อัครินทร์ ศิวพรพิทักษ์
เบลนด์ BEANS ให้เข้ากับย่าน
ไม่ใช่แค่ทุ่มทุน ‘คุณต้องเข้าใจราก’
“ผมเองไม่ได้มีพื้นฐานด้านธุรกิจ ที่สำคัญคือ ไม่ดื่มกาแฟเลยตั้งแต่เกิด”
อัครินทร์ ศิวพรพิทักษ์ หรือฟาน เปิดบทสนทนาด้วยคำตอบที่ชวนประหลาดใจ ก่อนจะค่อยๆ นั่งย้อนเส้นทางที่สุดแสนท้าทาย กว่าจะกลายเป็น BEANS Coffee Roaster ในวันนี้
คือหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งร้านกาแฟสุดชิค ที่เบลนด์ได้อย่างกลมกล่อม ส่งตรงจากเมล็ดคุณภาพจากโรงคั่วเล็กๆ กระทั่งแผ่ขยายไปแล้วนับสิบสาขาทั่วประเทศ
ทว่า เขาเริ่มต้นจากประสบการณ์สายนี้ ที่เท่ากับ ‘ศูนย์’
“ผมเชื่อว่า BEANS เติบโตได้ ต้องไปกับ Local” เป็นเบื้องหลังแนวคิดในการทำธุรกิจ
ยอมรับว่าเริ่มจากจุดตั้งต้นที่เต็มไปด้วยคำถาม ก่อนจะกลายเป็นชัดเจนในจุดยืน ว่าสิ่งที่ทำไม่ใช่แค่ ‘ขายกาแฟ’ แต่ต้องเป็นการสร้างระบบนิเวศร่วมกัน
เขาจึงสร้างสเปซ ที่เป็นยิ่งกว่าคาเฟ่ เป็นแรงขับเคลื่อนหมุนเวียนที่ยกระดับชีวิตให้กับผู้คนในชุมชนแวดล้อม
เพราะมองว่าการทำธุรกิจเล็กๆ ไม่ได้แปลว่าอยู่เฉยๆ แล้วจะสำเร็จ แต่ต้องอาศัยความเข้าใจรากของชุมชนอย่างลึกซึ้ง จึงตั้งคำถามว่าคนในพื้นที่อยากให้ย่านนี้เติบโตไปในทิศทางไหนกันแน่?
บรรทัดนับจากนี้ คือบทสนทนาที่จะพาค้นลึกถึงเรื่องราวของเครื่องดื่มสากล ที่กลายเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตผู้คนทั่วโลก คือฮาวทูปลุกย่านเก่าให้ฟื้นตื่น ผ่านมุมมองของชายหนุ่มที่เชื่อว่ากาแฟดีๆ ควรเกิดขึ้นได้ ในพื้นที่ที่ดีด้วยเช่นกัน
⦁ จุดเริ่มต้นของการทำร้านกาแฟ เกิดขึ้นได้อย่างไร?
หลังจากเรียนจบ ผมไปทำงานที่ประเทศจีน เผอิญว่าที่บ้านทำไร่กาแฟอยู่แล้ว และในช่วงนั้นเริ่มปลูกกาแฟพอดี คุณพ่อผมทำงานราชการ ไม่มีความรู้เรื่องการทำสวน และค่อนข้างยุ่ง จึงเรียกตัวผมกลับมา
ผมเองก็ไม่ได้มีพื้นฐานด้านธุรกิจ และที่สำคัญคือไม่ดื่มกาแฟเลยตั้งแต่เกิด เมื่อกลับมา เลยต้องเริ่มศึกษาทุกอย่างใหม่หมด ตั้งแต่เมล็ดพันธุ์ สายพันธุ์ ไปจนถึงกระบวนการผลิต สมัยนั้นคือเมื่อกว่า 20 ปีที่แล้ว ยังไม่มีโซเชียลมีเดีย หรืออินเตอร์เน็ตที่เข้าถึงง่าย ‘หนังสือ’ คือช่องทางความรู้หลัก กาแฟในไทยก็ยังไม่บูม ข้อมูลที่หาได้ส่วนใหญ่เป็นเอกสารของกรมวิชาการเกษตร หรือหนังสือห้องสมุดภาษาไทยไม่กี่เล่ม
ผมจึงเริ่มหันไปอ่าน Textbook ภาษาอังกฤษ ค้นคว้างานวิจัย วิทยานิพนธ์ และศึกษาจากต่างประเทศ ก่อนจะนำมาปรับใช้กับของเรา โชคดีที่ผมไม่ดื่มกาแฟอยู่แล้ว จึงไม่มีอคติหรือความลำเอียง ผมเปรียบตัวเองเป็นเหมือนผ้าขาว ที่ดูดซับความรู้ใหม่ได้ง่าย อีกสิ่งที่ช่วยได้คือการไปขอคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้านกาแฟในตอนนั้น ซึ่งมีอยู่ไม่มาก ผมโทรไปพูดคุย เขาก็ให้คำแนะนำด้วยความเมตตา เพราะเป็นวงการใหม่ ทุกคนพร้อมแบ่งปันความรู้ให้กัน
⦁ เริ่มต้นคั่วกาแฟ เริ่มต้นจากศูนย์?
