ท้าทายความสูง 314 เมตร สัมผัสกรุงเทพฯ 360 องศา ‘มหานคร สกายวอล์ก’ แลนด์มาร์กแห่งใหม่ใจกลางเมือง

หลังเปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ โค่น “ใบหยก 2” อดีตตึกที่สูงที่สุดในประเทศไทย แล้วผงาดตัวเองขึ้นเป็นนัมเบอร์วันในขณะนั้น

วันนี้ “มหานคร” ของคิงเพาเวอร์ มหานคร กลับมาอย่างสง่างามอีกครั้ง พร้อมกับ “มหานคร สกายวอล์ก” (Mahanakhon Skywalk) จุดชมวิวชั้นดาดฟ้าแบบ 360 องศา ทั้งภายในและนอกอาคาร ชวนสัมผัสกับรูฟท็อปบาร์ (Rooftop Bar) ที่สูงที่สุดในประเทศไทย และตื่นตาตื่นใจไปกับพื้นกระจกลอยฟ้า (Glass Tray) ขนาดใหญ่ที่หันทางไหนก็ “ว้าว” ไปหมด

แลนด์มาร์กกลางเมืองแห่งใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายนที่ผ่านมา

Advertisement
ความสวยงามของแผนผังกรุงเทพฯแบบกลับหัวและดิจิทัลคอร์ริดอร์ บริเวณชั้น 1 ก่อนขึ้นลิฟต์


“มติชน” ไม่พลาดตีตั๋วขึ้นดาดฟ้า สัมผัส “The Peak” ณ ความสูง 314 เมตร จุดสูงสุดที่ยืนได้ในกรุงเทพมหานคร เปิดประสบการณ์ใหม่ให้ชีวิต

เรื่องการเดินทางก็สบายหายห่วง เพราะหากขับรถยนต์ส่วนตัวไปก็มีที่จอดให้พร้อม หรือด้วยรถไฟฟ้าบีทีเอส ลงสถานีช่องนนทรี ทางออก 3 เดินตรงถึงตึกทันทีเช่นกัน

เคาน์เตอร์จำหน่ายบัตรอยู่บริเวณชั้น 1 เด่นชัดสะดุดตา บัตรเข้าชมมี 2 ประเภท หากซื้อในราคาปกติคือ บัตรสำหรับจุดชมวิวภายในอาคาร ชั้น 74 บัตรผู้ใหญ่ราคา 850 บาท ส่วนเด็กต่ำกว่า 12 ปี/ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป ราคา 250 บาท และบัตรสำหรับจุดชมวิวภายในและภายนอกอาคาร ชั้น 74 และ 78 บัตรผู้ใหญ่ราคา 1,050 บาท และบัตรเด็กต่ำกว่า 12 ปี/ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป ราคา 450 บาท

Advertisement

แต่… ใครที่ไปตอนนี้จะได้บัตรราคาพิเศษช่วงโปรโมชั่น ฉลองวันเปิดตั้งแต่ 16 พ.ย.61 ถึง 31 ม.ค.62 ซื้อบัตรเข้าชมจุดชมวิวภายใน และภายนอกอาคารในราคา 765 บาท พร้อมรับซอฟต์ดริงก์ 1 แก้ว ทั้งนี้ ให้เป็นไปตามข้อกำหนดและเงื่อนไขของบริษัท

ไม่กี่ก้าวก่อนขึ้นลิฟต์ไปด้านบน ต้องตกตะลึงกับ Bangkok upside down หรือ “แผนผังกรุงเทพฯ” แบบกลับหัว และความงามของ Digital Corridor ที่เล่าวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของคนในเมืองหลวง ด้วยเทคนิคดิจิทัล

ไม่เกิน 50 วินาทีหลังจากนั้น ลิฟต์ความเร็วสูงพาทุกคนทะยานขึ้นสู่ชั้น 74 อย่างรวดเร็ว ชนิดที่ไม่ปล่อยให้หูอื้อหรือมึนงงนาน เพราะจอแอนิเมชั่นขนาดใหญ่ภายในลิฟต์สร้างความเพลิดเพลินจนรู้ตัวอีกทีก็ถึงที่หมายแล้ว

