ภัยร้ายใกล้ตัวก่อโรคมากกว่า ‘PM 2.5’ รู้จักนวัตกรรม ‘แอร์ สปา’ ล้างอากาศในบ้าน

กลายเป็นกิจวัตรประจำวันสิ่งแรกในทุกเช้าหลังจากตื่นนอนที่จะต้องหยิบมือถือมาเปิดแอพพ์สำรวจอากาศว่า วันนี้สีแดงหรือไม่แดง นาทีนี้คงไม่มีใครที่ไม่มีมาส์กพกติดตัว พร้อมหยิบขึ้นสวมใส่ทุกครั้งที่ออกสู่พื้นที่สาธารณะ

พีเอ็ม 2.5 หรือที่เรียกอย่างน่ารักว่า “ฝุ่นจิ๋ว” ไม่เพียงทำให้คนไทยตื่นตัว ซื้อหาหน้ากาก เอ็น 95 มาสวมป้องกันฝุ่นขนาดเล็กเล็ดลอดเข้าสู่ร่างกาย อานิสงส์จากพีเอ็ม 2.5 ยังทำเอาเครื่องฟอกอากาศขายดีเป็นเทน้ำเทท่า รวมทั้งแผ่นกรองอากาศที่มีการแชร์การประยุกต์ใช้กับเครื่องปรับอากาศเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดักจับฝุ่นมากขึ้น

เพราะเป็นเรื่องใกล้ตัวที่ส่งผลกระทบกับสุขภาพของทุกคน ไม่เพียงแต่คนไทย ในประเทศอื่นๆ อีกหลายประเทศล้วนผ่านวิกฤตนี้มาก่อน และออกมาตรการบรรเทาภัยฝุ่นกันมาแล้ว เป็นบทเรียนให้ผู้ปกครองไทยได้นำมาสังเคราะห์ เพราะแค่การฉีดพ่นละอองน้ำในอากาศจากบนอาคารสูง แม้จะช่วยได้ก็เป็นเพียงบรรเทาปัญหาปลายเหตุ

แวะไปขอความรู้จาก ศรีสิงห์ สว่างทรัพย์ ประธานกรรมการ บริษัท ภัคเดชา แอสเสท จำกัด ที่แม้ไม่ได้เป็นนักวิชาการสิ่งแวดล้อม แต่มีประสบการณ์ตรง และศึกษาข้อมูลงานวิจัยที่เกี่ยวกับปัญหาฝุ่นมานานกว่า 10 ปี เล่าให้ฟังว่า

Advertisement

ปัญหาของ พีเอ็ม 2.5 ที่สร้างความตื่นกลัวให้กับคนไทยในระยะนี้ข้อดีคือ ทำให้คนไทยหันมาให้ความสำคัญกับเรื่องสุขภาพตนเองและสิ่งแวดล้อมมากขึ้น แต่สิ่งที่น่ากลัวจริงๆ ที่คนไทยไม่ค่อยรู้คือ “ฝุ่นในบ้าน” (Indoor pollution) เรากังวลแต่ฝุ่นภายนอกบ้าน แต่ลืมในบ้าน เราสวมหน้ากากออกนอกบ้าน พอเข้าบ้านก็ถอดออก

เรากลัวพีเอ็ม 2.5 เพราะมันเล็กขนาดซึมเข้าสู่กระแสเลือด เข้าไปในปอดได้ ไม่ว่าสมอง หัวใจ ฯลฯ ล้วนมีผลทำให้เซลล์เสื่อม แต่ในความเป็นจริง พีเอ็ม 2.5 ไม่ใช่ขนาดที่เล็กที่สุด ยังมีฝุ่นที่เล็กกว่านั้น อย่าง พีเอ็ม 2.0 ซึ่งอันตรายกว่ามาก และพีเอ็ม 2.5 แต่ละที่ก็สกปรกไม่เท่ากัน เพราะสิ่งที่เจือปนไม่เหมือนกัน มีทั้งสารปรอท แคดเมียม พีเอเอช (โพลีไซคลิก อะโรมาติก ไฮโดรคาร์บอน) ฯลฯ ซึ่งล้วนเป็นสารก่อมะเร็ง

