‘ธวัชชัย ตั้งศิริวานิช’
ปลุกอนาคตการเรียนรู้ไทย!
ส่งมอบ ‘สมบัติความรู้’ ครั้งประวัติศาสตร์
สู่ 240 มหา’ลัยทั่วประเทศ
เมื่อ “กรุงศรีอยุธยาในแผนที่ฝรั่ง” ออกสู่สายตาสาธารณชน ชื่อของ “ธวัชชัย ตั้งศิริวานิช” ก็เป็นที่รู้จักในฐานะนักประวัติศาสตร์ผู้ปลุกชีวิตให้แผนที่เก่า พาเราอ่านอยุธยาผ่านเส้นทางที่ถูกมองข้าม
แต่แผนที่ในหนังสือไม่ใช่จุดหมายปลายทาง หากเป็นเพียง ‘เข็มทิศดอกแรก’ ที่เปิดทางให้เดินต่อไปบนเส้นทางที่กว้างกว่า เส้นทางที่ไม่ใช่ของเขาเพียงคนเดียว เพราะเมื่อธวัชชัยก้าวลึกไปในโลกของประวัติศาสตร์ กลับพบ ‘ช่องว่าง’ ที่ใหญ่มากเกินกว่าจะมองข้าม
ช่องว่างของโอกาส ช่องว่างของการเข้าถึงความรู้ ช่องว่างที่ทำให้หนังสือบางเล่มไม่เคยเดินทางไปถึงมือของผู้ที่เฝ้ารอ และเขารู้ว่าหนังสือเล่มเดียวไม่พอ
วันที่ 17 มิถุนายน 2568 ที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) จึงเป็นอีกครั้งที่ธวัชชัยค่อยๆ เปิดช่องว่างทางโอกาสนี้ผ่านโครงการ “ส่งต่อความรู้ประวัติศาสตร์อยุธยาและไทย-จีน มิตรสัมพันธ์” ที่เขาก่อตั้ง ร่วมกับเครือมติชน
หนังสือ 12 รายการ 13 เล่ม ทั้งในเครือสำนักพิมพ์มติชน และเพื่อนสำนักพิมพ์ ถูกส่งต่อไปยังมหาวิทยาลัย 240 แห่งทั่วประเทศ เพื่อให้ความรู้เดินทางต่อ ไม่ใช่หยุดอยู่แค่ในเมืองใหญ่ โดยมี ปานบัว บุนปาน ประธานกรรมการ บริษัท มติชน จำกัด (มหาชน) พร้อมทั้งคณะผู้บริหาร ร่วมส่งมอบ
และ ศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. ในขณะนั้น เป็นผู้รับมอบ

โครงการนี้จัดขึ้นภายใต้นามของ ‘คุณศิริวรรณ ตั้งศิริวานิช’ แม่ผู้ทั้งชีวิตมีแต่ให้ และเป็นที่มาของการให้ในครั้งนี้
นี่ไม่ใช่แค่การบริจาคหนังสือ แต่เป็นการ ‘เขียนเส้นทางใหม่’ ให้สังคมไทย แผนที่ที่ใครก็มีสิทธิเดิน ไม่ว่าจะเริ่มต้นจากจุดไหน
ของขวัญเพื่อผู้หญิงที่ทั้งชีวิตมีแต่ให้ จุดเริ่มต้นโครงการส่งต่อความรู้
เบื้องหลังโครงการ “ส่งต่อความรู้ประวัติศาสตร์อยุธยาและไทย-จีน มิตรสัมพันธ์” ไม่ได้เริ่มต้นจากห้องเรียน หรือแผนยุทธศาสตร์ระดับประเทศ หากแต่เริ่มต้นจากความรักอันเรียบง่ายของลูกคนหนึ่งที่มีต่อแม่

ธวัชชัยเติบโตมาในครอบครัวเชื้อสายจีนที่ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย คุณแม่ ศิริวรรณ ตั้งศิริวานิช เป็นลูกชาวนา ผู้รักการเรียนรู้แต่ต้องพลาดโอกาสทางการศึกษาเพราะข้อจำกัดด้านฐานะ ถึงแม้ไม่ได้มีโอกาสร่ำเรียนสูงเหมือนใคร แต่ด้วยความขยัน อดทน และไม่เคยย่อท้อต่อชีวิต จึงสามารถส่งลูกทั้งสามคนไปเรียนต่อต่างประเทศได้สำเร็จด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง
