จุดยืน‘กลาง’การเมือง
รศ.ดร.อิสระ เสรีวัฒนวุฒิ
‘ว่าที่’เลขาฯสถาบันพระปกเกล้า
ไขหลักสูตร‘ปปร.’เอื้อคอนเน็กชั่น?
“ในช่วงปลายสมัยของสภาชุดที่แล้ว แทคติค (tactics) ทางการเมืองถูกใช้อย่างเข้มข้น จนการประชุมสภากลายเป็นเกมการเมือง สุดท้ายรู้สึกว่า ถ้ายังอยู่อย่างนี้ต่อไป ก็ไม่ได้สร้างประโยชน์อะไร ให้กับการเมืองที่ตั้งใจมาทำตั้งแต่ต้น ผมจึงลาออก
ไม่ใช่เพราะ แต่เป็นการเลือกเดินในเส้นทางที่ทำให้ผมใช้ความรู้ ประสบการณ์ และพลังที่มี สร้างประโยชน์ในพื้นที่อื่นได้มากกว่า”
ถ้อยคำเคลียร์ใจจากปาก รศ.ดร.อิสระ เสรีวัฒนวุฒิ หลังจากตัดสินใจลาออกจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) แบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ในปี 2566 แต่ยังคงโลดแล่นต่อในบทบาท ‘ที่ปรึกษาประธานรัฐสภา’ ยืนหยัดเคียงข้าง ชวน หลีกภัย ที่ดำรงตำแหน่งประธานรัฐสภา และประธานสภาผู้แทนราษฎร ในขณะนั้น จวบจนสิ้นสุดวาระ
หลังจากนั้น รศ.ดร.อิสระ ได้ก้าวเข้าสู่รั้ว ‘สถาบันพระปกเกล้า’ โดยเข้ามาดำรงตำแหน่ง ‘รองเลขาธิการสถาบัน’ ซึ่งต้องก้าวผ่านบทพิสูจน์สำคัญ ตามแนวทางของสถาบัน ที่ต้องสนับสนุนการทำงานของฝ่ายนิติบัญญัติและต้องทำหน้าที่ด้วยความเป็นกลางทางการเมือง
ล่าสุด การประชุมสภาสถาบันพระปกเกล้า มีมติเคาะเห็นชอบให้ รศ.ดร.อิสระ ขึ้นมาดำรงตำแหน่ง ‘เลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า’ คนใหม่ ด้วยคะแนน 13 เสียง งดออกเสียง 3 เสียง ไม่เห็นชอบ 2 เสียง และไม่เข้าร่วมประชุม 3 คน เมื่อวันที่
16 มิถุนายนที่ผ่านมา
จนต้องหาโอกาสชวน มาผ่าคำถาม-ไขคำตอบ สำหรับกระแสวิจารณ์แรงๆ ที่ว่า การที่ได้นั่งเก้าอี้ดังกล่าว มาจากการเอื้อประโยชน์ของการ ‘ล็อกสเปก’ ไว้แล้วหรือไม่
พร้อมทั้งยังได้ไขข้อข้องใจ ถึง ‘ภาพจำ’ เมื่อนึกถึงสถาบันพระปกเกล้า คือ หลักสูตรการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยสำหรับนักบริหารระดับสูง หรือที่รู้จักดีในชื่อ หลักสูตร ปปร.
โดยสายตาประชาชนคนนอก มักจะเห็นภาพนักการเมืองระดับสูง บิ๊กทหาร หรือรัฐมนตรี สมาชิกรัฐสภา ข้าราชการระดับสูง และเอกชน มาสานสัมพันธ์ และนั่งร่วมชั้นอย่างชื่นมื่น จนถูกมองว่าเป็นหลักสูตร ‘หลักสูตรสร้างเสริมคอนเน็กชั่น’
กระตุ้นให้เกิดการตั้งคำถามสำคัญว่า สถาบันฯจะทำอย่างไร ให้หลักสูตรอันโดดเด่นนี้ ปรับตัวต่อไปให้ทันโลก
บทสนทนานับจากนี้ คือ การไขคำตอบเบื้องหลังแนวคิดการทำงานอย่างตรงไปตรงมา โฟกัสคำถามด้วยการแสดงวิสัยทัศน์ ในฐานะผู้บริหารองค์กรที่เคยผ่านมาหลากสมรภูมิ
⦁ จุดเริ่มต้นของการความมาสนใจทางการเมืองนั้น เกิดขึ้นมาได้อย่างไร?