“เวลาที่เราพูดถึงฝุ่น จะนึกถึง airborne ที่ลอยอยู่ในอากาศถ้าอนุภาคใหญ่จะตกสู่พื้น แต่ถ้าเล็กจะลอยอยู่นาน บางทีลอยหลายวัน แต่อย่างไรก็ต้องตก ถ้าตกลงมาสะสมอยู่บนพื้น เวลาเราเดินผ่านก็ฟุ้งขึ้นมาอีก เพียงแต่เรามองไม่เห็น การล้างพื้นจึงช่วยได้ นอกจากนี้ ในธรรมชาติยังมีแสงแดด มีรังสียูวีฆ่าเชื้อโรค มีน้ำค้างดึงเชื้อโรคจากฝุ่นลงสู่ดิน แต่ในบ้านเราไม่มีอะไรช่วยล้าง”

Advertisement
ศรีสิงห์ สว่างทรัพย์

‘ห้องนอน’ โรงงานผลิตเชื้อโรค
ความเจ็บปวดของคนติดตุ๊กตา

จากการศึกษาขององค์การอนามัยโลก (WHO) เปิดเผยว่า ร้อยละ 30 ของอาคารทั่วโลก มีปัญหาด้านคุณภาพอากาศและอาจมีปริมาณสารมลพิษสูงกว่าภายนอกอาคารถึง 100 เท่า ซึ่งเกิดได้จากหลายกรณี และหากอาคารมีการระบายอากาศที่ไม่ดีก็จะทำให้สารพิษในอาคารมีปริมาณสูงขึ้น โดยเฉพาะอาคารที่มีผู้ใช้งานเป็นจำนวนมาก เช่น โรงแรม โรงพยาบาล ห้างสรรพสินค้า และอาคารสำนักงาน

สอดคล้องกับศรีสิงห์ที่บอกว่า อากาศภายในบ้านมีทั้งความชื้น แสงแดดส่องไม่ถึง อากาศไม่ถ่ายเท ยังมีการใช้สารเคมีต่างๆ อย่าง น้ำยาถูพื้น น้ำยาล้างเครื่องสุขภัณฑ์ ล้วนเป็นสารเคมีทั้งสิ้น ทำให้เชื้อโรคเติบโตได้ดี และเป็นแหล่งเพาะเชื้อ

“อากาศในบ้านสกปรกมากกว่าอากาศนอกบ้าน 20-30 เท่า”

ที่น่าสนใจคือ 80% ของอากาศที่เราหายใจเป็นอากาศจากภายในอาคาร บ้านคือสถานที่ที่เราใช้เวลาอยู่มากที่สุด เรานอนวันละ 6-8 ชั่วโมง ยังมีกิจกรรมในบ้านอีก หรือในออฟฟิศ ในรถยนต์ แม้กระทั่งในห้างสรรพสินค้าก็ถือเป็นอินดอร์ทั้งหมด มีเพียง 10-20% เท่านั้นที่เราหายใจเอาอากาศจากภายนอก

สังเกตว่าคนไทยเป็นโรคภูมิแพ้กันมาก หนึ่งในตัวการสำคัญคือ “ไรฝุ่น” แมลงตระกูลเดียวกับเห็บและแมงมุม มีขนาดเล็กมากจนมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า กินเซลล์ผิวหนังของมนุษย์ที่ผลัดออกมาเป็นอาหาร อาศัยอยู่มากในเนื้อของที่นอนและหมอน อยู่รอดได้ในทุกสภาพอากาศ

“สารพัดสิ่งของที่อยู่บนเตียงทำให้บนเตียงเป็นโรงงานเพาะฝุ่นชั้นดี คนส่วนใหญ่จะพูดถึงแต่ไรฝุ่น แต่จริงๆ บนเตียงมีทั้งแบคทีเรีย เชื้อรา จุลินทรีย์ เพราะเราไม่เคยทำความสะอาด จึงทำให้เป็นภูมิแพ้ แม้จะซื้อเครื่องฟอกอากาศ 5-10 ตัวก็ไม่หาย เพราะสารก่อภูมิแพ้อยู่ในอากาศมีน้อยมาก”

ไรฝุ่นตัวร้าย

การใช้สเปรย์ต่างๆ ไม่ว่าจะมีสารเคมี หรือไม่มีสารเคมีก็ดี หากสามารถฆ่าไรฝุ่นได้จริง สิ่งที่พึงระวังคือ เมื่อไรฝุ่นตายไปจะทิ้งซากไว้ยิ่งทำให้เกิดสารก่อภูมิแพ้ให้กับตัวเราอีก เพราะฉะนั้น เมื่อใช้สเปรย์ในลักษณะนี้ควรจะทำความสะอาดที่นอนหลังจากใช้งานด้วยเพื่อกำจัดสารก่อภูมิแพ้ออกไปให้หมด