จากวันที่เราเริ่มทำสวนกาแฟ จนถึงวันที่เริ่มคั่วกาแฟด้วยตัวเอง ทุกอย่างเป็นกระบวนการเรียนรู้ที่ค่อยๆ เป็นไป ตอนที่ได้ผลผลิตชุดแรกมา ผมยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะเอากาแฟไปทำอะไรดี ก็เลยลองคั่วเอง ลองผิดลองถูกอยู่พักใหญ่ ช่วงนั้นผมนำเมล็ดที่คั่วแล้วไปฝากไว้กับร้านกาแฟที่รู้จัก แต่ก็ไม่แน่ใจเลยว่ากาแฟของเราดีพอหรือเปล่า พอเริ่มมีความรู้มากขึ้น ผมก็เริ่มสนใจจริงจังกับการทำกาแฟ เลยขอไปฝึกงานกับพี่คนหนึ่งที่รู้จัก เริ่มจากการเป็น Bar Back และค่อยๆ ขยับบทบาทขึ้นมาเรื่อยๆ จนได้ทำหน้าที่เป็นบาริสต้า ผมมีแนวทางชัดเจนว่า “ถ้าเราได้ลงมือทำเอง เราจะเข้าใจระบบงานทั้งหมดได้ดีกว่า” หลังจากใช้เวลาฝึกประมาณเกือบหนึ่งปี ผมตัดสินใจเปิดร้านเอง เพราะอยากรู้ว่าการมีร้านกาแฟของตัวเองจริงๆ มันเป็นอย่างไร
ในยุคนั้น ชาวสวนกาแฟกับเจ้าของร้านกาแฟ ยังแทบไม่มีโอกาสได้พูดคุยกันโดยตรง แต่เพราะผมขึ้นสวนอยู่ตลอด รู้ทั้งกระบวนการต้นน้ำและปลายน้ำ การที่ผมได้สัมผัสทั้ง ‘หน้างาน’ และ ‘หลังบ้าน’ ควบคู่กัน ถือเป็นข้อได้เปรียบ เพราะผมได้เรียนรู้ทั้งสองฝั่งไปพร้อมกัน ช่วงแรกของการทำธุรกิจก็ไม่ง่าย ล้มลุกคลุกคลานอยู่หลายปี บางช่วงก็ขาดทุน บางช่วงก็แทบไปต่อไม่ได้ ใช้เวลาประมาณ 6-7 ปี ในการลองผิดลองถูก ฝึกฝน ลงสนามจริง ออกงานกาแฟบ้าง เริ่มมีพี่ๆ ในวงการชวนไปร่วมเปิดร้านบ้าง จนเราค่อยๆ มองเห็นภาพชัดขึ้น รู้ว่าความผิดพลาดในแต่ละครั้งเกิดจากอะไร และเรียนรู้ที่จะไม่ทำซ้ำ
เรามีโรงคั่วเป็นของตัวเองก่อน แต่ยังไม่มีหน้าร้าน จนมีลูกค้าหลายคนถามว่า อยากลองกาแฟต้องไปที่ไหน? ตอนนั้นยังไม่มีคำตอบให้ จึงตัดสินใจเปิดหน้าร้านเล็กๆ ที่ทองหล่อ เพื่อให้ลูกค้าได้มาชิมกาแฟจากโรงคั่วของเรา จุดเล็กๆ ตรงนั้นเอง ‘BEANS’ ก็ถือกำเนิดขึ้น
⦁ จากโรงคั่ว สู่หน้าร้าน กลายมาเป็นการสร้าง Local Economy บนไร่กาแฟเชียงดาวได้ตอนไหน อย่างไร?