ที่จริงแล้ว ครอบครัวผมรวมไปถึงลุง ป้า น้า อา ไม่มีใครอยู่ในแวดวงการเมืองเลย ผมเข้ามาเพราะผมชอบการเมืองตั้งแต่เด็กๆ ช่วง ป.3 มีอภิปรายไม่ไว้วางใจ สิ่งแรกที่ผมทำหลังกลับมาถึงบ้าน คือ การเปิดทีวีตู้ ดูอภิปรายไม่ไว้วางใจ
โดยเฉพาะช่วงที่มีการตอบโต้กันเข้มข้น ทำให้เราเห็นนักการเมืองประเภท ‘พูดแล้วมีแต่คนรอฟัง’ กับ นักการเมืองประเภท ‘พูดแล้วคนไม่สนใจ’ มันปลูกฝังความสนใจเรื่องนี้ของผม
⦁ แล้วตอนนั้นมีนักการเมืองแบบไหนที่เป็นต้นแบบ มีความเชื่อ หรืออุดมคติทางการเมืองว่า การเข้าสู่ตำแหน่งของนักการเมืองส่งผลต่อคุณภาพการทำงานหรือไม่?
เชื่ออย่างหนึ่งว่า การทำงานการเมือง หรือมาตรฐานการทำงานทั้งสิ้นนั้น มาจากวิธีการเข้าสู่อำนาจของนักการเมืองคนนั้นๆ เช่น หากเข้ามาด้วยการซื้อเสียง หรือลงทุน 30 ล้าน มันเป็นไปไม่ได้ที่จะมารับเงินเดือน 1 แสน หักให้พรรค และต้องคอยไปตามงานบวช งานแต่ง เป็นไปได้หรือที่เงินลงทุนมากขนาดนั้น จะมารับเงินเดือนไม่กี่บาท
ผมจึงเชื่อมั่นในนักการเมืองที่เข้ามาโดยไม่ซื้อเสียง ผมว่ามันเป็นมูฟเมนต์ (Movement) แรก ‘เมื่อไม่ลงทุน ก็ไม่ต้องมาหาทุนคืน’ เป็นหลักสำคัญที่ใครก็ตามยึดหลักนี้ จะเป็นนักการเมืองในอุดมคติได้
⦁ ทำไมเด็กที่สนใจการเมือง จึงเลือกเรียนวิศวกรรมศาสตร์?
ผมชอบประวัติศาสตร์ และภาษา ทำให้สนใจในมุมของสังคมศาสตร์ แต่ด้วยภาระหน้าที่ของลูกคนโตของครอบครัว ที่มีธุรกิจด้านชิ้นส่วนยานยนต์ จึงคิดหนักตอนสอบเข้ามหาวิทยาลัยว่า เราควรไปทางไหน
แต่เมื่อถึงจุดที่ถามตัวเองว่า ถ้าหน้าที่ดูแลครอบครัวต่อไปในฐานะลูกคนโต เรายังดูแลคนในครอบครัวซึ่งเป็นหน่วยที่เล็กที่สุดในสังคมไม่ได้ แล้วจะเอาอะไรไปมีความพร้อม จึงตัดสินใจเข้าเรียนคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ เรียนและจบได้เกียรตินิยม
⦁ แต่รัฐศาสตร์ก็ยังเป็นคณะที่ชอบที่สุด แล้วมีโอกาสเรียนได้อย่างไร?
ผมคิดว่าถ้ารู้อะไร อย่ารู้แค่ผิวเผิน แต่ต้องให้รู้จริง โดยระหว่างที่ตัดสินใจไปเรียนจนจบปริญญาเอก ทางด้านวิศวกรรมศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยอิมพีเรียลลอนดอน (Imperial College London) ซึ่งมีชื่อเสียงระดับโลกทางด้านวิศวกรรมศาสตร์
แต่สิ่งที่ติดค้างอยู่ในใจตอนอยู่อังกฤษ คือ สนใจเรื่องการเมือง ตอนนั้นผมได้มีโอกาสคุยกับท่านรองอธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหง และท่านอาจารย์ที่คณะรัฐศาสตร์ (ผศ.วุฒิศักดิ์ ลาภเจริญทรัพย์)
มันเป็นช่วงประจวบเหมาะ กับที่ขณะนั้นมหาวิทยาลัยรามคำแหง กำลังหาแนวทางว่า ทำอย่างไรให้คนไทยในต่างประเทศ สามารถเรียนที่รามคำแหงควบคู่กันได้ ผมเป็นนักศึกษารุ่นแรก ที่มหาวิทยาลัยส่ง CD ผ่านทาง EMS ให้ผมเรียนที่อังกฤษ
⦁ ประสบการณ์เปิดซีดีเรียนจากต่างประเทศรุ่นแรก ตอนนั้นเป็นอย่างไร?
