สัมผัส ประเทศ ‘มอลตา’ ชมความงาม 360 องศา กลาง ‘เมดิเตอร์เรเนียน’ (มีคลิป)

ไปต่างประเทศกับบริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ จำกัด ครั้งนี้มีผู้สอบถามถึงประเทศที่ไปเยือนกันมาก

มอลตา !

มอลตาคืออะไร? อยู่ที่ไหนในโลก?

ทุกครั้งที่มีคำถาม จะอธิบายสั้นๆ ว่า มอลตาคือประเทศ เป็นหมู่เกาะ มีเกาะใหญ่ที่สุดชื่อมอลตา

Advertisement

ตั้งอยู่กลางทะเลเมดิเตอเรเนียน ทางใต้ของประเทศอิตาลี

เท่านั้น รู้เท่านั้น เพราะไม่เคยไปเหมือนกัน

แต่พอได้มีโอกาสได้สัมผัส พบว่ามอลตาเป็นประเทศที่มีคุณค่าควรไปสำหรับผู้มีเวลาไปเป็นอย่างยิ่ง เพราะมอลตาคือประเทศที่ผ่านประวัติศาสตร์มาตั้งแต่ยุคโรมัน และมีบทบาทในยุคต่างๆ ทางยุโรปมาโดยตลอด

Advertisement

การเดินทางไปมอลตาได้ขึ้นเครื่องบินจากสุวรรณภูมิไปลงที่แฟรงเฟิร์ต สหพันธรัฐเยอรมนี แล้วต่อเครื่องไปลงมอลตา

สัมผัสแรกที่ได้เห็นจากเครื่องบินคือทะเลสวย

หลังจากรับกระเป๋าแล้วออกเดินทางไปสู่ที่พัก ณ โรงแรม Grand Hotel Exceisior สิ่งที่ประจักษ์แก่สายตาอีกอย่างคือ เมืองก็สวย

เมืองที่พักคือวาเลตต้า เป็นเมืองหลวงของมอลตา เมืองนี้ได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก

สิ่งก่อสร้างของเมืองนี้ใช้โทนสีอ่อน เข้ากับเมืองโบราณหรือที่เรียกกันว่า Three Citiess ซึ่งมีมาตั้งแต่ยุคโรมัน ดังนั้น เมื่อเห็นสีอ่อนของเมืองทั้งหมดตัดกับสีครามของน้ำทะเลแล้ว ทำให้มองไปทางไหนก็สวย

เรียกได้ว่า สวยแบบ 360 องศา เลยทีเดียว

เมืองวาเลตตา
เมืองทั้งเมืองใช้สีอ่อน

ข้อมูลจำเพาะของประเทศมอลตา ตามคู่มือที่บริษัทตรีเพชรฯ เตรียมไว้ให้ระบุว่า มอลตาเป็นเกาะใหญ่ที่สุดในจำนวน 3 เกาะของประเทศ

มอลตามีพื้นที่ 316 ตารางกิโลเมตร ทอดยาวประมาณ 27 กิโลเมตร

ส่วนเกาะอีก 2 เกาะคือ เกาะโกโซ และมณฑลโดมิโน ซึ่งยาวประมาณ 271 กิโลเมตร

ที่มอลตามีประชากรประมาณ 450,000 คน ในจำนวนนี้ใช้รถ 375,000 คัน

ภาษาที่ใช้คือ ภาษามอลตาและภาษาอังกฤษ ทั้งนี้ ภาษามอลตามีความคล้ายคลึงกับภาษาอาหรับมาก

ใช้เงินสกุลยูโร

ส่วนศาสนานั้นส่วนใหญ่นับถือคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก

ที่สำคัญ มอลตามีสถานที่ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโกทั้งหมด 3 แห่ง ได้แก่ กรุงวาเลตต้า วิหารหินใหญ่ และฮัลซาฟลิเอนิไฮโบเจียม

โอ้ เมืองวาเลตต้าทั้งเมืองคือมรดกโลก แสดงว่าที่กำลังพักอยู่ ณ เวลานั้น…

เรากำลังอยู่ในมรดกโลกหรือนี่

นี่ก็วาเลตตา

ย้อนกลับไปอดีตเมื่อประมาณ 4000 ปีก่อนคริตกาล ช่วงท้ายๆ ยุคหิน มนุษย์ได้เดินทางจากเกาะซิซิเลียนลงมาตั้งถิ่นฐานที่มอลตา พวกเขาเป็นเกษตรกร และได้นำเอาสัตว์เลี้ยงพื้นเมืองและพืชพันธุ์มาด้วย