ไร่กาแฟที่เชียงดาว เป็นพื้นที่เดิมของผมอยู่แล้ว สิ่งที่เราทำไม่ใช่การเริ่มต้นจากศูนย์ แต่เป็นการ ‘เพิ่มศักยภาพให้พื้นที่เดิม’ ให้เติบโตขึ้นอย่างมีระบบ กาแฟที่เราปลูก ไม่ได้ปลูกเพียงลำพัง แต่เป็นการทำร่วมกับชุมชนทั้งหมู่บ้าน เราขึ้นไปพูดคุยกับชาวบ้านว่า ถ้าสนใจอยากปลูกกาแฟ เราพร้อมรับซื้อ โดยเราจะเข้าไปช่วยดูแลเรื่อง know-how การปลูก การดูแลคุณภาพ และกระบวนการหลังเก็บเกี่ยว เพื่อยกระดับผลผลิตให้ดีขึ้น เพราะถ้าเขาทำดีขึ้น เราก็เติบโตไปด้วยกัน รายได้ที่เกิดขึ้นจากกาแฟก็นำกลับไปพัฒนาให้กับชุมชนอีกต่อหนึ่ง
เช่นในปีที่ผ่านมา เราวางแผนจัดหาต้นกล้ากาแฟสายพันธุ์ดีให้เกษตรกรนำไปปลูก ชาวบ้านมีพื้นที่ เราก็สนับสนุนต้นพันธุ์และแนวทางการดูแลที่ถูกต้อง และเมื่อถึงฤดูเก็บเกี่ยว เราก็รับซื้อคืนในราคาที่เหมาะสม นี่คือความสัมพันธ์แบบ win-win
ในปีนี้ เราวางแผนสร้าง Plantation ขนาดกลาง เพื่อใช้เป็นโรงแปรรูปผลผลิตของหมู่บ้าน เป็นพื้นที่ส่วนกลางที่ชาวบ้านสามารถเข้ามาใช้เทคโนโลยีร่วมกันได้โดยไม่จำเป็นต้องลงทุนอุปกรณ์ส่วนตัว อุปกรณ์หรือเครื่องจักรต่างๆ ที่ BEANS ลงทุนไว้ ชาวบ้านสามารถเข้ามาใช้ได้ฟรี ไม่มีค่าเช่า เพราะเรามองว่าสิ่งนี้คือการ ‘ยกระดับชุมชนให้เติบโตไปพร้อมกับเรา’ ที่สำคัญ เราไม่กดราคาชาวบ้าน การรับซื้ออิงตามราคาตลาด บางครั้งหากคุณภาพของผลผลิตดี เราอาจให้ราคาสูงกว่าตลาดด้วยซ้ำ
แน่นอนว่า ช่วงแรกที่เข้าไปคุยกับเกษตรกร ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเราต้องเข้าไปเปลี่ยนกระบวนการทำงานเดิมๆ ซึ่งนั่นหมายถึงภาระที่มากขึ้นสำหรับเขา และในสายตาของเกษตรกรเอง เขายังไม่รู้หรอกว่า ผลลัพธ์ของกาแฟจะออกมาดีไหม จนกระทั่งถึงมือผู้บริโภค แต่เรารู้ เพราะเราอยู่ในทุกขั้นตอนตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ทุกปี เราวิ่งกลับไปหาต้นน้ำ เพื่อบอกข้อมูลย้อนกลับ และช่วยพัฒนาร่วมกัน เพราะปลายทางของเราคือ ‘ลูกค้า’ และเราต้องส่งมอบสิ่งที่ดีที่สุดกลับไปสู่เขา
⦁ ยากมากน้อยแค่ไหน ในการเข้าไปเปลี่ยนระบบเดิมของหมู่บ้าน?