การทำข้อสอบแต่ละเทอม คือ การไปที่สถานทูต โดยมีนักการทูตมายืนเฝ้าคุมสอบ (ยิ้ม) ผมทำแบบนั้นควบคู่กันกับปริญญาเอก จนกระทั่งเรียนจบทั้ง 2 หลักสูตรในเวลาใกล้เคียงกัน ทั้งปริญญาเอกทางด้านวิศวกรรมศาสตร์ และจบปริญญาโททางด้านรัฐประศาสนศาสตร์
จำความได้ตอนเรียนหลักสูตรรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ผมได้รับเหรียญรางวัลคะแนนสูงสุด ด้วยความตั้งใจ และทุ่มเทกับทุกอย่างแบบเต็มร้อย
⦁ ช่วงที่เดินเข้าสู่สนามการเมือง คือตอนไหน?
ช่วงแรกหลังพ่อเสียชีวิต ผมกลับมาดูแลธุรกิจครอบครัวประมาณ 3-4 ปี จนถึงช่วงที่ทำกิจกรรมทางการเมืองได้ราวปี 2560 จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ผมเข้าสู่วงการทางการเมือง และได้รับเลือกเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และทำงานในรัฐสภา ทั้งในบริบทของสมาชิกรัฐสภา และข้าราชการการเมือง
⦁ แล้วเหตุผลอะไรที่ทำให้ตัดสินใจ ลาออกจากตำแหน่ง ส.ส.?
ผมลาออกด้วยความสมัครใจ และลาออกก่อนยุบสภา เพราะการเมืองในตอนนั้นไม่ใช่แนวทางที่อยากจะอยู่ ไม่ใช่แนวทางที่คิดว่าจะสามารถทำอะไรได้ หรือเป็นประโยชน์ได้ในช่วงที่ประชุมสภาแทบทุกครั้ง เพียง 5 นาที องค์ประชุมก็ล่มติดต่อกัน
ทุกคนมองผลประโยชน์ทางการเมืองมากกว่าผลประโยชน์ของประชาชน พูดง่ายๆ คือ ทุกคนมองว่าการเล่นเกมการเมืองสำคัญกว่าการแก้ปัญหาประชาชน ผมจึงลาออก แล้วเริ่มมองว่า ที่ไหนจะทำให้ผมยังได้มีโอกาสทำงานด้านการเมืองในแบบที่อยากทำ แล้วสามารถสร้างความเชื่อมั่นในสถาบันการเมืองได้ พอลาออกก็มองไปที่สถาบันพระปกเกล้า เพราะเคยทำงานใกล้ชิด ทั้งในฐานะสมาชิกรัฐสภาและข้าราชการการเมืองฝ่ายรัฐสภา
⦁ ในฐานะ ส.ส.ตอนนั้นมองว่ามีการ ‘เล่นเกมการเมือง’ มากกว่าทำหน้าที่เพื่อประชาชน?
คำว่า ‘การเมือง’ หรือ Politics ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในรัฐสภา ในองค์กรเอกชนเองก็มีการเมืองเช่นกัน เมื่อมีการใช้กลยุทธ์เพื่อเอาชนะหรือสร้างความได้เปรียบ เราก็เรียกว่านั่นคือการเล่นเกมการเมือง
ในสภาเองซึ่งเป็นเวทีของนักการเมืองจากหลายฝ่าย tactics เหล่านี้จึงเข้มข้นยิ่งกว่า และบางครั้งก็ส่งผลกระทบต่อการทำงานเพื่อประโยชน์ของประชาชน เช่นกรณีปัญหาองค์ประชุมล่มบ่อยครั้ง ทำให้ร่าง พ.ร.บ.หลายฉบับ รวมถึงวาระที่ผมผลักดันอย่างเต็มที่ ต้องถูกวางทิ้งไว้โดยไม่มีใครรับผิดชอบ
สถานการณ์เช่นนี้สะท้อนว่า เกมการเมืองในบางจังหวะ อาจบดบังเป้าหมายที่แท้จริงของการทำงานทางนโยบาย ซึ่งควรเป็นเรื่องของประชาชนเป็นหลัก
⦁ ช่วงนั้นมีการวิเคราะห์กันว่า ลาออกเพื่อให้ ‘สุรบถ หลีกภัย’ เลื่อนขึ้นมาเป็น ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อแทน ตอนนั้นเป็นอย่างไร?