ภาพที่เห็น ณ ชั้น 74 คือวิวกรุงเทพมหานครกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา ในชั้นนี้ผู้ชมสามารถเดินวนรอบได้ 360 องศา อยากเห็นเมืองหลวงในมุมไหนก็อยู่รับชมได้นานเท่านาน ลืมบอกไปว่า บัตร 1 ใบสามารถอยู่ได้ทั้งวัน ไม่จำกัดเวลาใดๆ ทั้งสิ้น ทั้งนี้ เปิดให้บริการตั้งแต่เวลา 10.00-00.00 น โดยเวลา 23.00 น. จะเปิดให้เข้าชมรอบสุดท้าย

แอบกระซิบอีกหน่อยว่า นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่นิยมขึ้นดาดฟ้ายามเย็น รอชมพระอาทิตย์ตก ก่อนจะจิบเครื่องดื่มในบรรยากาศฟินๆ ช่วงค่ำคืน

จออินเตอร์แอ๊กทีฟระบบทัชสกรีนแสดงแผนที่กรุงเทพฯประกอบคำอธิบายต่างๆ

แอพพลิเคชั่น “Mahanakhon Skywalk AR” ให้นักท่องเที่ยวเพลิดเพลินไปกับความงามของสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญในกรุงเทพฯแบบเสมือนจริง


จึงไม่แปลก หากจะพบนักท่องเที่ยวจำนวนมากกระจายตัวอยู่ทั่วชั้น 74 เพราะที่นี่นอกจากจะรับชมวิวจากภายในอาคารแบบ 360 องศาแล้ว คิงเพาเวอร์ยังมีลูกเล่นเจ๋งๆ ในแอพพลิเคชั่น “Mahanakhon Skywalk AR” ให้นักท่องเที่ยวเพลิดเพลินไปกับความงามของสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญในกรุงเทพฯแบบเสมือนจริง รวมถึง “จออินเตอร์แอ๊กทีฟ” แสดงแผนที่กรุงเทพฯด้วยเช่นกัน

นอกจากนี้ยังมี “ตู้ไปรษณีย์ที่สูงที่สุดในประเทศไทย” ยืนตระหง่านในสีแดงจัดจ้าน เคียงข้างตู้กดไปรษณียบัตรสีฟ้าสดใด หากใครสนใจอยากลองส่ง เพียงนำเงิน 40 บาท จะเป็นเหรียญหรือธนบัตรก็ได้ หยอดใส่ตู้ จากนั้นเลือกลายไปรษณียบัตรที่ชอบ แล้วเขียนส่งได้ทั่วโลก

ส่วนระยะเวลาการนำส่งนั้น สอบถามเจ้าหน้าที่จนได้ความว่า หากเป็นจดหมายในประเทศใช้เวลาส่งราว 1 สัปดาห์ ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับพื้นที่และปัจจัยอื่นๆ เช่น สภาพอากาศ (ฝนตก) เป็นต้น หรือหากเป็นต่างประเทศก็ใช้เวลานานกว่านั้น

หากเดินนานๆ แล้วเมื่อย คิงเพาเวอร์จัดเก้าอี้รองรับนักท่องเที่ยวไว้เช่นกัน โดยเฉพาะเมื่อลองนั่งลง หรือหยุดยืน ณ จุดใดจุดหนึ่งของชั้น จะพบกิมมิคเก๋ๆ บนพื้นทางเดิน นั่นคือลวดลายแผนที่แสดงเขตต่างๆ ของกรุงเทพมหานคร ขนาดเล็กใหญ่ต่างกันตามอัตราส่วนจริง

ถ้าพร้อมขึ้นดาดฟ้าแล้วก็ไปต่อไม่ต้องรอใคร จากชั้น 74 มีบันไดเลื่อนขึ้นชั้น 75 ซึ่งชั้นนี้มีให้บริการห้องน้ำ สำหรับนักท่องเที่ยวที่อยาก “เคลียร์ความพร้อม” ก็แวะเข้าก่อนไม่ต้องรีบ จากนั้นค่อยขึ้นลิฟต์แก้วไปชั้น 78 เตรียมรับความหวาดเสียวไปพร้อมๆ กัน

รูฟท็อปบาร์บนความสูง 314 เมตร ได้ชื่อว่า “สูงที่สุดในประเทศไทย”
ภาพมุมกว้างด้านตะวันออก พื้นที่สีเขียวริมขวาคือคุ้งบางกะเจ้า หากวันใดฟ้าเปิดจะสามารถมองเห็นไกลถึง จ.ชลบุรี เลยทีเดียว