ถามว่ายากไหม ยากนะ แต่เมื่อเห็นผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น มันคุ้มแน่นอน เพราะไม่ใช่แค่รายได้ของครอบครัวหนึ่ง แต่มันคือความหวังของคนรุ่นลูก ลูกของเกษตรกรเริ่มเห็นว่ากาแฟมีคุณค่า มีอนาคต ไม่จำเป็นต้องย้ายเข้าเมืองเพื่อหางานทำเหมือนแต่ก่อน ผมจึงมองว่าหน้าที่ของเราคือ ‘ทำให้ห่วงโซ่อุปทานทั้งหมดอยู่ได้’ และเติบโตอย่างยั่งยืนร่วมกัน
ตอนนี้ BEANS มีทั้งหมด 13 สาขา และเราวางเป้าหมายว่าจะเพิ่มเป็น 20 สาขาภายในปีนี้ แน่นอนว่าเมื่อร้านเติบโต อุปสงค์ก็เพิ่มขึ้น เราต้องขยายฝั่งอุปทานควบคู่กันไป แปลว่าเราต้อง ‘ยกระดับฝั่งผู้ผลิต’ ให้เติบโตตาม ทำให้พวกเขามองเห็นภาพเดียวกันกับเราให้ได้
⦁ แน่นอนว่า ความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ก็เป็นประเด็นสำคัญที่ต้องคำนึงด้วย?
ตอนนี้โรงคั่วของ BEANS จากทองหล่อ ย้ายมาอยู่ที่ซอยละลายทรัพย์ เราใช้เครื่องที่ลดควันได้ 100% กลิ่นอาจมีแค่ 3% และไม่คั่วตอนกลางคืน เพื่อไม่รบกวนชุมชน ในระยะยาวเราวางแผนย้ายไปเขตโรงงาน เพราะกาแฟเป็นสินค้าเกษตร เราจึงให้ความสำคัญกับการไม่โค่นป่า ใช้ระบบที่ถูกต้อง สนับสนุนชาวบ้านปลูกแทนการตัดไม้
⦁ นับตั้งแต่เปิดสาขาแรก คิดว่าอะไรคือจุดแข็งของ BEANS?
เรามองว่าสิ่งสำคัญคือจะทำอย่างไรให้ ‘แตกต่างจากร้านอื่น’ หลายครั้งเวลาผมไปร้านกาแฟทั่วไป จะพบว่าเมล็ดกาแฟมีให้เลือกไม่มาก โดยเฉพาะเมล็ดคุณภาพสูงหรือนำเข้าจากต่างประเทศ มักมีราคาสูงขึ้นทันที ซึ่งในมุมของคนทำกาแฟ ผมตั้งคำถามว่า ‘ทำไมผมต้องจ่ายเพิ่มอีก 100 บาท เพื่อให้ได้เมล็ดที่ดีขึ้น?’ มันอาจไม่ยุติธรรมเท่าไหร่สำหรับผู้บริโภค เราจึงคุยกันในทีม ว่าจะทำอย่างไรให้ลูกค้าได้เลือกเมล็ดกาแฟหลากหลายมากขึ้น เพราะเรามาจากโรงคั่วซึ่งมีเมล็ดกาแฟให้เลือกจำนวนมากอยู่แล้ว เราก็อยากให้ลูกค้าได้สัมผัสเมล็ดกาแฟเหล่านี้ด้วย วิธีการสั่งกาแฟของ BEANS จึงออกแบบให้ชัดเจนและยืดหยุ่น
โดยแยกเป็น 2 ส่วนหลักคือ ‘เมนูที่คุณต้องการดื่ม’ ซึ่งเป็นค่าชงกาแฟ และ ‘เมล็ดกาแฟที่คุณเลือก’ เพราะเรามองว่ากาแฟเป็นเรื่องเฉพาะบุคคลมากๆ บางคนกินเพื่อรสชาติ บางคนกินเพื่อให้ตื่น ถ้าคุณกินเพื่อความตื่น คุณอาจไม่ต้องการเมล็ดกาแฟคุณภาพสูงมาก และก็ไม่ควรต้องจ่ายแพงเกินไป แต่ถ้าคุณอยากดื่มกาแฟดีๆ ลักชัวรี่หน่อย คุณก็สามารถเลือกเมล็ดที่เหมาะกับคุณได้ เพราะ BEANS คือร้านกาแฟที่มีทุกอย่างสำหรับคนดื่มกาแฟ
เราเคยพูดว่าอยากเป็น ‘Starbucks ของเมืองไทย’ เพราะ Starbucks คือแบรนด์ที่คนไว้ใจ ว่าเดินเข้าไปแล้วจะได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการ ผมอยากให้ BEANS เป็นแบบนั้นเช่นกัน คือร้านที่คุณเดินเข้าไปได้อย่างสบายใจ และมั่นใจว่าจะมีสิ่งที่คุณมองหาอยู่เสมอ เพราะเราอยู่ในทุกเซ็กเตอร์ของกาแฟอย่างแท้จริง
ทุกครั้งที่เราขยายสาขา เราจะมีทีมไปศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภคในแต่ละพื้นที่ เช่น ที่ซอยละลายทรัพย์ ซึ่งเป็นแหล่งออฟฟิศ เราพบว่าลูกค้าส่วนใหญ่คือพนักงานบริษัท ที่อาจไม่ได้ต้องการกาแฟราคาสูง เราจึงคิดต่อ ว่าจะทำอย่างไรให้ราคาย่อมเยา พร้อมจัดโปรโมชั่นพิเศษ เช่น ส่วนลดสำหรับพนักงานออฟฟิศ เพื่อให้เหมาะสมกับบริบทของพื้นที่นั้นจริงๆ
⦁ แล้วที่สาขาทรงวาด เอกลักษณ์แตกต่างไหม?