ผมพิจารณาก่อนแล้วว่า เกิดความเสียหายหรือไม่? ถ้าต้องเลือกตั้งซ่อม ก็คงตัดสินใจอีกแบบหนึ่ง แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจจากปัจจัยอื่นๆ ด้วย ผมพูดตรงไปตรงมา หนึ่ง คือ ไม่ได้ปรึกษาใครเลย
ประการที่สอง วันที่ลาออก ก็มี ส.ส. ท่านอื่นในพรรคลาออกเหมือนกัน เพราะฉะนั้น การที่ใครจะได้เลื่อนขึ้นมาเป็น ส.ส. ในตอนนั้นเป็นเรื่องบังเอิญมาก เพราะถ้าผมลาออกคนเดียว บุคคลที่สามที่อยู่ลำดับถัดไปก็ไม่ได้ขึ้นมา แต่วันนั้นมีผู้ลาออกสองคนพร้อมกัน จึงเลื่อนสองคนขึ้นมาพร้อมกันเฉยๆ แน่นอนคนจะ ‘เชื่อ’ หรือ ‘ไม่เชื่อ’ ก็เป็นสิทธิของเขา
การทำงานในสภาหรือในทุกตำแหน่งที่ผ่านมา น่าจะพิสูจน์ได้แล้วว่าสามารถเชื่อในคำพูดของผมได้ ผมเชื่อในคำว่า “คำพูดเป็นนาย” และพิสูจน์สิ่งนั้นผ่านบทบาทต่างๆ มาแล้ว
เราทำได้แค่สะท้อนผ่านตัวตนของการทำงานให้คนเห็นว่า คนนี้ตัดสินใจด้วยวิจารณญาณรอบคอบ ยึดประโยชน์ของสังคมเป็นที่ตั้ง ตามเจตนารมณ์ที่อยากทำงานเพื่อสังคม
⦁ แล้วบทบาทตอนนี้ ต่างจากตอนเป็นนักการเมืองอย่างไรบ้าง?
ปัจจุบันตัวผมถือว่าเป็นเจ้าหน้าที่รัฐระดับสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถาบันพระปกเกล้า เป็นสถาบันที่ทั้งเจตนารมณ์การก่อตั้ง และระเบียบของสถาบันเอง โดยห้ามเป็นสมาชิกพรรคการเมือง โดยพันธกิจของสถาบัน แม้เราอยู่ในการเมืองแต่เราเองต้องเป็นกลางทางการเมืองด้วย
ผมยึดหลักความซื่อสัตย์สุจริตในการทำงาน มาโดยตลอด และคิดว่าเรื่องนี้ เป็นเรื่องที่หลายคนเวลาพูด ‘พูดง่าย’ แต่การทำได้นั้น ‘ยาก’ มันต้องใช้ความอดทน อดกลั้น ไม่ว่าจะเป็นเชิงอำนาจ เชิงผลประโยชน์ ทั้งตัวเงิน หรือผลตอบแทนอื่นๆ
แต่ข้อดี คือ ตั้งแต่บทบาทก่อนหน้า ผมไม่ได้เข้ามาการเมืองด้วยเหตุนี้ ผมเข้ามาเพราะผมชอบ และที่บ้านทำธุรกิจ คงไม่เปรียบว่าใหญ่ หรือเล็กกว่าใคร แต่อยู่ในวิสัยที่สามารถดูแลจุนเจือครอบครัวได้ ทำให้เรื่องของผลประโยชน์ เป็นเรื่องไกลตัวมาก
ผมยอมรับว่าไม่ใช่ตัวอย่างของคนที่ใช้ชีวิตอย่างสมถะ แต่สิ่งหนึ่งที่พยายามถามตัวเองให้มั่นใจตลอดเวลา คือ ทำอย่างไรให้ผมเป็น ‘ผู้ให้’ มากกว่า ‘ผู้รับ’ ให้ได้? ผมใช้ชีวิตพอเหมาะพอควรกับสถานะทางสังคม ที่เป็นอยู่ก็สบายใจ และใช้ชีวิตแบบนี้มาตลอด
⦁ คิดอย่างไรกับกระแสวิจารณ์ว่า กระบวนการสรรหา ‘เลขาธิการ’ สถาบันเป็นการล็อกสเปก?