คำสอนของแม่ ให้ขยัน ให้รู้จักแบ่งปัน และทำสิ่งที่มีคุณค่าต่อผู้อื่น ฝังรากลึกในชีวิตของธวัชชัย จนกลายเป็นแรงผลักดันให้อยากทำสิ่งที่มีความหมายเพื่อตอบแทนคุณแม่ที่เขารักที่สุด
“แม้แต่ญาติบางคนยังจำชื่อแม่ไม่ได้ ผมจึงอยากทำให้ชื่อของคุณแม่ยังอยู่ในความทรงจำของผู้คน ผ่านสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม” ธวัชชัยกล่าว
โครงการนี้จึงไม่ใช่แค่การบริจาคหนังสือเข้าสู่ห้องสมุด หากแต่เป็น ‘ของขวัญ’ ชิ้นสำคัญที่ตั้งใจมอบให้คุณแม่ในวันคล้ายวันเกิด เพื่อให้ชื่อของแม่ไม่เลือนหาย และเพื่อให้ความรักในการเรียนรู้ของแม่ได้ส่งต่อไปยังคนรุ่นต่อๆ ไป
เพราะสำหรับธวัชชัยแล้ว โอกาสในชีวิตทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการศึกษา การเติบโต หรือการได้ทำในสิ่งที่รัก ล้วนงอกเงยขึ้นจากรากฐานที่แม่ผู้เสียสละได้วางไว้ด้วยสองมือ
แต่เมื่อมองย้อนกลับไป ธวัชชัยยังเห็นอีกหนึ่งผู้ให้ที่ยิ่งใหญ่ไม่แพ้กัน ผืนแผ่นดินไทย ที่เปิดโอกาสให้ครอบครัวเชื้อสายจีนอย่างเขาได้หยั่งรากและเติบโตอย่างมั่นคง
“ถ้าผมจะทำอะไรเพื่อตอบแทนคุณแม่และประเทศที่ให้โอกาสกับครอบครัวผม สิ่งนั้นต้องเป็นเรื่องของการศึกษา เพราะแม่รักการเรียนอย่างที่สุด แต่ไม่มีโอกาสได้เรียนอย่างเต็มที่” ธวัชชัยกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “และการศึกษาที่ผมเลือกจะส่งต่อ คือสิ่งที่ผมรักและถนัดที่สุด นั่นคือประวัติศาสตร์”
รู้จักรากเหง้า จุดประกายแรงบันดาลใจ สู่สังคมที่แข็งแรง
โครงการ “ส่งต่อความรู้ประวัติศาสตร์อยุธยาและไทย-จีน มิตรสัมพันธ์” ไม่ได้เกิดจากแรงบันดาลใจส่วนตัวเพียงอย่างเดียว แต่ยังเกิดจากความเชื่อมั่นว่าหนังสือมีพลังในการเปลี่ยนชีวิต และเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยให้เราเข้าใจตัวเอง สังคม และโลกได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
ความเชื่อนี้ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างลอยๆ แต่มีจุดเริ่มต้นมาจากประสบการณ์ในช่วงที่ธวัชชัยเดินทางไปศึกษาต่อที่ประเทศอังกฤษ ซึ่งบังเอิญพบแผนที่โบราณของกรุงศรีอยุธยาในร้านหนังสือแห่งหนึ่งกลางกรุงลอนดอน ความสงสัยในที่มาของแผนที่เล่มนั้นกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิต เพราะทำให้ค้นพบความหลงใหลในประวัติศาสตร์อย่างจริงจัง
จากประสบการณ์ครั้งนั้น ธวัชชัยเริ่มมองเห็นว่า “หนังสือ” ไม่ใช่แค่แหล่งความรู้ แต่เป็นประตูที่สามารถเปลี่ยนชีวิตคนได้ หนังสือเล่มเดียวอาจจุดประกายให้ใครสักคนเดินตามเส้นทางใหม่ที่ไม่เคยคาดคิด เหมือนกับวันที่ได้พบแผนที่โบราณเล่มนั้น