พอมองภาพรวมของพื้นที่ที่เรากำลังพัฒนา แม้นักท่องเที่ยวจะเริ่มหลั่งไหลเข้ามา แต่ก็ยังไม่หนาแน่นหรือคึกคักเท่ากับย่านอย่างเยาวราช ดังนั้น จุดแข็งที่ควรให้ความสำคัญคือ ‘คนไทย’ ซึ่งจะเป็นฐานหลักของพื้นที่นี้ เราจึงต้องสนับสนุน ‘ผู้คน’ อย่างแท้จริง ทั้งด้านฟังก์ชั่น การออกแบบ กิจกรรม และรูปลักษณ์ของอาคารหรือสิ่งปลูกสร้าง ที่ควรมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ไม่เหมือนที่อื่น พื้นที่ตั้งอยู่ในย่านเมืองเก่า
เราจึงออกแบบทุกองค์ประกอบให้กลมกลืน ไม่ใช่นำความโมเดิร์นมาทับ แต่เป็นการปรับให้ร่วมสมัยอย่างเคารพต่อบริบทเดิม เรายังวางแผนพัฒนาพื้นที่ด้วยแนวคิด ‘แกลเลอรี่หมุนเวียน’ ที่เปลี่ยนธีมหรือศิลปินผู้แสดงงานเป็นประจำ เพื่อให้มีความสดใหม่อยู่เสมอ ลูกค้าจะรู้สึกว่ากลับมาก็มีอะไรใหม่ให้ชม เราเปิดพื้นที่ให้ศิลปินรุ่นใหม่ โดยเฉพาะนักศึกษาศิลปากร ใช้แสดงงานเป็นรายสัปดาห์หรือรายเดือน รวมถึงเชิญกลุ่มครีเอทีฟมาร่วมจัดกิจกรรมและนิทรรศการ ซึ่งตอนนี้เริ่มมีคิวจองล่วงหน้าแล้ว
เราย้ำกับทีมเสมอว่าไม่จำเป็นต้องยิ่งใหญ่ ขอเพียงสนุกและน่ามาก็เพียงพอแล้ว เราตั้งใจสร้างพื้นที่ที่ผู้คนอยากกลับมาอยู่เสมอ ไม่ใช่เพียงเพื่อดื่มกาแฟ แต่เพื่อสัมผัสประสบการณ์ใหม่ หลายคนอาจคิดว่าการเปิดคาเฟ่เป็นเรื่องสนุก แต่ความจริงคือธุรกิจนี้ต้องศึกษาลงลึก ทำงานหนัก และเข้าใจลูกค้าอย่างแท้จริง เราเลยพยายามออกแบบร้านให้เป็นที่เข้าถึงง่ายแบบคนในชุมชน ไม่คาดหวังว่านักท่องเที่ยวในกรุงเทพฯจะเป็นลูกค้าฐานหลัก เพราะส่วนใหญ่อาจจะมาแค่ครั้งเดียว เป้าหมายของเราคือการทำให้ที่นี่กลายเป็น ‘จุดหมายที่คนอยากกลับมา’ ไม่ใช่เพราะแค่กาแฟดี มีภาพสวยๆ บนโซเชียล แต่เพราะประสบการณ์โดยรวม และเป็นเหมือน ‘หอสมบัติ’ ที่ผู้คนรู้สึกว่ามีคุณค่าบางอย่างเมื่อมาเยือน
สิ่งสำคัญคือ ‘เราไม่มองใครเป็นคู่แข่ง’ เราสอนทีมเสมอว่า ‘อย่ามองคนอื่นเป็นศัตรู’ คนทำกาแฟแต่ละคนมีสไตล์ของตัวเอง บางคนชอบกาแฟเปรี้ยว บางคนชอบกาแฟเข้ม บางคนต้องการบทสนทนา บางคนต้องการความเงียบ เราไม่จำเป็นต้องเหมือนใคร ขอแค่ซื่อสัตย์ต่อสิ่งที่ทำ
ท้ายที่สุด เราไม่ได้ทำเพื่อลูกค้ากลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่สร้างพื้นที่ที่ทุกคนเข้าถึงได้ ไม่ว่าจะชอบกาแฟแบบไหน อยู่ในช่วงวัยใด หรือมาเพื่อจุดประสงค์อะไร เราเชื่อว่าสิ่งนี้คือรากฐานของความยั่งยืนในธุรกิจ และคือคำตอบของคำถามแรกที่ว่า ‘เราจะทำอะไรดี’