กระบวนการสรรหา เลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า ซึ่งใช้มาตลอดตั้งแต่ก่อตั้งสถาบัน มาหลายสิบปีแล้ว ผ่านเลขาธิการมาไม่รู้กี่ท่าน ระเบียบปีแรกก็ยังใช้จนถึงตอนนี้ โดยไม่เปลี่ยนแม้แต่ตัวอักษรเดียว
การที่ผมอยู่ในกระบวนการสรรหา แล้วได้รับความเห็นชอบจากกรรมการมากกว่าคนอื่น ถ้าจะเรียกว่า ‘ล็อกสเปก’ ก็คงต้องล็อกมาตั้งแต่แปดขวบ ที่วิ่งขึ้นไปดูทีวีอภิปรายไม่ไว้วางใจ
ถ้าจะบอกว่าระเบียบล็อกสเปก ต้องย้อนกลับไปดูว่าใครเป็นคนเขียนระเบียบ ถ้ามีการล็อกจริง ก็ไม่ได้ล็อกเพื่อผมหรอก คงล็อกเพื่อคนที่เขียนในตอนนั้นต่างหาก แต่ที่มีปัญหา อาจเพราะผลรอบนี้มันอาจไม่ได้ล็อกให้ประโยชน์กับคนคนนั้น ถ้าจะบอกว่าล็อกเพื่อผม ก็คงต้องล็อกมาตั้งแต่ผมแปดขวบแล้วจริงๆ
⦁ คิดว่าความท้าทายในการทำงานสถาบันพระปกเกล้า คืออะไร?
ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ในบทบาทของรองเลขาธิการและผู้บริหารระดับสูงของสถาบันพระปกเกล้า หนึ่งในความท้าทายสำคัญที่ผมต้องเผชิญ คือ การสร้างและรักษาความเชื่อมั่นของสังคมต่อบทบาทของสถาบันในฐานะองค์กรทางวิชาการที่ยึดหลักความเป็นกลางทางการเมือง
การทำให้ทุกฝ่าย ทั้งภาครัฐ ภาคประชาชน และพรรคการเมือง เห็นว่าสถาบันพระปกเกล้าเป็นพื้นที่ปลอดภัยสำหรับการแลกเปลี่ยนความรู้และการพัฒนาประชาธิปไตยอย่างยั่งยืน คือโจทย์สำคัญที่ผมให้ความสำคัญที่สุดในบทบาทนี้
⦁ แล้วตั้งเป้าความสำเร็จในด้านการทำงานว่าอย่างไรบ้าง?
ผมมีแนวคิดว่า ความสำเร็จ ไม่ใช่เป็นหมาย แต่คือเส้นทางการเดินทางของชีวิต จากความชอบทางการเมืองและความคิดแบบนี้ หลอมรวมให้การทำงาน ณ สถาบันพระปกเกล้า ลงตัวสำหรับไลฟ์สไตล์ของผม
ทุกวันนี้บริบททางการเมืองไทยยังขาดอยู่สิ่งหนึ่ง คือ “ทำอย่างไรให้คนเชื่อมั่นในสถาบันการเมือง” โดยสถาบันพระปกเกล้า จะเป็นกลไกที่ทำให้ภาพฝันของผมเป็นจริงได้ ในเรื่องของความเชื่อมั่นทางสถาบันการเมือง และจะสามารถสร้างประโยชน์ให้สังคมได้ ไม่ได้แค่สร้างความสำเร็จให้กับตัวของนักการเมืองเอง
⦁ ในฐานะผู้บริหารที่ดูแลมาหลายองค์กร คิดว่าการมาบริหารสถาบันฯจะมีความแตกต่างอย่างไรบ้าง?
