นอกลู่ในทาง : คำพูดสุดท้ายของ’สตีฟ จ็อบส์’

คงจะมีคนน้อยยิ่งกว่าน้อย ที่ไม่รู้จักผู้ชายชื่อ “สตีฟ จ็อบส์” บุรุษผู้ให้กำเนิดแบรนด์ดังอันลือลั่นระดับโลก แอปเปิล

จากคอมพิวเตอร์แมคอินทอช สู่แมคบุ๊ก

แมคแอร์ และสารพัดสินค้าตระกูล “ไอ” ทั้งหลาย ทั้งไอโฟน ไอพอด และไอแพด

คงไม่ผิดไปจากความเป็นจริง ถ้าจะบอกว่า เขาเป็นผู้ชายที่ประสบความสำเร็จที่สุดคนหนึ่งของโลก

Advertisement

ในช่วงท้ายๆ ของชีวิต บนเตียงผู้ป่วยในโรงพยาบาล เขาเรียกตนเองว่า “สิ่งมีชีวิตที่บิดเบี้ยว” (A twisted being)

ทำไมเขาถึงพูดอย่างนั้น และเขาพูดอย่างนั้นจริงๆ หรือ

มีการส่งต่อๆ กันมาในโซเชียลมีเดีย ว่า ตอนอายุ 56 ปี ในปี 2011 “สตีฟ จ็อบส์” ได้เขียนข้อความ

Advertisement

บนเตียงผู้ป่วยเกี่ยวกับความหมายของชีวิต

“คุณรู้ไหมว่า คำพูดสุดท้ายของสตีฟ จ็อบส์ คืออะไร” เป็นชื่อของบทความนั้น

เนื้อหาในข้อเขียนนั้น มีประมาณว่า

“ผมก้าวมาถึงจุดสูงสุดของความสำเร็จในโลกธุรกิจ และในสายตาผู้อื่น ชีวิตผมเป็นตัวอย่างของความสำเร็จ แต่ในความเป็นจริงแล้ว นอกจากงานแล้ว ผมมีความสุขเพียงเล็กน้อยเท่านั้น”

และเมื่อหวนนึกถึงชีวิตที่ผ่านมา ผมตระหนักได้ว่า การได้รับคำยกย่อง และความร่ำรวยทั้งหมดที่ผมเคยภูมิใจอย่างมากกำลังเลือนหายไป และกลายเป็นสิ่งที่ไร้ความหมาย เมื่อกำลังเผชิญหน้ากับความตายที่กำลังคืบคลานใกล้เข้ามา”

คำกล่าวข้างต้นมีคนอ้างว่าเป็นคำพูดของ “สตีฟ จ็อบส์” ที่เขียนขึ้นในช่วงท้ายๆ ของชีวิต ขณะรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล

“ในยามค่ำคืน ผมมองไปที่ไฟสีเขียว และฟังเสียงฮัมของเครื่องช่วยชีวิต ผมสามารถสัมผัสลมหายใจของพระเจ้า ของความตายที่กำลังคืบคลานเข้ามาใกล้ และตอนนี้ผมรู้แล้วว่า เมื่อเราสะสมความร่ำรวยอย่างพอเพียงต่อการใช้ชีวิตแล้ว เราก็ควรไขว่คว้าสิ่งอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวกับความร่ำรวยด้วย”

บางสิ่งที่มีความสำคัญมากกว่า

บางทีอาจเป็นความสัมพันธ์ อาจเป็นงานศิลปะ หรืออาจเป็นความฝันครั้งเยาว์วัย

การไล่ไขว่คว้าความมั่งคั่งแบบไม่หยุดยั้งเป็นเพียงการเปลี่ยนคนไปเป็น “สิ่งมีชีวิตที่บิดเบี้ยว” เหมือนกับผม

พระเจ้าทำให้เราสามารถรับรู้ความรักในหัวใจของทุกคน ไม่ใช่ภาพลวงตาที่มาจากความร่ำรวย