กระทั่ง 18000 ปีก่อนคริสตกาลได้มีผู้บุกรุก ยึดครองดินแดน และใช้คนพื้นเมืองเยี่ยงทาส

ในยุคสัมฤทธิ์เกษตรกรถูกกดขี่ และมีสงครามเกิดขึ้น เหตุการณ์เช่นนี้เป็นไปในช่วง 1200 ปีก่อนคริสตกาล

ทั้งหมดนี้แสดงว่าเกาะแห่งนี้มีมนุษย์อยู่ตั้งแต่ยุคหินเก่า ยุคสัมฤทธิ์ ยุคเหล็ก เรื่อยมากระทั่ง 800 ปีก่อนคริสตกาลชาวฟินิเชีย (Phoenicians) ได้เข้ามายังเกาะมอลตา เกิดการค้าขาย มีการแต่งงานกับเกษตรกรชาวพื้นเมืองที่นั่น

ฟินิเชียนั้นมีต้นกำเนิดจากทะเลทรายอาหรับ และอพยพมาตั้งถิ่นฐานแถบตะวันตกของเอเชียและทะเลเมดิเตอร์เรเนียน มีความสามารถในการเดินเรือและการค้า

การเข้าไปของชาวฟีนีเชียทำให้มอลตากลายเป็นหนึ่งในอาณาจักรของฟินิเชียไป

และนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา มอลตาก็เริ่มต้นผจญภัยในโลกกว้าง

เพราะมอลตามีที่ตั้งกลางทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เป็นยุทธศาสตร์ทางน้ำที่สำคัญของยุโรป

ดังนั้น หากอาณาจักรใดต้องการจะครองยุโรป และจำเป็นต้องเคลื่อนทัพเรือเข้ารุกราน

มอลตาคือสถานที่สำคัญที่ต้องยึดครอง

แผนที่ยุโรป

หากมองแผนที่ยุโรป เพ่งมองไปที่ทะเลเมดิเตอร์เรเนียนจะพบว่า ระหว่างแผ่นดินของยุโรปคือประเทศอิตาลีกับแผ่นดินของแอฟริกาคือประเทศตูนิเซียมีหมู่เกาะมอลตานี่แหละโดดเด่นอยู่

และหากมองจากมอลตาไปทางซ้ายจะเห็นว่า หากต้องการเดินเรือไปยังประเทศสเปน ฝรั่งเศส โครเอเชีย อิตาลี โดยผ่านทะเลเมดิเตอร์เรเนียน กองเรือจะต้องผ่านมอลตา เช่นเดียวกันหากชาวยุโรปจะใช้เส้นทางเรือไปยังฝั่งตะวันออก เช่น ตุรกี ซีเรีย อียิปต์ ก็ต้องใช้เส้นทางนี้เหมือนกัน

มิน่าล่ะ มอลตาจึงเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญทางเรือ

ดังนั้น มอลตาจึงมักสับเปลี่ยนผู้ปกครองไปตามยุคสมัย ตั้งแต่ยุคโรมันเรืองอำนาจ มอลตาก็เป็นหนึ่งในดินแดนของโรมัน ชาวโรมันได้สร้างเมืองขึ้น โดยตั้งชื่อ Melita ซึ่งอยู่ในพื้นที่ Rabat/Mdina ของมอลตาในปัจจุบัน

ช่วงเวลานั้นมีเหตุการณ์สำคัญ คือประมาณ ค.ศ.60 เรือของเซนต์เปาว์ (San Pawl Milqi) ล่มลงใกล้ๆ มอลตา St.Paul ได้ขึ้นเกาะมอลตา ใช้ชีวิตอยู่ที่นั่น 3 เดือนและได้เผยแพร่ศาสนาคริสต์ให้แก่ชาวมอลตา

และดูเหมือนศาสนาคริสต์กับชาวมอลตาจะอยู่คู่กันมานาน เพราะในมอลตาซึ่งแม้จะมีพื้นที่ไม่มาก แต่ก็มีโบสถ์มากถึง 365 แห่ง

