ข้าวต้มรอบดึก

ในช่วงชีวิตหนึ่งที่ยังเป็น “โสด” ก่อนล้างมือในอ่างทองคำด้วยการ “แต่งงาน” ได้ใช้ชีวิตชายไทย ที่ท่องเที่ยวยามราตรี ถึงจะไม่ “โชกโชน” (บอกภรรยาอย่างนั้น) แต่ก็ได้เห็นความเป็นไป ส่วนจะจำได้แค่ไหน แล้วแต่ว่ารำลึกอดีตกับใคร และค่ำคืนนั้น “ดื่ม” มากน้อยเพียงใด

ยุคเมื่อ 20 กว่า (มาก) ปีที่แล้ว การตรวจจับแอลกอฮอล์ยังไม่มี การโลดแล่นบนท้องถนนยามดึก (หรือเข้ายามเช้า) มีบ้างภายใต้ความ “มึนเมา” ขับรถตามกัน กระโดดจากบาร์หนึ่งไปอีกผับ คิดกลับไปไม่รู้รอดมาอย่างไร และเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ อย่าทำ และทำไม่ได้แล้วสำหรับยุคที่กฏหมาย “เคร่งครัด” ซึ่งเป็นสิ่งที่ดี

เกิดอุบัติเหตุ สร้างความเดือดร้อน เสียหายทั้งชีวิตและทรัพย์สิน ไม่คุ้มกัน “เมาไม่ขับ” ต้องเป็นหลักในการใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพ

แต่ที่ผ่านมาก็ “เลยตามเลย” ละกันครับ!!

Advertisement

และเข้าช่วงดึกๆ เช้าๆ งานเลี้ยงเลิกรา จะมีเพื่อนขา “โจ๋” บางคนไม่ยอมเลิก ต้องลากต้องพากันไป “ตบท้าย” หาอะไรกินแก้ “โหย” ก่อนกลับบ้านนอน ยามหนุ่มแน่นทำได้เพราะไม่มีภาระครอบครัว ทั้งยังเชื่อมั่นว่านอนไม่กี่ชั่วโมงก็ “ตื่นทัน” เข้างาน ถ้าสุดสัปดาห์ยิ่ง “หายห่วง”

ก่อนนี้พักอาศัยที่บ้านซอยสุขุมวิท 20 แหล่งฝากท้อง “โต้รุ่ง” ประจำ ไม่พ้นตลาด

ปากซอยสุขุมวิท 38 ผม “ซัด” ข้าวหมูแดงกับหอยทอดเป็นประจำ และร้านข้าวต้ม “นิวศรีฟ้า” ริมถนนสุขุมวิท แถวๆ ซอยสุขุมวิท 25 กับ “ข้าวต้ม 55” ริมถนน

Advertisement

ปากซอยทองหล่อ สุขุมวิท 55

ยุคสมัยเปลี่ยน ปัจจุบันซอย 38 โดนไล่ที่ ตลาดหาย ผ่านไปเหลือร้านในห้องแถวไม่กี่ร้าน ว่ากันว่า “โครงการ” อสังหาฯขึ้นเมื่อไหร่ คงมีแต่ “ความทรงจำ”

ข้าวต้ม

ส่วน “นิวศรีฟ้า” จากซอย 25 มา 27 และในที่สุดมาอยู่กลางๆ ซอย 33 กลาง “ดงบาร์” และโรง “นวด” ที่รับลูกค้าฝรั่งและญี่ปุ่น มีแต่ “ข้าวต้ม 55” เท่านั้นที่อยู่ที่เดิม ไม่เปลี่ยนแปลง โดยทั้งสองร้านเป็นรุ่นลูกรุ่นหลานเข้ามารับช่วงต่อแล้วและเป็นการ “รับช่วง” ด้วย “โมเดล” ที่น่าสนใจ