จากที่เคยทำงานมาหลายภาคส่วน ไม่ว่าภาคเอกชน ภาคการเมือง หรือภาครัฐ แต่ในฐานะผู้นำมืออาชีพทั้ง 3 ภาคส่วน มีคอนเซ็ปต์เดียวกัน คือ ‘ความโปร่งใส’ และ ‘ประสิทธิภาพ’ ที่ไม่ว่าองค์กรประเภทใดก็ตามต้องมี
สิ่งที่ต่างกันคือ ตัวชี้วัด ภาคเอกชน คือ ผลประกอบการ ภาคการเมือง คือ ประโยชน์ของสังคม และที่จับต้องได้ที่สุดคือ คะแนนความนิยม หรือ คะแนนเสียงจากประชาชน
สุดท้ายภาครัฐ ตัวชี้วัดก็แตกต่างอย่างสิ้นเชิง เงินเดือนของเจ้าหน้าที่รัฐทุกคน ทุกบาททุกสตางค์เป็นเงินงบประมาณแผ่นดิน ที่มาจากภาษีประชาชน ตัวชี้วัดจึงอยู่ที่จะทำอย่างไรให้คุ้มค่าที่สุด
⦁ วันนี้ภาพจำของสถาบันยังตรงกับจุดเริ่มต้นและเป้าหมายที่ก่อตั้งไว้หรือไม่?
เราต้องย้อนไปดูที่รากเหง้า หรือที่มาของการก่อตั้งสถาบัน ว่าก่อตั้งเพื่อวัตถุประสงค์ใด ทิศทางของสถาบันควรไปทางไหนแล้ว ถ้าเปรียบกับคนก็เรียกว่าเลยวัยเบญจเพสมาแล้ว
เกือบ 30 ปีที่ผ่านมา สถาบันพัฒนาไปตามบริบทการเมืองที่เปลี่ยนแปลงไป จนหลายๆ ครั้งเราลืมกลับไปมองจุดเริ่มต้นว่าก่อตั้งขึ้นมาเพื่อทำการศึกษาวิจัยองค์ความรู้ด้านประชาธิปไตย และจัดหลักสูตรฝึกอบรมต่างๆ ซึ่งอย่างหลัง สถาบันทำได้ดีมาก จนโดดเด่นขึ้นมากลายเป็นภาพจำ นั่นคือ หลักสูตรการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยสำหรับนักบริหารระดับสูง (ปปร.)
หลักสูตรดังกล่าว ตั้งใจออกแบบมา เพื่อให้สมาชิกรัฐสภา และภาคส่วนต่างๆ มาเรียนร่วมกันเพื่อแลกเปลี่ยนทางความคิด
⦁ คิดว่าอะไรทำให้หลักสูตร ปปร. ยังคงโดดเด่นมาจนถึงทุกวันนี้?
มาจากหลายองค์ประกอบที่เกื้อหนุนกัน ทั้งในแง่ของการออกแบบหลักสูตรที่มีความเข้มข้น การคัดเลือกผู้เข้ารับการอบรมที่ต้องเป็นผู้นำจากภาคส่วนต่างๆ อย่างหลากหลาย และการกำหนดองค์ประกอบผู้เรียนที่มีความชัดเจนตามข้อบังคับ เช่น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา และผู้นำจากภาครัฐ ภาคประชาชน สื่อมวลชน และองค์กรไม่แสวงหากำไร
กระบวนการเหล่านี้ทำให้เกิดพื้นที่การเรียนรู้ร่วมกันในเชิงลึก เกิดการแลกเปลี่ยนที่ทรงพลัง และนำไปสู่เครือข่ายที่มีคุณภาพในสังคมโดยอัตโนมัติ จนทำให้หลักสูตร ปปร.กลายเป็นเหมือน ‘ซิกเนเจอร์’ หรือเอกลักษณ์ของสถาบันไปในตัว
แม้จะทำให้ภารกิจทางวิชาการด้านการเมืองและการพัฒนาประชาธิปไตยโดยรวมโดดเด่นน้อยกว่า ก็เป็นโจทย์สำคัญที่ผู้บริหารคนใหม่จะต้องไปทำให้เกิดความสมดุลระหว่างสองสิ่งนั้น
⦁ หลายคนเรียกหลักสูตร ปปร.ว่าเป็นหลักสูตรเพื่อสร้างคอนเน็กชั่น คิดอย่างไรกับเรื่องนี้?