ทราบมาว่า ที่เกาะมอลตาและเกาะโกโซ ยังมีวิหารหินใหญ่อยู่ 7 แห่ง ซึ่งน่าจะเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของชาวมอลตาในช่วงก่อนคริสตกาล

การเดินทางไปมอลตาครั้งนี้ ได้แวะเวียนไปชมโบสถ์แห่งหนึ่งด้วย

โบสถ์มอลตา
นาฬิกาบอกวันเดือน

โบสถ์มอลตา เป็นโบสถ์รูปโดมจำลองมาจากโบสถ์ที่โรมและลอนดอน ถือเป็นโบสถ์โดมที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 รองมาจากโรมและลอนดอนนั่นแหละ

โบสถ์มอลตานี้เริ่มสร้างเมื่อ ค.ศ.1833 โดยการออกแบบของสถาปนิกชาวฝรั่งเศส

ความฮือฮาของโบสถ์ที่นี่ เกิดขึ้นเมื่อ ค.ศ.1942 สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อเครื่องบินทิ้งระเบิดได้ทิ้งบอมบ์ขนาด 1000 ปอนด์ลงมากลางโดม

ระเบิดตกลงมาทะลุเพดานดิ่งลงสู่ใจกลางโบสถ์ แต่ไม่ระเบิด ต่อมามีผู้สันนิษฐานว่าอาจจะมาจากนักบินที่ทิ้งระเบิดไม่ยอมจุดชนวน ทำให้ระเบิดไม่ทำงาน

อย่างไรก็ตาม ความมหัศจรรย์ดังกล่าวทำให้มีการจำลองลูกระเบิดขนาด 1000 ปอนด์ดังกล่าวไว้ แล้วจัดที่จัดทางเพื่อโชว์ให้นักท่องเที่ยวได้ถ่ายภาพ

ส่วนระเบิดลูกจริงทางการนำไปทำลายเป็นที่เรียบร้อย

ชมวิวเพลิน
ระเบิดจำลองที่โบสถ์มอลตา

มอลตาเป็นจุดยุทธศาสตร์ทางทะเล จึงหลีกเลี่ยงศึกสงครามไม่ได้ จากยุคโรมันเคลื่อนเข้าสู่ยุคอาหรับ

จากอาหรับเข้าสู่ยุคฝรั่งเศส และสุดท้ายมาขึ้นต่อสหราชอาณาจักร มอลตาล้วนมีประสบการณ์สงครามอย่างมากมาย

การรบที่เป็นประวัติศาสตร์ความภาคภูมิใจของชาวมอลตา เกิดขึ้นในปี ค.ศ.1565 เมื่อทหารจากอาณาจักรออตโตมัน เติร์ก จำนวน 48,000 คน ยกพลมาบุก

ทหารจากกองทัพออตโตมัน เติร์กในตอนนั้นถือเป็นทัพที่แข็งแกร่ง และได้ส่งกองเรือมาหวังยึดมอลตาไว้

ขณะที่มอลตามีอัศวิน 540 คน และพลเมือง 4,000 คน

เป้าหมายในขณะนั้นคือยึดเมืองเบอร์กู (Birgu) และ เซงเกลีย (Senglea) แต่ด้วยชัยภูมิที่ดี ประกับความสามารถของอัศวินและชาวเมืองมอลตา จึงทำให้มอลตาสามารถยันการบุกของฝ่ายตรงข้ามได้

ในที่สุดกองทัพออตโตมันก็ล่าถอย

สำหรับเมืองเบอร์กู และเซงเกลียนั้น ปัจจุบันได้รวมกับเมืองกอสปีกัว (Cospicua) กลายเป็น Three Cities หรือเมือง 3 แห่ง

เมือง 3 แห่งนี้ เป็นเมืองป้อมปราการ มีเมืองเบอร์กูสร้างขึ้นในยุคกลาง ส่วนเมืองเซงเกลียและกอสปีกัวนั้น สร้างขึ้นในยุคของอัศวินเซนต์จอห์น ( Knights of St. John) ช่วงศตวรรษที่ 16 และ 17

หลังจากชาวมอลตาชนะการปิดล้อมแล้ว ได้มีการสร้างเมืองขึ้นใหม่อีกแห่ง เป็นเมืองที่อยู่ตรงข้ามกับเมือง 3 แห่ง