“สวัสดีครับทุกท่าน ยินดีต้อนรับเข้าสู่ชั้นรูฟท็อปนะครับ เชิญด้านนี้ได้เลย” เจ้าหน้าที่ประจำจุดหน้าลิฟต์ทักทายอย่างสุภาพ ผายมือเชิญชวนทุกท่านให้ร่วมดื่มด่ำชั้นดาดฟ้าเต็มที่

สิ่งแรกที่พบคือ “รูฟท็อปบาร์” บริการเครื่องดื่มหลากชนิด ตั้งแต่น้ำเปล่า น้ำอัดลม เครื่อมดื่มม็อกเทล ค็อกเทล รวมถึงเครื่องดื่มผสมแอลกอฮอล์ชนิดอื่นๆ สนนราคาเป็นตัวเลข 2 หลัก ไปจนถึง 4 หลัก เหนือรูฟท็อปบาร์ขึ้นไปคือ “The Peak” จุดชมวิวที่สูงที่สุดของกรุงเทพมหานคร กับความสูง 314 เมตร หากวันใดฟ้าเปิดจะสามารถมองเห็นวิวได้ไกลจึง จ.ชลบุรี เลยทีเดียว

ไฮไลต์เด็ดที่ไม่พูดถึงไม่ได้คือ “พื้นกระจกลอยฟ้า” บนความสูง 310 เมตรเหนือกรุงเทพมหานคร หนึ่งในพื้นกระจกลอยฟ้าที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ต้องบอกก่อนว่า ใครที่อยากไปถ่ายรูปสวยๆ บนนั้น เข้าได้แต่ตัว สัมภาระอื่นๆ ฝากไว้กับเพื่อนๆ ด้านนอก หรือใส่ในถุงฝากของของเจ้าหน้าที่ก็ได้ ที่สำคัญต้องสวม “ถุงผ้า” หุ้มรองเท้า ป้องกันสิ่งของร่วงหล่นใส่พื้นกระจก แต่อย่ากังวลเรื่องการถ่ายภาพไป เพราะคนที่อยู่ด้านนอกนั่นแหละที่ต้องถ่ายให้ ดังนั้นชวนผองเพื่อนหรือคนสำคัญไปด้วยจะดีกว่ามาก

และ… หมดห่วงเรื่องน้ำหนักได้เลย เพราะกระซิบถามเจ้าหน้าที่มาแล้วว่า Glass Tray สามารถรับน้ำหนักได้ถึง 60 คน หรือเท่ากับช้าง 6 ตัว!

พื้นกระจกลอยฟ้า (Glass Tray) สูงเหนือพื้น 310 เมตร หนึ่งในพื้นกระจกลอยฟ้าที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก

ช่วงเย็นย่ำ พระอาทิตย์ตก ยาวไปถึงช่วงกลางคืน ทั้งเดอะพีคและพื้นกระจกลอยฟ้าแน่นขนัดไปด้วยผู้คน ใครมีกล้องใช้กล้อง ใครมีโทรศัพท์ใช้โทรศัพท์ เก็บภาพถ่ายช่วงเวลาประทับใจ เพราะไม่ว่าจะอยู่ตรงไหนของดาดฟ้าก็ได้ภาพสวยงามทั้งหมด

ดื่มด่ำบรรยากาศจนหนำใจแล้ว ขากลับลิฟต์ความเร็วสูงจะพาลงมาที่ชั้น 4 โซนร้านค้าปลอดภาษีของคิงเพาเวอร์ มากมายด้วยสินค้าแบรนด์ดัง ทั้งเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า นาฬิกา เครื่องสำอาง ฯลฯ เดินช้อปกันมาเรื่อยๆ จนถึงชั้นล่างสุดก็ยังพบกับร้านขายของที่ระลึก “มหานคร”

ไม่ว่าจะมาเที่ยวหลังเลิกงาน ช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ ปีใหม่ วันไหนๆ หรือจะเป็นวันนี้ วันหยุดวันรัฐธรรมนูญ “มหานครสกายวอล์ก” พร้อมต้อนรับ ชวนไปท้าทายความสูง 314 เมตร จนลืมไปเลยว่า “ความกลัว” เป็นอย่างไร

“แผนผังกรุงเทพฯ” กิมมิคสุดเก๋บนพื้นทางเดินชั้น 74

 

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image