ความไม่สงบที่หลงเหลือในเส้นทางขึ้นเหนือของลาว

เรามักจะคิดว่า ลาวเป็นประเทศที่มีความสงบสุขและปลอดภัยอยู่เสมอ แต่ในความจริงแล้วยังมีบางพื้นที่ที่เกิดความไม่สงบและการต่อต้าน โดยในช่วงหลังการปฏิวัติ 1975 พื้นที่ของชาวม้งในทางตะวันออกเฉียงเหนือยังเป็นพื้นที่สู้รบและมีการปล้นสะดมเกิดขึ้นตามเส้นทางสัญจรเป็นประจำ ในสมัยก่อนจนถึงราวสิบปีที่แล้ว รถโดยสารที่วิ่งระหว่างเวียงจันไปยังแขวงทางเหนือ ไม่ว่าจะเป็นหลวงพระบาง ไซสมบูน หัวพัน ก็ต้องมีทหารถือปืนอาก้าติดไปด้วยอย่างน้อยสองนาย และตามสะพานต้องมีทหารเฝ้าอยู่ที่หัวสะพานทุกแห่ง แต่เมื่อความเจริญมากขึ้น การสู้รบปะทะกันก็ลดลง จึงไม่เห็นภาพเช่นนั้นโจ่งแจ้งอีก

อย่างไรก็ตาม ยังมีความไม่สงบเกิดขึ้นอยู่บ้างในเขตพื้นที่ป่าเขาและเส้นทางห่างไกล ซึ่งในปัจจุบันอาจไม่ใช่การสู้รบตามอุดมการณ์เหมือนยุคปฏิวัติ แต่เป็นการปล้นสะดมหรือเรียกค่าไถ่ หรือการต่อต้านโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ต่างๆ ดังปรากฏว่ามีการจับตัววิศวกรชาวไทยในระหว่างสร้างเขื่อนเพื่อเรียกค่าไถ่ ฆ่าและวางระเบิดแรงงานและหัวหน้างานชาวจีนในโครงการเหมืองแร่ที่ไซสมบูน เป็นต้น

ลักษณะการจับอาวุธขึ้นก่อความไม่สงบนี้ เป็นลักษณะเฉพาะของ สปป.ลาว ที่ชุมชนและหมู่บ้านมีอาวุธเป็นของตนเอง และส่วนมากก็เคยเข้าร่วมรบในสงครามปฏิวัติ มีความคุ้นชินกับการต่อสู้ใช้อาวุธ อีกทั้งเมื่อเกิดโครงการพัฒนาขนาดใหญ่ ทางพรรครัฐส่วนกลางไม่ได้แจ้งประสานทำความเข้าใจ หรือชดเชยให้แก่ผู้ได้รับผลกระทบในพื้นที่มากเพียงพอ รวมถึงการกระจายความเจริญที่ไม่ทั่วถึง การบริหารอำนาจรัฐที่ยังไม่สามารถเข้าถึงเขตชนบทป่าเขาห่างไกล ทำให้เกิดช่องว่างของผู้ก่อความไม่สงบ กองกำลังชนเผ่าต่าง ๆ หรือแม้กระทั่งกลุ่มโจรทั่วไปออกมาใช้อาวุธปล้นสะดมได้

ล่าสุด ในเดือนพฤศจิกายน และเดือนธันวาคม พบเหตุวางระเบิดในแขวงไซสมบูน โดยมีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตเป็นชาวจีนที่เข้าไปดำเนินงานเหมืองแร่ และพบเหตุโจมตีรถยนต์บนเส้นทางสายวังเวียง-หลวงพระบาง บริเวณพูคูน และเส้นทางสายเวียงจัน-พงสาลี ซึ่งผู้บาดเจ็บและรถที่ถูกโจมตีก็เป็นของจีนเช่นกัน

Advertisement

กระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐอเมริกาได้ออกคำเตือนให้แก่บุคคลสัญชาติอเมริกา ให้ระมัดระวังการเดินทางไปในตอนเหนือของลาว รวมถึงให้หลีกเลี่ยงการออกนอกเส้นทางปกติที่ผู้คนสัญจรไปมา เนื่องจากความเสี่ยงดังกล่าว ในระยะนี้จนถึงวันที่ 30 เมษายน ศกนี้ เช่นเดียวกับทางการจีนที่ให้คนสัญชาติจีนระมัดระวังในการเดินทางไปยังแขวงชนบทห่างไกล และยังแนะนำว่าควรอยู่ใกล้เจ้าหน้าที่ทางการไว้เสมอ

การจู่โจมและก่อความไม่สงบดังกล่าวที่เริ่มปะทุขึ้นอีกครั้ง อาจมีสาเหตุมาจากความไม่พอใจของคนในพื้นที่ต่อโครงการพัฒนาที่ไม่เปิดโอกาสหรือชดเชยผลประโยชน์ที่เหมาะสม รวมถึงความเหลื่อมล้ำทางการพัฒนาที่สูงยิ่งขึ้น แม้ว่าในเมืองใหญ่จะมีอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจสูง มีเขื่อนผลิตไฟฟ้า แต่ในเขตชนบทกลับยังยากจน อีกทั้งเมื่อเกิดปัญหา สื่อภายในของลาวกลับไม่ลงข่าว ทำให้พี่น้องชาวลาวต้องรับข่าวผ่านโซเชียลมีเดียและจากสื่อต่างประเทศเท่านั้น ความคลุมเครือและไม่เปิดเผยยิ่งทำให้เกิดความกังวลว่าจะมีความรุนแรงมากขึ้นโดยที่สังคมไม่รับรู้

การจะแก้ไขปัญหาความไม่สงบดังกล่าวของ สปป.ลาว จึงอาจไม่ใช่แค่การใช้กำลังทหารตำรวจเข้าปราบปราม แต่ยังต้องสืบเนื่องไปถึงการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้คนต่างแขวงให้ทั่วถึง รวมถึงการประสานงานเจรจาในโครงการต่างๆ ก่อนที่จะลงมือพัฒนาก่อสร้าง มิเช่นนั้น ความไม่สงบอาจลุกลามและความเชื่อมั่นในความปลอดภัยของประเทศลาวซึ่งเป็นหนึ่งในประเทศที่สงบสุขและปลอดภัยที่สุดในอาเซียนอาจตกต่ำลง

Advertisement
QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image