เราต้องเข้าใจเรื่อง ‘คอนเน็กชั่น’ กับ ‘บริบทสังคมไทย’ คอนเน็กชั่นไม่จำเป็นต้องมาเจอที่หลักสูตร ปปร. ยกตัวอย่าง เราเข้าไปมหาวิทยาลัย ยิ่งมหาวิทยาลัยมีชื่อเสียง คอนเน็กชั่นก็มีความเข้มแข็ง
ปฏิเสธไม่ได้ว่า ปปร. คือหลักสูตรที่เราต้องการผู้นำของประเทศ จากทุกภาคส่วนมาพบกันเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้มิติทางการเมืองด้วยกัน เขาต้องมาเจอกันและสร้างให้เกิดคอนเน็กชั่น
ประเด็นคือ คอนเน็กชั่น มันไม่ใช่เรื่องเสียหาย แต่จะเสียหายต่อเมื่อ นำไปสร้างประโยชน์เพื่อตนเอง หรือทุจริต แต่ถ้านำไปทำประโยชน์ให้สังคม
เช่น หากภาครัฐขาดงบประมาณ ภาคเอกชนสามารถสนับสนุนได้ โดยได้สิทธิประโยชน์ทางภาษี ซึ่งไม่ใช่เรื่องเสียหาย หรือการนำทรัพยากรที่กำลังจะทิ้ง ไปสร้างประโยชน์ให้กับส่วนอื่นได้ การสร้างคอนเน็กชั่นเชิงนี้ สำหรับผมไม่ใช่เรื่องเสียหาย
⦁ เมื่อปฏิเสธการมีคอนเน็กชั่นระดับสูงไม่ได้ สถาบันจะผลักดันอย่างไรให้เกิดประโยชน์จากตรงนี้?
สถาบันพระปกเกล้าพยายามสอน 2 สิ่ง คือ การอบรมคอนเน็กชั่นเพื่อการเปลี่ยนแปลง (Connection for Changes) และเสริมสร้างธรรมาภิบาล ทั้งหมดนี้ ผมคิดว่าเราทำได้ดีมาโดยตลอด
ปฏิเสธไม่ได้ว่าเราเป็นศูนย์รวมของผู้ที่มีทั้ง ศักยภาพ และอำนาจในการเปลี่ยนแปลงทางสังคม ให้มารวมกันเพื่อสร้าง Mindset ใหม่ที่ถูกต้อง ให้มองถึง 3 เรื่องที่ตรงกันคือ ประชาธิปไตย ธรรมาภิบาล และสันติวิธี ด้วยความหวังสูงสุดว่า
เราจะสามารถสร้างความเชื่อมั่นต่อสถาบันทางการเมือง และสร้างความมั่นคงทางสังคมให้ได้
⦁ ในฐานะเลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า ‘คนใหม่’ มีทิศทางในการขับเคลื่อนองค์กรอย่างไร?
อยากให้ความโดดเด่นของสถาบัน คือ การเป็นกำลังทาง ‘คลังสมอง’ ที่สำคัญของรัฐสภา หรือฝ่ายนิติบัญญัติ มีประกายแสง หรือ มีความโดดเด่นชัดเจน ไม่แพ้หลักสูตรที่เราเคยทำได้ดี
ณ วันนี้ เราสามารถทำตัวเองให้เป็น คลังสมองของชาติ และเชื่อว่าภายใต้แนวทางที่ผมดำเนินการ เป็นการสร้างเครือข่ายกับหน่วยงานลักษณะเดียวกันในประเทศต่างๆ เช่น สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส ฮังการี โรมาเนีย จีน สิงคโปร์ จนรวมไปถึงฝั่งแอฟริกา
ความร่วมมือทั้งหมดนี้ ทำเพื่อให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า ‘เครือข่ายทางวิชาการที่สำคัญ’ โดยมีสถาบันพระปกเกล้าเป็นแกนนำ และเมื่อทำสิ่งนี้สำเร็จ ผมเชื่อว่าสถาบันจะถูกยกระดับ
จากเดิม เวลาคนพูดถึงสถาบันพระปกเกล้า แล้วนึกถึงแค่หลักสูตร ปปร. แล้วนั้น จะถูกขับเคลื่อนไปเป็น ‘คลังสมองของชาติ’ และในระยะปลายควรเป็น คลังสมองของภูมิภาค (Regional Think Tank)
⦁ คิดว่าหลักสูตร ปปร.จะสร้างมายด์เซต ให้กับผู้นำประเทศอย่างไรบ้าง?
