเทศพอกัน ในการใช้ปัจจัยทางด้านชาตินิยมมาเป็นเครื่องมือทางการเมืองภายใน จริงๆ แล้วความขัดแย้งที่เกิดขึ้นหลายครั้ง ข้อพิพาทต่างๆ มักเกี่ยวกับการเมืองภายในเป็นหลัก การใช้ปัจจัยระหว่างประเทศเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจต่อความล้มเหลวของการบริหารการเมืองภายในประเทศเป็นหลัก และผมเชื่อว่า ความขัดแย้ง ‘ช่องบก’ ไทย-กัมพูชา ครั้งล่าสุด ก็หนีไม่พ้นเรื่องปัจจัยการเบี่ยงเบนความสนใจจากการเมืองภายในประเทศของกัมพูชา และประเทศไทยก็ตอบรับ” ศ.ดร.ปวินกล่าว

จับตา อิทธิพล ‘จีน’ ต่อกัมพูชา
ไทยต้องชั่งน้ำหนักตัวเอง

ครั้นผู้ดำเนินรายการถามว่า อิทธิพลของจีนในกัมพูชามีผลมากน้อยแค่ไหน ศ.ดร.ปวินชี้ว่า ผลที่มีแน่ๆ คือการสร้างความมั่นใจในเวทีระหว่างประเทศต่อจุดยืนของกัมพูชาเอง อิทธิพลของจีนในกัมพูชามีมาสัก ‘ระยะยาวๆ’ แล้ว ถ้าใครจำได้ว่า การประชุมสุดยอดอาเซียน หรือ ASEAN Summit ปี ค.ศ.2012 ที่กัมพูชาเป็นเจ้าภาพ นั่นเป็นครั้งแรกที่ไม่สามารถออกบทสรุปของการประชุมได้ว่ามีอะไรบ้าง เพราะกัมพูชาไม่สามารถตัดสินใจได้ว่าจะเอาอย่างไรกันแน่ ซึ่งทั้งที่ตนเองเป็นประธานการประชุมสุดยอดอาเซียน ตัวเองต้องปกป้องผลประโยชน์ของอาเซียน

“ผมไม่อยากวิเคราะห์ว่า หากความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชามันบานปลายไปกว่านี้ แล้วจีนจะยืนอยู่ตรงไหน เราอาจจะมาชั่งน้ำหนักตัวเองว่า ในแง่ของ ‘ภูมิรัฐศาสตร์’ ระหว่างไทย-กัมพูชาประเทศไหนมีความสำคัญมากกว่ากัน เราอาจจะคิดว่าประเทศไทยมากกว่า ทั้งทางเรื่องที่ไทยมีเศรษฐกิจมากกว่า ประเทศใหญ่กว่า แต่อย่าลืมว่าจีนอาจจะคอนโทรลกัมพูชาได้ดีมากกว่าไทย เพราะไทยยังมีผู้เล่นอื่นๆ ที่เอนหลังไปได้ เช่น สหรัฐ เป็นต้น” ศ.ดร.ปวินวิเคราะห์

คำสาปจาก ‘ประวัติศาสตร์บาดแผล’
สยามบาดลึกกว่าเวียดนาม

ต่อคำถามที่ว่า ข้อพิพาทระหว่างไทย-กัมพูชา มีนัยอะไรมากกว่าที่ตาเห็นหรือไม่?

ศ.ดร.ปวินตอบว่า หากประเทศไทยเคยถูกแซนด์วิชด้วยอังกฤษและฝรั่งเศสในยุคอาณานิคม แต่กัมพูชาถูกแซนด์วิชตลอดชีวิต ที่ใหญ่ทั้ง 2 ประเทศ ทั้งไทยและเวียดนาม อย่างไรก็ตาม ถ้าถามว่ามันจะเป็นคำสาปทางประวัติศาสตร์หรือไม่ ซึ่งนักวิชาการก็ไม่ควรพูดแบบนี้ กล่าวคือ ในประวัติศาสตร์ก็มีอะไรบางสิ่งที่อธิบายไม่ได้ เช่น คำว่า โชคดี หรือโชคร้าย

“ที่บอกว่าเป็นคำสาป ความหมายคือ หากกัมพูชาต้องเลือกประเทศใดประเทศหนึ่งในการต่อสู้ กัมพูชามักเลือกไทย ไม่ใช่เวียดนาม เป็นคำสาปที่มาจากประวัติศาสตร์ที่มีบาดแผลระหว่างไทย-กัมพูชา ซึ่งมันลึกกว่าเวียดนาม และชนชั้นนำของกัมพูชามีความสนิทสนมกับชนชั้นนำเวียดนามมากกว่ามาก” ศ.ดร.ปวินกล่าว ก่อนลงลึกอีกว่า เราอาจมองข้ามอิทธิพลของ ‘อีลิททางด้านการเมืองของเวียดนามที่มีต่อการเมืองกัมพูชา’