⦁ ในฐานะคนที่ทำงานกับพื้นที่ จากบทเรียนบรรทัดทอง มองว่าถ้าทรงวาดเริ่มซบเซา รัฐควรมีบทบาทเชิงนโยบายอย่างไร?
ผมว่ามันเปรียบเทียบกันตรงๆ ได้ยาก เพราะทั้งสองย่านมีลักษณะเฉพาะของตัวเอง ทรงวาด มีบริบทที่ต่างออกไป โดยเฉพาะโครงสร้างความเป็นเจ้าของอาคาร ส่วนใหญ่เป็นของเอกชนที่ครอบครองมาอย่างยาวนานหลายรุ่น ไม่ได้เป็นทรัพย์สินของรัฐหรือกลุ่มทุนภายนอก แต่เป็นของตระกูลดั้งเดิมที่อยู่ในพื้นที่มากว่า 30-50 ปี บางบ้านอยู่กันมา 3 รุ่นแล้ว เลยมีความผูกพันกับพื้นที่สูงมาก การจะปล่อยพื้นที่ให้เช่าหรือเปลี่ยนแปลงอะไรจึงทำได้ยากกว่า เพราะเจ้าของเดิมไม่อยากให้บรรยากาศดั้งเดิมเปลี่ยนไปจนหมดสิ้น
คนในพื้นที่เลือกเองว่าจะให้ร้านไหนเข้ามาอยู่ และแม้ว่าจะมีโอกาสทำรายได้เพิ่มขึ้นจากกระแสบูม ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะเลือกให้ขายหรือเปลี่ยนแปลงในทันที เพราะเขาเห็นค่าของความเป็นเมืองเก่า ความเป็น ‘บ้าน’ มากกว่าแค่มูลค่าทางเศรษฐกิจ
ผมเองอยู่ที่นี่มา 3 เดือน เดินเข้า-ออกในละแวกนี้อยู่ตลอด สิ่งที่สัมผัสได้คือความสัมพันธ์ระหว่างคนในชุมชนกับผู้ที่เข้ามาใหม่ ถ้าเราแสดงความจริงใจ ไม่ว่าจะเป็นการคุยกับร้านข้างๆ หรือเจ้าของตึก พวกเขายินดีจะพูดคุยด้วย เช่นเดียวกันเมื่อเราต้องก่อสร้างหรือต่อเติมอะไร เราก็เข้าไปแจ้งเขาก่อน เขาก็เข้าใจ ถ้าไม่เข้าใจ เราก็อธิบาย ค่อยๆ ทำให้เข้าใจร่วมกัน ในฐานะผู้เข้ามาอยู่ใหม่ต้องรู้จังหวะพวกนี้ ต้องคุย ต้องถาม ต้องใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันจริงๆ
ผมไม่กลัวหรอกว่า ถ้าเปิดร้านแล้วมันจะต่างหรือมีปัญหา ถ้าเราทำจริง เข้าใจพื้นที่ เขาก็ยินดีสนับสนุน เหมือนตอนที่ร้านเราคนเยอะ เสียงดังบ้าง เขาก็ยังเดินมาบอก ร้านคนเยอะนะครับ หรือเราก็เดินไปบอกเขาก่อนว่าวันนี้อาจเสียงดังหน่อยนะ เขาก็ไม่ว่าอะไร
ผมไม่ได้บอกว่าทุนไม่ดี หรือว่ารัฐไม่ควรเข้ามา เพียงแต่มันต้องอยู่ร่วมกันอย่างเข้าใจ ต้องไม่ใช่การเข้ามาเพื่อเปลี่ยนทั้งหมด แต่เป็นการช่วยเสริม รัฐจะช่วยได้ก็ต่อเมื่อเข้าใจรากฐานของพื้นที่ เข้าใจโครงสร้างของชุมชน ไม่ใช่เพียงแต่มองพื้นที่เป็น ‘โลเกชั่น’ ที่จะนำอะไรใหม่ๆ เข้ามาโดยไม่ดูว่าสิ่งเก่าอยู่ได้อย่างไร รัฐไม่ควรมองแค่หน้าตาของพื้นที่หรือสถาปัตยกรรม แต่ควรมองว่าผู้คนใช้ชีวิตกันอย่างไร มีวัฒนธรรมร่วมกันแบบไหน และจะสนับสนุนให้พื้นที่เหล่านี้ยังคงมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างไร โดยไม่ทำลายวิถีเดิมไป