ศรีสิงห์บอกว่า การซื้อผ้ากันไรฝุ่นมาคลุมที่นอนช่วยกันไรฝุ่นได้ แต่ก็ต้องคลุมทั้งหมอน ผ้าห่มด้วย และเมื่อนอนไปสักพักก็ยังจะมีปัญหาไรฝุ่นอยู่ดี เพราะไรฝุ่นมีอยู่ในทุกที่

แน่นอนว่า รวมถึงในตุ๊กตาตัวโปรด หรือผ้าเน่าๆ หมอนเน่าๆ ที่เด็กหลายคนติดด้วย

“ที่สำคัญคือ หลายบ้านใช้ ‘เครื่องดูดฝุ่น’ ซึ่งจะมีถุงดักฝุ่น จับเก็บเฉพาะฝุ่นอนุภาคใหญ่ ปล่อยอนุภาคเล็กๆ ออกมาที่ท้ายเครื่อง นอกจากนี้ เวลาที่ใช้เครื่องดูดฝุ่น ส่วนใหญ่ไม่ได้ทิ้งทุกวัน เก็บไว้รุ่งขึ้นก็ดูดใหม่ ทำให้เชื้อโรคหมักเอาไว้ เวลาใช้ก็ปล่อยเชื้อโรคที่อยู่ข้างในออกมาท้ายเครื่อง จากค่าฝุ่นเพียง 50 เพิ่มเป็น 500 นั่นคือสารก่อมะเร็ง โรคหัวใจ เส้นเลือดในสมองแตก”

ทำ ‘แอร์ สปา’ อย่างง่าย
สร้างเซฟตี้โซนในบ้าน

การสำรวจคุณภาพอากาศจากทั่วโลกรวมทั้งในประเทศไทยพบว่า มีอุบัติการณ์เพิ่มขึ้นของผู้ป่วยโรคภูมิแพ้ 3-4 เท่า ภายในระยะเวลา 40 ปีที่ผ่านมา ผลคือทำให้คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยด้อยลง สังเกตว่ามีคนจำนวนไม่น้อยที่นอนหลับไม่สนิท หายใจได้ไม่เต็มที่ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะฝุ่นเล็กๆ เหล่านี้

“เท่าที่ผมศึกษา ฝุ่นก่อโรคปอด ภูมิแพ้ โรคสมอง หัวใจ เซลล์เสื่อมก่อนวัย โรคชรา เพราะเชื้อโรคซึ่งเป็นสารอนุมูลอิสระเข้าไปทำให้ร่างกายเราเสื่อม และเชื้อโรคเข้าไปทางเส้นเลือดด้วย ทำให้ทุกอย่างเสื่อมไปหมดเลย”

ศรีสิงห์บอก และแม้ว่าตัวเองจะไม่เคยเป็นโรคภูมิแพ้ แต่ลูกชายเป็น และเป็นจุดเริ่มต้นของการเป็นตัวแทนจำหน่าย “เครื่องล้างอากาศ” สัญชาติอเมริกัน “เรนโบว์” เจ้าเดียวในประเทศไทย มา 12 ปี

เหล่านี้คือ ฝุ่น ตัวก่อโรคสารพัด

“คนไทย 10 กว่าล้านคนเป็นโรคภูมิแพ้ โดย 80% เกิดจากไรฝุ่น เป็นงานวิจัยจากคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล และยาที่ขายดีที่สุดก็คือ ยาที่เกี่ยวกับโรคทางเดินทางใจ ไม่ว่าจะใช้ล้างจมูก แก้เจ็บคอ เป็นหวัด ไอ รวมทั้งโรคที่เกิดจากการติดเชื้ออย่างไข้หวัดด้วย” และว่า

ทางแก้คือ กำจัดที่ต้นเหตุ แม้ว่าโรคภูมิแพ้เป็นแล้วจะรักษาไม่หาย แต่ไม่ก่ออาการขึ้นใหม่ ซึ่งในระบบกรองอากาศที่ดีที่สุดก็คือ “ระบบน้ำ”