ความร่ำรวยที่อาจเรียกได้ว่าเป็น “ชัยชนะ” ในชีวิตนั้น เราไม่สามารถเอาติดตัวไปด้วยได้

สิ่งที่ผมสามารถนำไปได้มีแค่ “ความทรงจำจากความรัก” และนั่นเป็นความร่ำรวยที่แท้จริงที่จะติดตามคุณ ที่จะอยู่เคียงข้างคุณ ให้ความแข็งแกร่งกับคุณ และเป็นแสงนำทางให้คุณก้าวต่อไป

ความรักสามารถเดินทางนับพันไมล์ ชีวิตไม่มีขอบเขตจำกัด จงไปในที่ที่คุณอยากไป ไปให้ถึงจุดสูงสุดเท่าที่คุณต้องการ

ทุกอย่างอยู่ในหัวใจคุณ และอยู่ในมือคุณเอง

เตียงนอนที่แพงที่สุดในโลกคือเตียงอะไร?

คำตอบคือ “เตียงผู้ป่วยยังไงล่ะ”

เพราะคุณสามารถจ้างคนขับรถให้ จ้างคนทำงานให้คุณได้ แต่คุณไม่สามารถจ้างใครให้มาเจ็บป่วยแทนได้

หากทำสิ่งของหล่นหาย เรายังสามารถหามันพบได้ แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่มีทางหาพบได้อีกเลยเมื่อสูญเสียมันไปแล้ว

นั่นคือ “ชีวิต”

เมื่อผู้คนเข้าไปอยู่ในห้องผ่าตัด เขาจะตระหนักว่า มีหนังสือเล่มหนึ่งที่เขายังอ่านไม่จบ

นั่นคือ หนังสือแห่งชีวิตของการมีสุขภาพที่ดี

ไม่ว่าเราจะเดินมาถึงช่วงไหนของชีวิตแล้วในขณะนี้ เราจะได้พบฉากสุดท้ายในเวลาใดเวลาหนึ่ง ดังนั้นจงให้ค่ากับความรัก กับครอบครัวของคุณ รักคู่ครอง รักเพื่อน ดูแลตนเองให้ดี และเอาใจใส่ผู้อื่น

“สตีฟ จ็อบส์” เสียชีวิตเมื่อ 5 ปีที่แล้ว (ปี 2011) ซึ่งในขณะนั้นยังไม่มีการส่งต่อข้อเขียนข้างต้นบนโลกออนไลน์ จนกระทั่งในเดือน พ.ย.ปีที่แล้ว (ปี 2016) และไม่มีการเผยแพร่ออกไปอย่างเป็นทางการ นอกไปจากในสื่อสังคมออนไลน์

อีกทั้งข้อเขียนนี้ยังไม่ได้รับการยืนยันจากคนใกล้ชิดของเจ้าพ่อ “แอปเปิล” ด้วยว่า เขาเขียนขึ้นมาจริงๆ

หลังจาก “สตีฟ จ็อบส์” เสียชีวิตในวันที่ 5 ตุลาคม 2011

โมนา ซิมป์สัน น้องสาวของสตีฟ จ็อบส์ กล่าวว่า คำพูดสุดท้ายของพี่ชายเธอหลายชั่วโมงก่อนหน้านั้น เขาออกเสียงเพียง 3 พยางค์เท่านั้น ก่อนที่จะจากไปตลอดกาล

เขามองไปที่ “แพทตี้” น้องสาวของเขา มองไปที่ลูกๆ อยู่นาน จากนั้นก็มองไปที่ “ลอเรน” คู่ชีวิตของเขา

คำพูดสุดท้ายของพี่ชายเธอ คือ “โอ้ว้าว โอ้ว้าว โอ้ว้าว”