“หนึ่งในข้อกล่าวหาต่อรัฐบาลสมเด็จฯฮุน เซน เมื่อปี ค.ศ.2003 ที่ทำให้สมเด็จฯฮุน เซน นำไปสู่การจุดไฟชาตินิยมขึ้นมา เพราะนำไปสู่ข้อกล่าวหา ที่รัฐบาลสมเด็จฯฮุน เซน ยินยอมให้คนมีสัญชาติเวียดนามเข้ามารันการเลือกตั้งได้ ถือว่าเป็นการแทรกแซงโดยตรง ก็พิสูจน์กันว่าจริงหรือไม่ ซึ่งเป็นข้อกล่าวหาที่เหมือนจะรุนแรงกว่าการคอร์รัปชั่น เพราะฉะนั้น สมเด็จฯฮุน เซน ก็เลือกที่จะประกาศสงครามกับไทย เพื่อกลบข้อกล่าวหาเหล่านี้ เมื่อกัมพูชาต้องการพลิกเพื่อสู้ ไทยเองก็มักจะเป็นเหยื่อ แต่เราก็เป็นประเทศที่ใหญ่กว่า แต่มันก็ออกมาเป็นเช่นนั้นจริงๆ”

อย่าแบ่ง ‘กองทัพ-รัฐบาล’
ต้องบูรณาการนโยบายต่างประเทศ

ปิดท้ายด้วยประเด็นความสัมพันธ์ ระหว่าง ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีไทย กับรัฐบาลฮุน เซน ซึ่ง ศ.ดร.ปวินมองว่า สุดท้ายอาจกลายเป็น ‘ดาบสองคม’

“หลายคนคิดว่า ความสัมพันธ์ของคุณทักษิณกับรัฐบาลสมเด็จฯฮุน เซน ในท้ายที่สุดมันจะดีขึ้น แต่มันก็อาจจะเป็นไปอีกด้านหนึ่งก็ได้ ถ้าหากว่าฝ่ายเวียดนามไฮไลต์ตรงนี้ขึ้นมาว่า รัฐบาลปัจจุบันของกัมพูชามีนอกมีในกับรัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร มันยิ่งทำให้เกิดความน่าสงสัยให้กับรัฐบาลทั้ง 2 ฝ่าย ซึ่งจะยิ่งทำให้เวียดนามแทรกแซงได้ดีกว่านั้น ทำให้ความขัดแย้งยุติลงยากขึ้นกว่าเดิม ขอสรุปได้ว่า ความสัมพันธ์นายทักษิณ-สมเด็จฯฮุน เซน ที่ว่าดี อาจจะกลายเป็น ดาบสองคม” ศ.ดร.ปวินกล่าว

นอกจากนี้ยังชี้เป้าว่า วิธีการแก้ไขปัญหา คือ ต้องสร้างการบูรณาการนโยบายต่างประเทศ ไม่ควรแบ่งออกเป็นของกองทัพ หรือของรัฐบาล

“ผมคิดว่าครั้งนี้หากไม่ได้เป็นเรื่องเกี่ยวกับความมั่นคงจริงๆ แล้วเป็นเรื่องผลกระทบมาจากทางอื่น มันอาจจะลงตัวกันได้ก็ได้ แล้วกองทัพก็อาจมีความเข้าใจในจุดนี้ เพราะตนคิดว่าถ้าจะไปต่อ ก็ไม่รู้จะไปอย่างไร แล้วถ้ากองทัพไทยยังจะไปต่อ แล้วในที่สุด Joint Boundary Commission (JBC) ล้มเหลว ไม่แน่ใจว่าจะเป็นผลดีของกองทัพหรือไม่”

ศ.ดร.ปวินวิเคราะห์ด้วยว่า สิ่งสะท้อนความสัมพันธ์ของทักษิณและสมเด็จฯฮุน เซน มาถึงจุดที่สมเด็จฯฮุน เซนมีสิทธิเรียกร้องอะไรบางอย่างจากทักษิณ ชินวัตรได้ เพราะหลายๆ ครั้ง ฝ่ายทักษิณเรียกร้องขอความชอบธรรมมากกว่าฝ่ายรัฐบาลสมเด็จฯฮุน เซนที่เรียกร้องต่อทักษิณ

“ตรงนี้เรามีตัวแปรที่สำคัญที่ไม่ควรมองข้าม เช่น การลี้ภัยของคุณทักษิณก็ได้ความชอบธรรมจากรัฐบาลกัมพูชา ก็คือการให้ความชอบธรรมต่อคุณทักษิณ รวมไปถึงเรื่องการยอมรับกลุ่มคนเสื้อแดง

แต่ในขณะเดียวกันสมเด็จฯฮุน เซนก็ไม่ได้ต้องการความชอบธรรมจากคุณทักษิณในการสร้างความเข้มแข็งในรัฐบาลตนเองของกัมพูชา” ศ.ดร.ปวินกล่าว ก่อนทิ้งท้าย

ทั้งหมดนี้ คือส่วนหนึ่งของมุมมองจาก 2 นักวิชาการซึ่งทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องควรลองนำมาขบคิด สำหรับสถานการณ์นี้จะจบอย่างไร ประชาชนชาวไทยยังต้องร่วมจับตา