ความสำคัญของหนังสือสำหรับธวัชชัยยิ่งชัดเจนขึ้น เมื่อย้อนกลับไปสำรวจเรื่องราวของครอบครัวตัวเอง เขาเติบโตมากับคำบอกเล่าจากแม่และอากงอาม่าเกี่ยวกับการอพยพของบรรพบุรุษที่เดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมายังสยาม ทว่า ความทรงจำเหล่านั้นกลับกระจัดกระจาย เต็มไปด้วยช่องว่างและรายละเอียดที่หายไป จนกระทั่งได้อ่านหนังสือ “สังคมจีนในประเทศไทย” โดย G. William Skinner และ “ประวัติศาสตร์จีนกรุงสยาม” โดยเจฟฟรี ซุน และพิมพ์ประไพ พิศาลบุตร และอื่นๆ
หนังสือเหล่านี้ช่วยปะติดปะต่อเรื่องราวในอดีตที่ขาดหาย ทำให้ภาพในอดีตของครอบครัวชัดเจนขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
นอกจากนี้ ธวัชชัยยังเชื่อมั่นว่า หากเยาวชนไทยต้องการเข้าใจประเทศของตัวเองอย่างลึกซึ้ง พวกเขาจำเป็นต้องเรียนรู้ประวัติศาสตร์ไทย-จีนควบคู่กับประวัติศาสตร์ไทย เพราะในความเป็นจริง ชาวจีนมีบทบาทสำคัญและหลอมรวมอยู่ในโครงสร้างของสังคมไทยมาอย่างยาวนาน งานศึกษาของ G. William Skinner ชี้ให้เห็นชัดว่า เรือสำเภาจีนเดินทางเข้ามายังดินแดนไทยตั้งแต่ก่อนการสถาปนาอยุธยา และเมื่อเวลาผ่านไป ชาวจีนกลายเป็นส่วนหนึ่งของสังคมไทยอย่างแยกไม่ออกว่าสิ่งใดเป็น “ไทย” หรือ “จีน” ดังนั้น จึงอยากให้เยาวชนไทยได้อ่านประวัติศาสตร์ไทย-จีนควบคู่กันไป เพื่อเข้าใจภาพรวมของประเทศในมิติเชื้อชาติ วัฒนธรรม และโครงสร้างสังคมอย่างแท้จริง

เพื่อตอบโจทย์เป้าหมายนี้ ธวัชชัยได้คัดเลือกหนังสือ 12 รายการ 13 เล่ม ที่ครอบคลุมทั้งประวัติศาสตร์อยุธยาและประวัติศาสตร์ไทย-จีน โดยเน้นเป็นพิเศษที่เรื่องราวของสามัญชน แรงงานอพยพ และกลุ่มคนธรรมดาที่มักถูกละเลยในหนังสือเรียนกระแสหลักซึ่งมักเน้นแต่เรื่องของราชวงศ์หรือชนชั้นนำ หนังสือทุกเล่มที่คัดเลือกเป็นงานวิชาการที่เชื่อถือได้ มีการอ้างอิง เชิงอรรถ และบรรณานุกรมครบถ้วน สามารถนำไปใช้เป็นฐานในการศึกษาต่อยอดได้จริง
แม้จะเปิดกว้างในการเลือกหนังสือจากหลากหลายสำนักพิมพ์ แต่ในท้ายที่สุด กว่า 70% ของหนังสือที่เลือก มาจากสำนักพิมพ์มติชนและศิลปวัฒนธรรม ซึ่งธวัชชัยให้ความไว้วางใจในด้านคุณภาพและความเชี่ยวชาญในการจัดทำหนังสือประวัติศาสตร์
ธวัชชัยย้ำเสมอว่า หนังสือทุกเล่มที่เลือกมา ‘ดีที่สุดเท่าที่หาได้’ เพราะเชื่อว่าหากจะส่งต่อโอกาสในการเข้าถึงความรู้ หนังสือเหล่านั้นต้องเป็นแหล่งข้อมูลที่เข้มข้นและมีคุณภาพสูงที่สุด ไม่ว่าจะเป็น “ประวัติศาสตร์ไทยฉบับสังเขป” โดย David K. Wyatt ผู้ได้รับการยกย่องว่าเป็นบิดาแห่งประวัติศาสตร์ไทยในโลกตะวันตก, “สังคมจีนในประเทศไทย” โดย G. William Skinner ผลงานทรงคุณค่าจากการใช้หลักฐานปฐมภูมิโดยตรง, “หมิงสือลู่-ชิงสือลู่” บันทึกเรื่องจริงแห่งราชวงศ์หมิงและราชวงศ์ชิง ตอนว่าด้วยสยาม ที่มีคุณค่าทางข้อมูลมหาศาล รวมไปถึง “คนดีศรีอยุธยา” โดยเสนีย์ เสาวพงศ์ ที่เปิดมุมมองใหม่ผ่านชีวิตของสามัญชนในประวัติศาสตร์