ข้อเขียนข้างต้นไม่เคยปรากฏทั้งในคำกล่าวสุดท้ายของ “สตีฟ จ็อบส์” หรือเป็นคำพูดใดๆ

ที่เขาเคยกล่าวไว้ ทั้งทางวาจาหรือในการเขียน ในระหว่างที่มีชีวิตอยู่เลย

วอลเตอร์ ไอแซคสัน ผู้เขียนชีวประวัติของเขา บันทึกคำพูดแสดงความเสียใจของจ็อบส์

ในช่วงสุดท้ายของชีวิตเกี่ยวกับวิธีที่เขาเลี้ยงดูลูกๆ เพียงว่า

“ผมอยากให้ลูกๆ รู้จักผม” วอลเตอร์ ไอแซคสัน ระลึกถึงคำพูดของจ็อบส์ตอนให้ข้อมูลกับไทม์แม็กกาซีน

“ผมไม่เคยอยู่ตรงนั้นเพื่อพวกเขา และผมต้องการให้พวกเขารู้ว่า ทำไม และเข้าใจในสิ่งที่ผมทำ”

ไอแซคสันบอกว่า จ็อบส์เป็นมนุษย์ธรรมดามากๆ ตัวจริงของเขาก็เหมือนคนทั่วไป มากกว่าที่คนส่วนใหญ่รู้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้เขายิ่งใหญ่

“ผมถามเขาว่า เขาจะดีใจไหมถ้าเขามีลูก เขาบอกว่า ผมจะดีใจเป็นหมื่นเท่ามากกว่าทุกสิ่งที่เคยทำมา แต่มันก็ไม่ได้เป็นแบบนั้นเสมอไป”

ในช่วงต้นชีวิตการทำงาน “จ็อบส์” ซึ่งเป็นเด็กที่ได้รับการอุปการะ เคยปฏิเสธการเป็นพ่อของ “ลิซ่า” และยืนยันกับศาลอย่างเป็นลายลักษณ์อักษรว่า “เป็นหมัน และไม่สมบูรณ์ด้านการเจริญพันธุ์”

“เขา” ยอมรับการเป็นพ่อของ “ลิซ่า” เมื่อเธออายุ 6 ขวบ และหลังจากนั้นทั้งคู่ก็เริ่มใกล้ชิดกัน

ถึงแม้ “สตีฟ จ็อบส์” อาจไม่ได้เรียกตนเองว่า “สิ่งมีชีวิตที่บิดเบี้ยว” และเขียนถึงความหมายของชีวิตบนเตียงผู้ป่วยที่มีการอ้างถึงอย่างแพร่หลายในโลกโซเชียล แต่ต้องยอมรับว่าข้อความเหล่านั้นให้แง่คิดดีๆ และจริงยิ่งกว่าจริง

ทบทวนกันอีกครั้งไหม

“เตียงที่แพงที่สุดในโลก” คือเตียงผู้ป่วย

“คุณสามารถจ้างคนขับรถให้ จ้างคนทำงานให้คุณได้ แต่ไม่สามารถจ้างใครมาป่วยแทนได้ หากสิ่งของหล่นหาย เรายังหาพบได้ แต่สิ่งหนึ่งที่เมื่อสูญเสียไปแล้วไม่มีทางหาพบได้อีกเลย คือ “ชีวิต”

ทำให้นึกถึงสิ่งที่ “จ็อบส์” พูดกับนักศึกษาปีสุดท้ายที่มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดเมื่อหลายปีก่อน ตอนได้รับเชิญให้ไปพูดในพิธีรับปริญญา

ในครั้งนั้นเขาบอกว่า “ความสำนึกว่า ผมจะต้องตายในไม่ช้า เป็นเครื่องมือสำคัญที่สุดที่ผมรู้จัก และมักใช้ในการตัดสินใจเรื่องสำคัญๆ ในชีวิต เพราะเกือบทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นความคาดหวัง ความภูมิใจ ความกลัวหน้าแตก หรือความผิดพลาดทั้งหลาย ล้วนไม่มีความหมายอะไรเลย เมื่อเทียบกับความตาย”

ไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่เราจะไม่ทำตามสิ่งที่ใจเราต้องการ

“จ็อบส์ย้ำว่า จงทำทุกวันให้เหมือนเป็นวันสุดท้าย

“อย่าทิ้งความกระหาย อย่าคลายความเชื่อ” (Stay Hungry, Stay Foolish)

 

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image