ที่มา | มติชนรายวัน |
---|---|
ผู้เขียน | ธนศักย์ อุทิศชลานนท์ |
จากพระบรมราโชวาทและพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ตอนหนึ่งว่า
“การใช้จ่ายอย่างประหยัดนั้น จะเป็นหลักประกันความสมบูรณ์พูนสุขของผู้ประหยัดเอง และครอบครัว ช่วยป้องกันความขาดแคลนในวันข้างหน้า การประหยัดดังกล่าวนี้จะมีผลดีไม่เฉพาะแก่ผู้ที่ประหยัดเท่านั้น ยังเป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติด้วย”
สำหรับครู เอมอร ไมตรีจิตร์
วัย 52 ปี ครูบัญชีอาสาแห่งกรุงเทพมหานคร ปัจจุบันทำงานในตำแหน่งหัวหน้าสาขาวิชาการบัญชีและรองคณบดีฝ่ายกิจการพิเศษ คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเอเชียอาคเนย์ เป็นครูอีกท่านหนึ่งที่เข้ามามีส่วนร่วมในการช่วยเหลือสังคม โดยสมัครเป็น “ครูบัญชีอาสา” ของกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ ตั้งแต่ปี 2552
ครูเอมอรเล่าว่า เนื่องจากตนเองมีความเชี่ยวชาญในด้านการทำบัญชีครัวเรือนและบัญชีต้นทุนอาชีพอยู่แล้ว จึงนำความรู้ที่มีไปถ่ายทอดให้กับประชาชนในชุมชน โดยสอนให้มีการจดบันทึกบัญชีแล้ววิเคราะห์รายรับ-รายจ่ายให้เกิดการสมดุล หากมีรายจ่ายมากเกินไปควรทำอย่างไร
ทั้งนี้ ในส่วนของวิธีปฏิบัตินั้นมีอยู่ 3 วิธีก็จริงคือ 1.เพิ่มรายรับ 2.ลดรายจ่าย 3.เพิ่มรายรับและลดรายจ่าย แต่ในด้านวินัยทางการเงินของแต่ละครอบครัวนั้นไม่เหมือนกัน จึงมีการสอนเพิ่มให้รู้จักการบันทึกบัญชี วิเคราะห์เหตุการณ์ทางการเงินที่เกิดขึ้น รวมทั้งชี้แนะวิธีการแก้ไขจนไม่มีหนี้สิน ซึ่งจากการติดตามคนในชุมชนที่ผ่านการอบรมแล้วพบว่า ครอบครัวที่ตระหนักถึงวินัยทางการเงิน สามารถลด ละ เลิก ค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น มีเงินออมจนสามารถซื้ออุปกรณ์อำนวยความสะดวกให้ตนเองได้ เช่น หม้อหุงข้าว เครื่องซักผ้า พัดลม ฯลฯ
“การที่เราเรียนรู้การจัดทำบัญชีครัวเรือนและบัญชีต้นทุนอาชีพ โดยนำข้อมูลจากการจดบันทึกบัญชีครัวเรือนไปวิเคราะห์ถึงรายรับ-รายจ่ายของตนเอง ทำให้สามารถวางแผนการใช้จ่ายได้อย่างระมัดระวังรอบคอบ และสามารถลด ละ เลิกรายจ่ายที่ไม่จำเป็นลงได้ และเกิดเงินออมตามมาอย่างต่อเนื่อง” ครูเอมอรบอก และว่า
ด้วยเล็งเห็นถึงประโยชน์ของการจัดทำบัญชีครัวเรือน บัญชีต้นทุนอาชีพ จึงเกิดแนวคิดที่ว่าหากได้นำความรู้นี้เผยแพร่ไปสู่เยาวชนของชาติจะสามารถทำคุณประโยชน์ต่อประเทศอย่างไม่รู้จบ จึงได้นำบัญชีครัวเรือนและบัญชีต้นทุนอาชีพมาเป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตรบัญชีภาคธุรกิจของมหาวิทยาลัยเอเชียอาคเนย์
กำหนดให้นักศึกษาทุกคนที่เข้าศึกษาบัญชีภาคธุรกิจจะต้องเรียนรู้และจัดทำบัญชีครัวเรือนและบัญชีต้นทุนอาชีพ เป็นผลให้นักศึกษาหลายคนนำข้อมูลไปวิเคราะห์และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้จ่ายของตนเอง คิดทุกครั้งก่อนที่จะใช้จ่าย
ซึ่งผลจากการได้เรียนรู้และนำไปปรับพฤติกรรมของตนเอง ทำให้นักศึกษามีเงินออมมากขึ้น ตัวอย่างเช่น นักศึกษาจากจังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งเคยเดินทางจากบ้านพักที่เมืองกาญจน์มาเรียนทุกวัน หลังจากจดบันทึกค่าใช้จ่ายสำหรับการเดินทาง เมื่อเทียบกับการเช่าหอพักข้างมหาวิทยาลัย พบว่าการพักหอพักนอกจากมีเงินเหลือออมมากกว่าแล้วยังไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง มีเวลาพักผ่อน ทบทวนบทเรียนมากขึ้น ทำให้ผลการเรียนดีขึ้นด้วย
ไม่เพียงเท่านั้น ครูเอมอรยังขยายผลต่อโดยนำนักศึกษามาช่วยในการเผยแพร่การจัดทำบัญชีครัวเรือนและบัญชีต้นทุนอาชีพสู่ชุมชนใกล้เคียงด้วย จนชุมชนสามารถจัดทำบัญชีครัวเรือนและบัญชีต้นทุนอาชีพได้อย่างต่อเนื่อง ทำให้สามารถรู้รายได้ รู้ต้นทุน รู้กำไรของอาชีพที่ทำอยู่
รวมทั้งขยายการอบรมให้กับภิกษุสามเณรที่เข้าบรรพชาภาคฤดูร้อนให้รู้จักการบริหารรายรับ-รายจ่าย ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นความคิดที่ดีของเยาวชนไทย และบุคคลใดที่คิดว่าควรให้ความรู้ก็จะไปให้ความรู้ เช่น สอนแม่บ้าน นักการภารโรง ในมหาวิทยาลัยเอเชียอาคเนย์ ให้คิดเป็น สามารถบริหารเงินให้มีรายจ่ายเพียงพอกับรายรับ จะได้ไม่มีหนี้สิน
ความสำเร็จของครูเอมอรได้รับการชื่นชมจากหลายๆ หน่วยงาน ทั้งจากผู้ใหญ่บ้านและนายกองค์การบริหารส่วนตำบลงิ้วราย อำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม รวมทั้งเจ้าอาวาสวัดบางขันแตก อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสงคราม ยังได้ทำหนังสือรับรองการใช้ประโยชน์ได้จริง