สำหรับ ธวัชชัย หนังสือเหล่านี้ไม่ใช่แค่สิ่งของที่ถูกส่งมอบ แต่เป็นสะพานที่เชื่อมคนรุ่นใหม่เข้ากับอดีต เชื่อมปัจเจกบุคคลเข้ากับภาพใหญ่ของสังคม และเชื่อมความรู้ที่เคยไกลตัวให้กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของพวกเขาได้อย่างเป็นธรรมชาติ
จุดเล็กๆ ที่สร้างการเปลี่ยนแปลง สังคมอุดมปัญญาเริ่มต้นที่ ‘คนลงมือทำ’
ธวัชชัยมองว่า โครงการนี้ไม่ได้มุ่งหวังเพียงการบริจาคหนังสือครั้งเดียวเท่านั้น หากแต่ตั้งใจให้เป็นจุดเริ่มต้นของการ “ลงมือทำ” ที่อาจขยายผลและเติบโตอย่างต่อเนื่องในอนาคต
“ส่วนตัวผมมองว่า ถ้ามีโอกาสและกำลังทรัพย์เพียงพอ ก็อยากเห็นโครงการแบบนี้ดำเนินต่อไป อาจจะมีหนังสือใหม่ๆ ออกมาให้บริจาคในปีถัดๆ ไป แต่ทั้งนี้ก็ยังอยู่ในช่วงของการพิจารณาและวางแผนอย่างรอบคอบ”
แม้จะมีเสียงสะท้อนจากบางฝ่ายที่ตั้งคำถามว่า โครงการลักษณะนี้ควรใช้งบประมาณแผ่นดินหรือไม่ ซึ่งคุณธวัชชัยเองก็เห็นด้วย เพราะท้ายที่สุดแล้ว การลงทุนทางปัญญาคือการลงทุนเพื่อสังคมโดยรวม
ในหลายประเทศ เช่น ฟินแลนด์หรือสวีเดน รัฐมีบทบาทชัดเจนในการจัดสรรทรัพยากรเพื่อการศึกษาและการเข้าถึงหนังสือคุณภาพในทุกห้องสมุด แต่ในบริบทของไทยยังมีข้อจำกัดหลายอย่าง ภาคเอกชนจึงสามารถเข้ามาเติมเต็มบทบาทนี้ได้ และเขาเองก็พร้อมสนับสนุนเท่าที่ศักยภาพจะเอื้อ เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องในระยะยาว
ธวัชชัยยังได้สะท้อนภาพสังคมในอุดมคติที่อยากเห็นไว้ว่า
“ในโลกที่สมบูรณ์แบบ รัฐคงมีงบประมาณเพียงพอสำหรับจัดหาหนังสือดีๆ ให้ทุกห้องสมุด แต่ในโลกของความจริง เราต้องช่วยกัน ถ้าเราอยากเห็นประเทศไทยเป็นสังคมแห่งปัญญา เราไม่ควรฝากความหวังไว้ที่ภาครัฐฝ่ายเดียว เพราะเมื่อคนมีโอกาสเข้าถึงความรู้ ปัญหาเศรษฐกิจ อาชญากรรม หรือสาธารณสุขก็จะลดลงอย่างเป็นระบบ สิ่งเหล่านี้สะท้อนกลับมาเป็นการประหยัดงบประมาณของรัฐในระยะยาวด้วยเช่นกัน”
สุดท้าย ธวัชชัยเพียงหวังว่า สิ่งเล็กๆ ที่เริ่มลงมือทำในวันนี้ จะไม่หยุดอยู่แค่การส่งมอบหนังสือเข้าสู่ห้องสมุด หากแต่จะกลายเป็นประกายเล็กๆ ที่ชวนให้ใครอีกหลายคนหันกลับมาเห็นคุณค่าของการแบ่งปันองค์ความรู้ เพราะในวันที่เราส่งต่อโอกาสทางการศึกษาให้ถึงมือกันได้มากขึ้น สังคมไทยจะค่อยๆ เติบโต แข็งแรง และงดงามไปพร้อมกัน
‘หนังสือหนึ่งเล่ม จุดไฟได้ทั้งสังคม’
อว.เชิญชวนทุกภาคส่วนร่วมสร้างโอกาสทางการเรียนรู้

ในมุมของ ศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ในขณะนั้น มองว่าโครงการนี้มิใช่เพียงการบริจาคหนังสือ แต่คือ “การส่งต่อความรู้และแรงบันดาลใจ” ที่จะถูกส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น ผ่านห้องสมุดของมหาวิทยาลัยไทยทั่วประเทศ