เมืองที่สร้างใหม่นี่แหละที่ชื่อ “วาเลตต้า” คือ เมืองหลวงของมอลตาในปัจจุบัน

หลังจากนั้นมอลตาได้ตกไปเป็นของฝรั่งเศสในยุคของนโปเลียน และหลังจากที่ฝรั่งเศสพ่ายแพ้ต่ออังกฤษ

มอลตาตกอยู่ในอาณัติของสหราชอาณาจักร

มอลตายังมีประสบการณ์สงครามต่อๆ มา โดยในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 มอลตาได้เป็นสถานที่ที่ใช้สำหรับพยาบาลทหารผู้บาดเจ็บ

ช่วงนั้นมอลตาได้รับฉายาว่าเป็น “Nurse of the Mediterranean”

ขณะที่มอลตาเองพยายามสลัดให้หลุดจากประเทศมหาอำนาจ และยืนหยัดที่จะปกครองตัวเอง โดยร่างรัฐธรรมนูญเป็นของตัวเองตั้งแต่ปี ค.ศ.1921

แต่กว่าจะได้ปกครองตัวเองจริงๆ ก็ปาเข้าไปปี ค.ศ.1964

อาคารบ้านเรือนมีระเบียง

มอลตาเป็นประเทศที่ไม่ธรรมดา นักท่องเที่ยวที่ไปเยือน สามารถใช้วิธีการเดินดูสถาปัตยกรรม หรือขึ้นรถม้า หรือนั่งรถรางที่เขาจัดบริการให้

น่าสังเกตว่าตึกรามบ้านช่องของเขานั้น ที่ชั้น 2 ขึ้นไปมักมีระเบียงยื่นออกมา

เหตุที่ต้องมีระเบียง เพราะสมัยโบราณมีคำสั่งห้ามสตรีออกนอกบ้าน ทุกบ้านจึงสร้างระเบียงให้ยื่นออกมา เพื่อให้สตรีได้ใช้

เวลาสตรียืนอยู่บนระเบียง เท่ากับว่าสตรียังอยู่ในบ้าน ไม่ต้องรับโทษจากผู้มีอำนาจ

สำหรับแหล่งท่องเที่ยว นอกจากแหล่งท่องเที่ยวบนบกแล้ว มอลตายังมีน้ำทะเลใสแจ๋ว เมื่อนั่งเรือออกไปตรงที่เรียกว่า “บลูลากูน” ตรงนั้นจะสัมผัสได้กับความใสปิ๊งของน้ำทะเล

ตอนกลางวัน ถ้าไม่มีฝน ท้องฟ้าเป็นสีฟ้าแจ่มใส พอตกเย็นหากใครเงยหน้าขึ้นไปมอง จะเห็นฟ้าไล่เรียงสีเป็นแถบขวางตามแนวขอบฟ้า

เป็นสีเหลือง สีแสด และสีแดง ที่มองกี่ครั้งกี่ครั้งก็สวยงาม

ท้องฟ้ายามเย็น
กลางคืน

มิน่าล่ะ มอลตาจึงเป็นประเทศที่ติด 1 ใน 10 ประเทศที่มีความปลอดภัยที่สุดในยุโรป เป็น 1 ใน 10 ประเทศที่นิตยสารและเว็บไซต์ท่องเที่ยว “โลนลี่ แพลนเน็ต” แนะนำว่าควรไปประจำปี 2018

เป็น 1 ใน 50 สถานที่ที่ดีที่สุดที่นิตยสารท่องเที่ยว “ทราเวลแอนด์เลเซอร์” ระบุว่าควรไปในปี 2018

และเป็น 18 สถานที่ที่ดีที่สุดที่ “เว็บไซต์ ซีเอ็นเอ็น ทราเวล” ระบุว่าควรไปในปี 2018

สำหรับผู้ที่เคยไปสัมผัสมอลตา คงปฏิเสธไม่ได้ว่าประเทศนี้อุดมไปด้วยความสวยงาม

มิได้สวยงามธรรมดา หากแต่เป็นดินแดนที่สวยงามแบบ 360 องศา

ไม่ว่าจะมองฟ้า มองน้ำ หรือมองเมือง

มองไปทางไหนก็สัมผัสได้ถึงความงาม

ทิวทัศน์บริเวณท่าเทียบเรือ
มองจากเรือ
บูลลากูน
QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image