เทียบกับระบบฟิลเตอร์กรองอากาศแล้ว ศรีสิงห์อธิบายว่าฟิลเตอร์ดีแค่ไหนก็มีรูให้อากาศผ่านเข้าออกได้ แต่น้ำไม่มีรู อย่างไรก็ตาม ในทางวิทยาศาสตร์ยังมีบางสิ่งที่น้ำจับไม่ได้ เช่น ก๊าซบางอย่าง เชื้อโรคบางอย่าง อย่างผงปูนน้ำจับไม่ได้ เราจึงต้องมี “ฮีป้า” (Hepa-ชนิดของฟิลเตอร์) อีกตัวเสริมเข้าไป เมื่อ น้ำ+ฮีป้า เท่ากับสามารถกรองฝุ่นได้เล็กกว่า 0.1 ไมครอน จึงสามารถตอบโจทย์แม้กับการใช้งานในห้องผ่าตัด ห้องวิจัย ฯลฯ

“ผลิตภัณฑ์ของเราเป็นลิขสิทธิ์แรกของโลกที่ใช้ระบบน้ำที่จำลองมาจากธรรมชาติเมื่อ 80 ปีที่แล้ว และปัจจุบันก็ยังเป็นเครื่องแรกของโลกที่ผ่านการรับรองจากสถาบันสูงสุดของโลก คือ AHAM ของอเมริกา ทดสอบแล้วว่าเป็นระบบน้ำเครื่องเดียวของโลกที่ได้รับการรับรองเป็น ‘แอร์ คลีนเนอร์’

“เราไม่ได้บอกว่า เครื่องฟอกอากาศของเราดีที่สุดในโลก เครื่องฟอกอากาศของเราเป็นฟังก์ชั่นหนึ่งที่ ฟอกอากาศได้มาตรฐานสูงสุดของโลก เท่ากับแบรนด์ดังๆ ที่เป็นระบบฟิลเตอร์ โดยเปลี่ยนน้ำ (2 ลิตร) ทุกวัน วันละ 1 ครั้ง เหมือนกับเปลี่ยนฟิลเตอร์ทุกวัน” และอธิบายเพิ่มเติมว่า

เครื่องดูดฝุ่นที่เป็นทั้งเครื่องฟอกอากาศระบบน้ำ ที่เห็นเหมือนแป้งขาวๆ คือฝุ่นที่ได้หลังเดินเครื่องทำความสะอาดแล้ว
ท้ายเครื่องเมื่อนำตัววัดค่าฝุ่นได้ออกมาเป็น 0

ระบบน้ำเครื่องแรกของโลกคือ “เรนโบว์” พัฒนาจากเครื่องดูดฝุ่น เครื่องฟอกอากาศ จนมาเป็น “แอร์ คลีนเนอร์” ไปในตัว คือระหว่างที่ดูดฝุ่นในบ้านก็ปล่อยอากาศบริสุทธิ์ออกมาด้วย เป็น “โฮม คลีนนิ่ง ซิสเต็ม” ที่ดีที่สุดตอนนี้ และเป็นแบรนด์เดียวในตลาดตอนนี้ที่รับรองผลลัพธ์สำหรับคนที่เป็นโรคภูมิแพ้และระบบทางเดินหายใจ

ศรีสิงห์ สว่างทรัพย์

ศรีสิงห์ย้อนให้ฟังถึงครั้งแรกที่ได้รู้จักกับ “เรนโบว์” ว่า ครั้งนั้นกระแสสุขภาพเริ่มแล้ว บ้านเรายังไม่มีใครรู้จัก แต่ก็มีคนหิ้วเครื่องเข้ามาใช้เอง มาในช่วง 2 ปีนี้แรงมาก เฉพาะแค่ปีเดียว (2560-2561) ยอดขายเพิ่มขึ้นกว่า 200%

โดยเฉพาะเดือนมกราคมที่ผ่านมาวิกฤตพีเอ็ม 2.5 ทำให้ขายได้เพิ่มขึ้น 500% ทั้งลูกค้าเก่าจากฐานลูกค้าเก่ากว่า 40,000 คน ที่มาซื้อเพิ่มให้คนที่รัก ลูกค้าที่เราเคยไปสาธิตล้างอากาศในบ้านแล้วและยังไม่ซื้อ รวมทั้งลูกค้าใหม่ สำหรับผู้ที่สนใจสามารถติดต่อให้ไปสาธิตวิธีทำฝนล้างอากาศในบ้านได้ ทางไลน์ที่ @rainbow.th หรือ โทร 0-2530-8288

เพราะโลกเปลี่ยนไปแล้ว คนเริ่มหันมาดูแลตัวเอง ซึ่งกระแสนี้มีมา 10-20 ปี แต่มาแรงใน 5 ปีนี้

ตรารับรองปลอดภูมิแพ้

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
LINE : https://goo.gl/J3D9BN
LINE ID : @Rainbow.th

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image