ถ้าเราไม่อยากให้ทรงวาดกลายเป็นเหมือนบรรทัดทอง หรืออย่างน้อยไม่อยากให้ซบเซาจนไร้ชีวิต กุญแจสำคัญไม่ใช่แค่การทุ่มเงินลงทุนหรือทำการตลาด แต่คือการเข้าใจ ‘คนในพื้นที่’
⦁ ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงวันนี้ มีอุปสรรคอะไรที่เห็นชัดสุดบ้าง?
ตั้งแต่เริ่มทำธุรกิจมา ผมมองว่าการเปิดร้านแต่ละร้าน ไม่มีครั้งไหนที่ไม่มีปัญหา ทุกอย่างล้วนมีอุปสรรคหมด ไม่เคยมีร้านไหนที่ราบรื่นไปเสียหมด ทุกวันนี้ผมยังต้องลงมาดูงานเองตลอด ตื่นขึ้นมาในแต่ละวันก็ไม่รู้เลยว่าจะเจออะไรอีกบ้าง สิ่งที่ผมกลัวที่สุดคือ เสียงไลน์เด้งตอนกลางคืน เพราะผมทำงาน 24 ชั่วโมง ปัญหามันสามารถเข้ามาได้ทุกเมื่อ โดยเฉพาะโทรศัพท์ตอนห้าทุ่ม ซึ่งเป็นเวลาที่ร้านปิดหมด เคลียร์ของเสร็จประมาณสี่ทุ่มครึ่ง ถ้ามีใครโทรมาเวลานั้น แปลว่ามีเรื่องแน่นอน
ทุกเช้าที่ตื่นขึ้นมา มันไม่ใช่แค่คิดว่าวันนี้จะเจออะไร แต่คือ ‘จะรับมือยังไงกับสิ่งที่จะเจอ’ เพราะผมเชื่อว่า ปัญหามีไว้ให้แก้ จะแก้ได้มากน้อยแค่ไหนก็ต้องพยายาม ถ้าเราเก็บไว้เฉยๆ ไม่แตะมัน มันก็ยังอยู่แบบนั้น ไม่หายไปไหน ถ้าแก้ได้แม้แค่ 10% มันก็ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย สิ่งสำคัญของการแก้ปัญหา คือเราจะจัดการกับมันยังไง เพราะสมมุติว่ามีปัญหาแล้วเราไม่ทำอะไร มันก็จะยิ่งหมักหมม เรื่องเล็กกลายเป็นเรื่องใหญ่ เรื่องใหญ่ก็ยิ่งหนักขึ้นไปอีก ผมเลยบอกน้องๆ ทุกคนเสมอว่า อย่ากลัว อย่ารอ อย่าคิดว่าเดี๋ยวให้ชัดก่อนแล้วค่อยบอก เพราะสุดท้ายแล้วถ้ามันระเบิดขึ้นมา ทุกคนก็โดนอยู่ดี หลายครั้งปัญหาที่น้องๆ มองว่าใหญ่ สำหรับเราที่ผ่านอะไรมาเยอะแล้ว มันเล็กมาก แต่ผมก็เข้าใจว่าในมุมของเขา มันน่ากลัว มันไม่ง่าย สิ่งสำคัญที่สุดคือขอแค่เขากล้าบอก
เพราะฉะนั้น สิ่งที่ผมเรียนรู้มาตลอดการทำธุรกิจคือ ‘ปัญหามีทุกวัน’ ไม่มีทางที่มันจะราบรื่นเสมอไป แต่ถ้าเรากล้ารับ กล้าแก้ กล้าพูด และกล้าฟัง มันก็ผ่านได้ทุกเรื่อง ขอแค่เรากล้าพอจะเผชิญหน้ากับมันจริงๆ
⦁ ในฐานะเจ้าของธุรกิจ เพื่อให้ย่านเมืองเก่าทั่วประเทศเป็นที่รู้จัก มากกว่าการบูมแค่ย่านทรงวาด พอจะมีไอเดียไหม?