เมื่อก่อนร้านข้าวต้มรอบดึก จะเป็น “โอเพ่นแอร์” คือ ไม่มีเครื่องปรับอากาศในร้าน และบนฟุตปาธที่วางโต๊ะ ตู้แช่ของอยู่ด้านหน้า ทั้งหม้อข้าวต้มและเตา ทอดผัดสารพัด นั่งกันโทรมๆ บรรยากาศโฉ่งฉ่าง โต๊ะไหนเมาหนักๆ โต๊ะอื่นก็ “ก้มหน้าก้มตา” กินกันไปเพราะไม่อยาก “มีเรื่อง” บางทีดึกๆ มี “รถแข่ง” ให้ดูกัน ซึ่งซดข้าวต้ม ไปก็ภาวนาว่าอย่า “หลุด” เสยขึ้นมาแทนโต๊ะเป็นพอ

ภาพร้านทำนองนี้ติดหูติดตามาตลอด จนได้เข้าไปลอง “นิวศรีฟ้า” เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว แปลกหูแปลกตาไปเลย ร้านติดแอร์ ตกแต่งทันสมัย พบเจ้าของเป็นรุ่นหลานชื่อ “ปุย” เล่าให้ฟังว่าอยาก “ยกระดับ” เปลี่ยนภาพพจน์ ส่วนน้องชื่อ “ปอย” เขียนเล่าไว้ด้วยว่าอยากให้ “เท่” แม้อาจไม่เหมือนร้านข้าวต้มที่คุ้นเคยกัน ทั้งยังมีประวัติความเป็นมาร้านไว้ในเมนูให้รู้ที่มาที่ไป

แต่ที่สำคัญที่สุดสำหรับผม คือ อาหารอร่อยเหมือนเดิมครับ ร้านอย่างนี้ต้องไปกันหลายคน สั่งตามใจได้หลายอย่าง “ไข่ผัดไชโป๊ว-ผักบุ้งสะดุ้งไฟ-หมูทอดกระเทียม-

เป็ดพะโล้-ออส่วน-ผัดหนำเลี้ยบ-ไข่ทอดหอยนางรม-กะหล่ำปลีน้ำปลา” ฯลฯ

บรรยากาศคนรุ่นใหม่ รสชาติอาหารดั้งเดิม รักษาจุดแข็งไว้ได้!!

เมื่อไปที่หนึ่ง จึงเกิด “ความคัน” ต้องไปอีกที่หนึ่งด้วย ครั้งสุดท้ายที่ไป “ข้าวต้ม 55” ยังโทรมๆ มีห้องแอร์ส่วนหนึ่ง ห้องเปิดเป็นส่วนใหญ่ เคยได้นั่งคุยกับคุณเก้าที่คงความดั้งเดิมของอาหาร และรูปลักษณ์บรรยากาศ แต่เมื่อปีที่แล้วผมผ่านเห็นมีการ “ปิดปรับปรุง” เมื่อไปร้าน (ทำ) ใหม่ จึงพบกับความสว่างไสว สดใส ไม่มืดๆ ทึมๆ ห้องติดแอร์ใหญ่ ป้ายร้านหน้าประตูภาษาอังกฤษ “fifty-fifth” ซะด้วย

ส่วนบรรยากาศโฉ่งฉ่างเหมือนเดิม ร้านแน่น นักท่องเที่ยวดูมากขึ้น และเช่นกัน อาหารคงเส้นคงวา “ความอร่อย” ไม่ถดถอย เมนูคล้ายๆ กันสองร้าน เลยสั่งทำนองเดียวกัน

“ออส่วน-ผักบุ้งไฟแดง-ยำไข่แดง-หมูผัดหนำเลี้ยบ-ไชโป๊วผัดไข่-หมูกรอบทอด” ฯลฯ

กินหมดเรียบ แต่จะให้เทียบสองร้านไม่มีใครชนะใครในแง่อาหาร แตกต่างแค่รูปลักษณ์บรรยากาศ เป็นที่พึ่ง “ยามค่ำ-ยามดึก” และ “โต้รุ่ง” ได้ดังเดิม!!

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image