ทั้งยังเน้นย้ำว่า ในยุคที่เยาวชนไทยต้องเผชิญกับกระแสข้อมูลมหาศาล หนังสือที่ผ่านการกลั่นกรองอย่างรอบคอบจะกลายเป็น “เข็มทิศทางปัญญา” ที่ช่วยให้ผู้เรียนฝึกคิดอย่างเป็นระบบ และรู้เท่าทันข้อมูลที่ไหลเข้ามาไม่หยุด
“หนังสือที่ได้รับในวันนี้ไม่ใช่เพียงสิ่งของที่ส่งถึงปลายทาง แต่คือโอกาสและความหวัง ที่กำลังเดินทางไปสร้างแรงบันดาลใจให้กับเยาวชนไทยทั่วประเทศ” ศุภมาสกล่าว
ยิ่งไปกว่านั้น โครงการนี้ยังสะท้อนพลังของ “ความร่วมมือ” ระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน ที่ต่างลุกขึ้นมาช่วยกันสร้าง “ระบบนิเวศการเรียนรู้แบบเปิด” เพื่อให้การเรียนรู้เป็นโอกาสที่เข้าถึงได้สำหรับทุกคน ตามเป้าหมายที่กระทรวง อว. กำลังเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง
ศุภมาสมองว่าหนังสือประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะเรื่องอยุธยาและไทย-จีนในโครงการนี้ มีคุณูปการสำคัญต่อผู้เรียน เพราะมิได้เชื่อมโยงเพียงอดีตของชาติ แต่ยังเปิดประตูสู่ความเข้าใจในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของการเป็นพลเมืองโลกในปัจจุบัน
“หนังสือประวัติศาสตร์ไม่ใช่เพียงการจดจำเหตุการณ์ในอดีต แต่คือเครื่องมือที่ช่วยให้เราเข้าใจตัวตนของสังคม มองเห็นบทเรียน และใช้เป็นเสาหลักในการเดินไปสู่อนาคต” ศุภมาสกล่าว
พร้อมกันนี้ ได้ฝากข้อเสนอแนะถึงนักเขียน ผู้จัดพิมพ์ และผู้มีจิตอาสา ว่าการสนับสนุนการเรียนรู้ในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการบริจาคหนังสือ การให้ทุนการศึกษา หรือการสร้างพื้นที่สร้างสรรค์ ล้วนสามารถจุดประกายและสร้างผลกระทบเชิงบวกที่ยั่งยืนได้ทั้งสิ้น
“หากผลงานของท่านมีคุณค่า การที่หนังสือของท่านได้ขึ้นไปอยู่บนชั้นหนังสือในมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ ก็นับเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จที่ร่วมสร้างอนาคตให้กับประเทศ
ดิฉันขอขอบคุณคุณธวัชชัยอีกครั้ง ที่เป็นแบบอย่างของพลเมืองผู้มีวิสัยทัศน์ ผู้ที่ไม่ได้รอให้ความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น แต่เลือกที่จะเป็นผู้จุดประกาย และสร้างผลงานอันทรงคุณค่าทางจิตวิญญาณไว้ให้กับประเทศชาติต่อไป”
ท้ายที่สุด โครงการนี้ได้ตอกย้ำให้เห็นว่า “สังคมอุดมปัญญา” สามารถเกิดขึ้นได้จากการอ่าน และสังคมไทยร่วมด้วยช่วยทำให้เติบโตขึ้นได้ด้วยแรงร่วมของผู้ที่กล้าจะเริ่มต้น และพร้อมจะส่งต่อสิ่งดีๆ สู่สังคมต่อไปอย่างไม่รู้จบ ดังเช่น ธวัชชัย ตั้งศิริวานิช