เราควรทำแบบนั้นอยู่แล้ว แต่ถ้าย้อนกลับไปดูให้ดี จะเห็นว่าทุกพื้นที่จะขับเคลื่อนได้ ก็ต่อเมื่อ Local พร้อม จริงๆ Local ในที่นี้ ไม่ได้หมายถึงแค่คนในพื้นที่เท่านั้น แต่รวมถึงร้านค้า แบรนด์ต่างๆ ที่เข้าไปตั้งอยู่ในพื้นที่ด้วย ทุกฝ่ายต้องพร้อมจะสนับสนุนและช่วยกันขับเคลื่อนจริงๆ ไม่ใช่แค่เข้าไปเปิดร้านแล้วจบ เพราะฉะนั้น ภาครัฐส่วนหนึ่ง และภาคท้องถิ่นส่วนหนึ่ง ต้องคุยกันให้รู้เรื่อง ถ้าจะยกระดับเมืองเก่า ต้องเข้าใจก่อนว่าเมืองเก่าแต่ละแห่งมี ‘จุดเด่น-จุดด้อย’
ไม่เหมือนกัน อย่างตึกที่เห็นว่าเก่า บางทีไม่ใช่ของดั้งเดิม ผมเองก็เคยสร้างขึ้นมาแล้วทุบทำใหม่ก็มี
เมืองเก่าอย่างที่นี่ กับนางเลิ้ง ก็เป็นเมืองเก่าเหมือนกันแต่สไตล์ไม่เหมือนกัน ดังนั้น จะวางกลยุทธ์ประชาสัมพันธ์หรือพัฒนาได้ถูกทาง มันต้องเดินคู่กัน ภาครัฐเข้าไปสนับสนุน ส่วนภาคเอกชนหรือท้องถิ่น ก็ต้องรู้ว่าตัวเองมีอะไรดี แล้วประยุกต์ใช้ได้อย่างไร เช่น จะใช้เทคโนโลยีอะไรมาช่วย เสริมตรงไหนได้บ้าง การทุ่มงบประมาณลงไปแต่ไม่รู้จะใช้เงินอย่างไร คือจุดท้าทาย
“ใช้เงินมันง่าย แต่จะใช้ให้ถูกยาก” หลายคนอยากได้งบ อยากได้เงินทุน แต่คำถามคือจะใช้ยังไงให้เกิดประโยชน์จริง ไม่ใช่แค่ใช้ให้หมด ในมุมของชาวบ้าน การใช้เงินคือเรื่องใหญ่ ถ้ารัฐเอาเงินไปลงแล้วสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐานให้ดีขึ้น เศรษฐกิจก็จะเริ่มทำงานของมันเอง
สุดท้ายคุณต้องหาตัวตนของแต่ละพื้นที่ให้เจอก่อน ภาครัฐก็สำคัญ แต่ต้องมองให้ออกว่าอะไรควรทำ และทำอย่างไรจึงจะยั่งยืน
พรศิวดี หนูหว้า
กัญญ์วรา ขุนยัง