เราพยายามออกแบบหลักสูตรให้เกิดการมีส่วนร่วมของนักศึกษาให้มากที่สุด เช่น หนึ่งในแนวคิดที่พยายามทำคือ แทนที่จะเชิญวิทยากรจากภายนอก เมื่อเราคัดคนอย่างเข้มข้นมาแล้ว ก็อยากให้เขาเป็นวิทยากรกันเองเลย เมื่อเราคิดว่าเขาเป็นหัวกะทิของประเทศ ก็ต้องเชื่อว่าเขาสามารถถ่ายทอดองค์ความรู้ที่มีได้ นี่คือสิ่งหนึ่งที่พยายามทำ
กระบวนการคัดคนเข้ามาก็สำคัญ การเลือกคนเข้ามาต้องยึดหลักว่าคุณภาพของคนต้องเป็นเกราะกำบังแรกในการคัดเลือก แน่นอนว่าในประเทศไทยระบบคอนเน็กชั่นมีอยู่ แต่ต้องทำอย่างไรให้คุณภาพเป็นด่านแรก ส่วนเรื่องอื่นให้เป็นรอง
⦁ ในโลกที่มีความผันผวนสูง ทั้งด้านการเมืองและภูมิรัฐศาสตร์ มองว่าผู้นำที่ดีควรมีคุณลักษณะอย่างไร และประเทศไทยควรวางตัวอย่างไรในเวทีโลก?
ผู้นำประเทศที่ดี คือ ผู้นำที่รู้ว่าตัวเองชำนาญเรื่องอะไร และรู้ว่าตัวเอง ไม่รู้เรื่องอะไร แต่เลือกเอาคนที่รู้ในเรื่องที่ตัวเองไม่รู้ มาใช้งาน อันนี้ คือภาพรวมของตัวบุคคลในฐานะผู้นำ
ในส่วนของประเทศไทย เวลาพูดว่า ‘เราเลือกข้างไม่ได้’ มันพูดง่าย ซึ่งก็ถูกในมิตินั้น แต่ต้องตีความให้ถูกว่า เราจะต้องเลือกข้างแบบที่เป็นไปตามวาระ Agenda-Based หมายถึง เราเลือกข้าง โดยฝ่ายที่เราไม่ได้เลือกนั้น สามารถยอมรับเหตุผลของเราได้ทั้งหมด
ฉะนั้น เราเลือกข้างในเวลาที่เหมาะสม ไม่ใช่เลือกแล้ว ไปฝักใฝ่กับฝั่งใดฝั่งหนึ่งในทุกเรื่อง ประเด็นที่หนึ่ง คือเลือกข้างโดยดูวาระที่เหมาะสม ประเด็นที่สอง คือเลือกข้างหรืออยู่ข้างฝ่ายใดอย่างมีศิลปะ
เราต้องทำให้อีกฝ่าย ที่เราไม่ได้เลือกเข้าใจได้ว่า ทำไมเราต้องตัดสินใจแบบนั้น ถ้าทำสองอย่างนี้ได้ ประเทศก็ไปต่อได้
⦁ เมื่อผู้นำเลือกข้างแล้วนั้น จะบาลานซ์อำนาจการเมืองได้อย่างไร?
การไม่เลือกข้างเลยเป็นไปไม่ได้ คุณแทงกั๊กเป็นกลางตลอด ก็ไม่มีใครคบ แต่จะเลือกข้างอย่างไรให้ประสบความสำเร็จ เราต้องทำตามที่กล่าวไป และแยกระหว่าง ‘เลือกข้าง’ กับ ‘ฝักใฝ่’ ออกจากกันให้ชัด
โดยถ้าต้องเลือกข้าง ต้องเลือกข้างตามวาระ ที่เห็นว่าเกิดประโยชน์กับประเทศมากที่สุด และมีศิลปะในการเลือก จนอีกฝ่ายเข้าใจได้ว่า ทำไมต้องเลือกแบบนั้น ก็จะเป็นการบาลานซ์พาวเวอร์ที่ดี และทำให้การเมืองไทยกับบริบทของประเทศไปต่อได้
ผู้นำที่ดีต้องรู้ว่าตัวเองมีทักษะหรือขาดทักษะตรงไหน แล้วก็ต้องเลือกใช้คนมาเติมเต็ม ต้องไม่กลัวที่จะใช้คนที่เก่งกว่า
ภูษิต ภูมีคำ – เรื่อง
ชลาธิป รุ่งบัว – ภาพ